[หนังโรงเรื่องที่ 207] Die Tomorrow - เมดเลย์แห่งความตาย by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 207] Die Tomorrow - เมดเลย์แห่งความตาย
(นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : S (จากสเกล D-A)
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ:
"Unexpected Death
Destined Death
Expecting Death
Beneficial Death
Courageous(?) Death
It's Okay Death"

.
.

เป็นหนังที่รีวิวได้ยากมาก อนึ่งคือเราก็ไม่มั่นใจความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนี้ว่ามันแม่นยำพอรึยัง อีกทั้งหนังก็ตั้งใจที่จะขายไอเดียจากทัศนะของผู้กำกับที่มีต่อ "ความตาย" มากกว่าพล็อตและวิธีดำเนินเรื่องด้วย ทำให้เราเชื่อว่าความรู้สึกที่แต่ละคนจะได้จากหนังเรื่องนี้มันคงจะปัจเจกมากๆ จนไม่เหมือนกันซักคนเป็นแน่
.

สิ่งแรกที่ประทับใจกับหนังเรื่องนี้ก็คือการที่หนังไม่ได้เน้นย้ำไปที่ "ขั้นตอนการตาย" ของตัวละครต่างๆเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมุ่งมั่นในการวาดภาพองค์กว้างๆ ของบรรยากาศและผลกระทบจากการตายนั้นๆ ออกได้มาดีเยี่ยม ยิ่งในบางฉากบางตอนการที่หนังเหลือพื้นที่ให้คนดูไปคิดต่อด้วยตัวเองแบบนี้ก็ยิ่งทำให้มันทรงความหมายมากกว่าเดิมเสียอีก (ถ้าพี่เต๋อทำกลับกัน เราคงจะได้อารมณ์ Final Destination แทน)
.

สำคัญคือในการตายทั้งหลายแหล่นั้น สาเหตุมัน "ห่วยสิ้นดี" ชวนให้เราอดเซ็งไปด้วยไม่ได้ ... แต่ในความห่วยนั้น มันก็มีความเชื่อมโยงกับคนดูอย่างเราๆ ไปพร้อมกันด้วย หนังเลือกเอาบริบทป่วยๆ ของประเทศเราบางประการมาเสียดสีและผสมผสานกับเรื่องราวด้วย จนเกิดความรู้สึกที่ว่า "เออเว้ย กูก็โดนแบบนั้นได้ง่ายๆ เลยนี่หว่า" เพราะทุกอย่างมันดูใกล้ตัวเราไปหมด
.

ว่าด้วยความตายตามที่หนังสื่อออกมา มันก็คือตัวแทนของ "แนวคิดเกี่ยวกับความตาย" บรรดารูปแบบที่พวกเรามีอยู่ในหัวนั่นแหละ ซึ่งในจุดนี้เองที่จะทำให้หนังมัน subjective มากๆ เพราะต่างคนคงมีทัศนะเกี่ยวกับความตายที่แตกต่างกัน บ้างอาจมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ บ้างอาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ก็สุดแล้วแต่คนดูแต่ละคนจะรับรู้ไป
.

ความอาจหาญอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชมเป็นพิเศษก็คือ "มุมกล้องพิเศษ" ที่ผู้กำกับเลือกใช้ ซึ่งช่วยขับเน้นอารมณ์ของตัวละครให้เด่นชั้นขึ้นมาอีกขั้น, การโคลสอัพใบหน้าตัวละครกลายเป็นหนึ่งในไม้ตายกระแทกใจไปโดยปริยาย, การเน้นย้ำถึงเรื่องเวลาที่สัมพันธ์กับความตาย และความเงียบสงบที่หนังมอบให้คนดูอย่างพวกเราก็เป็นตัวเลือกที่แสนวิเศษเหลือเกิน
.
.

ใจจริงก็อยากชื่นชมให้มากกว่านี้ แต่สารภาพตรงๆ เลยว่ามันไม่มีอะไรให้เขียนต่อจริงๆ (สำหรับเรานะ) เพราะอย่างที่บอกไปว่าหัวใจของหนังมันก็คือ "ความรู้สึก" ที่ผู้เขียนอยากให้คุณไปสัมผัสในโรงเองมากกว่า

และขอบอกเลยว่าบรรยากาศในโรงมันเป็นอะไรที่พิเศษมาก กับการที่ทุกคนแทบจะกลั้นหายใจดูหนังไปพร้อมกัน ตลอดเวลาชั่วโมงกว่าๆ ไม่มีเสียงรบกวนอะไรเลยซักแอะ เป็นภาวะที่เป็นสมาธิอย่างที่สุดเท่าที่ชาวหนังอย่างเราจะร้องขอได้แล้ว

ไปดูเถอะ อย่าพลาดเลย.

ป.ล.พาร์ทผู้เขียนชอบที่สุดคือพาร์ทของเต้ย-จรินทร์พร ครับ

หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่