ครั้งแรกที่มาเยือนเกาะพีพี 21-24 พฤศจิกายน 2560 นั่งเฟอรี่จากท่าเรือรัษฎาภูเก็ต ระหว่างการเดินทางโทรศัพท์มือถือก็ได้รับข้อความดังนี้
พอได้อ่านข้อความแล้วก็อืม..ดีนะ รณรงค์เรื่องการสูบบุหรี่ ไม่สร้างมลพิษให้กับเกาะ ส่งมาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งตอนไปและตอนกลับ
พอนั่งไปสักพักอยากจะออกไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือชั้นบน พอออกไปถึงเป็นนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่นั่งกันเต็มพื้นที่ของบนดาดฟ้า และสูบบุหรี่คุยกันเป็นกลุ่มๆ แทบทุกคนที่นั่งดูดบุหรี่ จะออกไปสูดอากาศดีๆบนท้องทะเล แต่มีแต่ควันบุหรี่ลอยมาแทนแบบไม่ขาดสาย แล้ว???? ข้อความเมื่อกี้ที่ได้รับทางโทรศัพท์คืออะไร จิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติไม่มี??
พอถึงที่หมาย ท่าเรือต้นไทร เดินเข้าเกาะพีพี ถือเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ค่าเข้าเกาะทั้งไทยและต่างชาติราคาเดียวกัน 20 บาทเท่านั้น
ตลอดทางที่เดินจากท่าเรือไปโรงแรมเพื่อเชคอิน และจากโรงแรมเดินมาที่ทะเล เจอแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งเดินสูบบุหรี่ นักท่องเที่ยวที่นี่เจอแต่วัยรุ่นซะส่วนใหญ่จนถึงอายุประมาณไม่เกิน40 จนกระทั่งเดินมาถึงทะเล นั่งบนหาดอาบแดดกันเพียบ ก็ยังมีคนสูบบุหรี่ ไม่ไหวละขอลงทะเล หนีดีกว่า!!!
ต้องบอกก่อนว่าลักษณะทะเลบนเกาะพีพีนั้น จะมีหนาผาโอบล้อมไว้ ทำให้มีทางเดียวทีน้ำทะเลและลมจะผ่านเข้ามา เมื่อมันมีทางเดียว มันจะเหมือนเราอยู่ในโถง ลมก็จะไม่แรงเหมือนเกาะอื่นๆ หรือบางครั้งลมแทบไม่มี กลิ่นควันบุหรี่บนชายหาด ก็จะลอยอยู่ตรงนั้นแหละไม่ไปไหน
หนีจากหาดลงมาในทะเล มาเจอนักท่องเที่ยว3คนนี้ (ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ) ลงมาเล่นทะเล พร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย สูบทั้ง3คน เชี่ย!!!มากๆ ไม่ต้องถามเลยว่ามันทิ้งบุหรี่ตรงไหน พอสูบเสร็จก็ทิ้งเลยในทะเล เห็นแล้วก็เจ็บปวดใจ มาเที่ยวเมืองไทย จ่ายค่าเข้าแค่20 บาทแต่มาทำลายธรรมชาติจนเละ สูญเสียมหาศาล โอ้วแม่เจ้า!! เจ้าหน้าที่ไปไหนกันหมด ถ้าปรับทั้งหาดคงได้เป็นล้าน
เท่านั้นยังไม่พอ นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการเรือสปีดโบ๊ท และเรือหางยาวเรียกมาลงหน้าหาด เฮ่อด้านหลังมีท่าเรือให้จอดก็ไม่ไปจอดที่ท่า ควันพิษจากเรือก็หนักหนาเอาการ เพราะกลิ่นมันไม่ไปไหนมันอยู่ในนั้น ลมมันไม่พัด ความเข้มข้นมลพิษอยากรู้จริงๆว่าเท่าไร อย่างกะอยู่กลางถนนกรุงเทพ
อยากจะไปสูดอากาศดีๆ อากาศสดชื่นบนชายหาด ที่สวยงามติดอันดับ1ใน10 ของโลก แต่ต้องมาเจอแบบนี้ 5 วันที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ได้ภาพถ่ายที่สวยงาม ทะเลเกาะพีพี สวยมากสวยสตั๊นท์ แต่มลพิษทางอากาศแย่มาก แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา จนอดไม่ไหวที่จะต้องเปลี่ยนชื่อ ให้เป็น Peak pollution Island
อากาศดีๆไม่มีอีกแล้วบนเกาะพีพี P.P.(Peak pollution) Island
พอได้อ่านข้อความแล้วก็อืม..ดีนะ รณรงค์เรื่องการสูบบุหรี่ ไม่สร้างมลพิษให้กับเกาะ ส่งมาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งตอนไปและตอนกลับ
พอนั่งไปสักพักอยากจะออกไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือชั้นบน พอออกไปถึงเป็นนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่นั่งกันเต็มพื้นที่ของบนดาดฟ้า และสูบบุหรี่คุยกันเป็นกลุ่มๆ แทบทุกคนที่นั่งดูดบุหรี่ จะออกไปสูดอากาศดีๆบนท้องทะเล แต่มีแต่ควันบุหรี่ลอยมาแทนแบบไม่ขาดสาย แล้ว???? ข้อความเมื่อกี้ที่ได้รับทางโทรศัพท์คืออะไร จิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติไม่มี??
พอถึงที่หมาย ท่าเรือต้นไทร เดินเข้าเกาะพีพี ถือเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ค่าเข้าเกาะทั้งไทยและต่างชาติราคาเดียวกัน 20 บาทเท่านั้น
ตลอดทางที่เดินจากท่าเรือไปโรงแรมเพื่อเชคอิน และจากโรงแรมเดินมาที่ทะเล เจอแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งเดินสูบบุหรี่ นักท่องเที่ยวที่นี่เจอแต่วัยรุ่นซะส่วนใหญ่จนถึงอายุประมาณไม่เกิน40 จนกระทั่งเดินมาถึงทะเล นั่งบนหาดอาบแดดกันเพียบ ก็ยังมีคนสูบบุหรี่ ไม่ไหวละขอลงทะเล หนีดีกว่า!!!
ต้องบอกก่อนว่าลักษณะทะเลบนเกาะพีพีนั้น จะมีหนาผาโอบล้อมไว้ ทำให้มีทางเดียวทีน้ำทะเลและลมจะผ่านเข้ามา เมื่อมันมีทางเดียว มันจะเหมือนเราอยู่ในโถง ลมก็จะไม่แรงเหมือนเกาะอื่นๆ หรือบางครั้งลมแทบไม่มี กลิ่นควันบุหรี่บนชายหาด ก็จะลอยอยู่ตรงนั้นแหละไม่ไปไหน
หนีจากหาดลงมาในทะเล มาเจอนักท่องเที่ยว3คนนี้ (ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ) ลงมาเล่นทะเล พร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย สูบทั้ง3คน เชี่ย!!!มากๆ ไม่ต้องถามเลยว่ามันทิ้งบุหรี่ตรงไหน พอสูบเสร็จก็ทิ้งเลยในทะเล เห็นแล้วก็เจ็บปวดใจ มาเที่ยวเมืองไทย จ่ายค่าเข้าแค่20 บาทแต่มาทำลายธรรมชาติจนเละ สูญเสียมหาศาล โอ้วแม่เจ้า!! เจ้าหน้าที่ไปไหนกันหมด ถ้าปรับทั้งหาดคงได้เป็นล้าน
เท่านั้นยังไม่พอ นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการเรือสปีดโบ๊ท และเรือหางยาวเรียกมาลงหน้าหาด เฮ่อด้านหลังมีท่าเรือให้จอดก็ไม่ไปจอดที่ท่า ควันพิษจากเรือก็หนักหนาเอาการ เพราะกลิ่นมันไม่ไปไหนมันอยู่ในนั้น ลมมันไม่พัด ความเข้มข้นมลพิษอยากรู้จริงๆว่าเท่าไร อย่างกะอยู่กลางถนนกรุงเทพ
อยากจะไปสูดอากาศดีๆ อากาศสดชื่นบนชายหาด ที่สวยงามติดอันดับ1ใน10 ของโลก แต่ต้องมาเจอแบบนี้ 5 วันที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ได้ภาพถ่ายที่สวยงาม ทะเลเกาะพีพี สวยมากสวยสตั๊นท์ แต่มลพิษทางอากาศแย่มาก แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา จนอดไม่ไหวที่จะต้องเปลี่ยนชื่อ ให้เป็น Peak pollution Island