ฝ่ากองทัพนรกเดินดิน [บทที่ 2]

เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นมาท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในค่าย ชายหนุ่มตรวจสอบว่าเขาคงไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม สายตาสำรวจมองห้องที่ว่างเปล่ามีเตียงเก่าๆและกระเป๋าคู่ใจพร้อมกับอาวุธปืนเตรียมพร้อม พลางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเขาไม่ได้ตกอยู่ในฝันซ้อนฝันถึงเพื่อนของเขา

“เฮ้ แครอไลน์มาแล้ว” มีชายคนหนึ่งที่เป็นผู้รอดชีวิตที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยเดินเข้ามาบอกก่อนเขาจะพยักหน้ายืนยันและรีบแต่งตัว

ขบวนรถจิ๊บหรือรถประเภทคันอื่นๆที่ทางค่ายได้พบมันตามทางได้หาวิธีที่จะซ่อมมันและหาแหล่งน้ำมันกำลังบรรทุกข้าวของจากสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งจากมา เขายืนนิ่งขณะกำลังพยายามสวมเสื้อยีนส์ เหลือบเห็นบ็อบกำลังยืนคุมเชิงอยู่ข้างหน้าประตูพลางใช้ไม้ปลายแหลมฆ่าซอมบี้ที่ตามมา ถ้าคุณอยากจะพักอยู่ที่นี่ให้ยืนยาวก็จงอย่าจุดพลุเรียกมันมาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เกิดเสียง

บรรยากาศอึมครึมลงทันตาเมื่อเห็นแครอไลน์มีใบหน้าที่สู้ไม่ดีนัก ทันทีที่เอก้าวลงมาจากรถปกเสื้อที่มีรอยเลือดพร้อมกับสภาพที่มอมแมม คนในค่ายต่างเข้ามารอฟังข่าวเพื่อจะได้รู้ว่าเราเสียไปมากแค่ไหน

“เราป้องกันค่ายเราไม่ได้ ที่นั่นเละไปแล้ว”

อดัมเดินลงไปเพื่อรวมกับคนอื่นทันที่จะได้ยินเสียงของเธอพูด สายตาชำเลืองมองเขาประมาณว่าต้องคุยกันซักหน่อย

ผู้คนถอนหายใจเมื่อค่ายที่พวกเขาต่างสร้างมันขึ้นมาได้พังลงไปเพราะซอมบี้ที่แห่มาเป็นโขยงจนรับแรงปะทะไม่ไหวจึงต้องขนของเท่าที่ขนมาได้ คนคนหนึ่งที่ติดมากับแคลรับหน้าที่ประกาศคนที่เสียไป เมื่อทราบข่าวบางคนก็ร้องห่มร้องไห้ ล้มกองลงบนพื้น อดัมรู้ดีว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นยังไง เขาจึงได้เพียงเหลือบมองคนเหล่านั้นก่อนจะเดินตามแคลร์

“คนของรัฐ มันเล่นงานเรา”

อดัมผงะไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองเธอ พลางคิดว่าคนพวกนั้นยังไม่จบ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกคับแค้นกับคนพวกนั้นอยู่ก็ตาม

“ เราต้องอยู่ให้ห่างจากคนพวกนั้น ไม่รู้ว่ามันจะจู่โจมเราอีกเมื่อไหร่”

ใช่ เขาก็คิดอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “แล้วเราจะทำยังไงต่อไป”

“หาทางป้องกัน สำรวจแหล่งปลอดภัย” เขาพยักหน้า ในโลกที่เขาอยู่ตอนนี้มันไม่ต่างไปจากนรกที่ต้องคอยหลบซ่อน แม้กระทั่งปีศาจยังสู้กับคนด้วยกันไม่ได้เลย

ร่างสาวแกร่งเดินจากไป เขายืนพิงมองดูคนอื่นๆที่กำลังชุลมุนวุ่นวายก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกของบ็อบเพื่อไปยกของออกจากรถวึ่งเขาก็รีบวิ่งไปโดยทันทีเพราะถ้าปล่อยให้ความคิดมันเล่นงานก็คงต้องสวมบทเป็นไอ้บ้าเสียสติอีกรอบแน่

เช้าตรู่ของอีกวันหนึ่งหลังจากที่พวกเขาได้เสียพื้นที่ไปหนึ่งแห่ง จึงทำให้พวกเขาต้องออกล่าตระเวนหนึ่งในนั้นก็เป็นที่เป็นคนอาสามารับหน้าที่เพื่อสำรวจตรวจตราว่าคงไม่มีพวกที่สามารถสร้างความวุ่นวาย

นับตั้งแต่โลกนี้ไปด้วยเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้จากการกัดโดยผู้ติดเชื้ออาจจะทำให้คนๆนั้นไม่มีชีวิตรอดทันที ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือบอกลาคนที่รักและรอเวลาตาย หรือไม่ก็เหนี่ยวไกที่สมองซะเอง  อดัมส่งเสียงภายในลำคอก่อนจะเดินไปตามทางที่มีต้นไม้ปกคลุมมากมายพร้อมกับถือมีดในท่าที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

โลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คนที่อยู่รอดและผู้ติดเชื้อเท่านั้น ยังมีอีกคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคอยรังควานเพื่อที่จะกำจัดคนที่มีชีวิตรอดโดยการนำตัวไปทำการศึกษา คุณคงไม่อยากจะเชื่อถ้าคุณต้องอยู่ท่ามกลางเข็มนับร้อยที่พร้อมจะทิ่มแทงคุณได้ทุกเมื่อ และเมื่อหมดประโยชน์เท่านั้นพวกนั้นจะเห็นแค่เราเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่ง รู้เพียงวิธีการเดียวคือกำจัดทิ้ง มีดที่ถือค้างไว้ตอนนี้ไปอยู่ในหัวของใครคนหนึ่งที่ศพถูกตรึงไว้กับต้นไม้

เสียงครางที่แผดเสียงอยู่เมื่อครู่ได้หยุดลงโดยพลันทันทีที่เขาจ้วงมีดแทงเข้าที่สมองอย่างจัง เขาใช้เท้ายันต้นไม้เพื่อดึงมีดออกจากกระโหลกซึ่งส่งเสียงคล้ายของเหลวหนืดที่เหม็นคละคลุ้งซึ่งภายหลังมานี้เขาชินไปเสียแล้วก่อนจะนั่งยองอยู่ต่อหน้าซากศพพลางปล่อยให้ความคิดพรั่งพรูเข้ามาทั้งๆที่ยังจดจ้องใบหน้าที่ไม่มีเค้าโครงของหน้าคนเหลืออยู่แล้ว

หลังจากที่เขาพยายามใช้ชีวิตที่ผ่านมาได้ด้วยความลำบากเพียงลำพังเขาจึงได้รู้อะไรมากมายและเคยมีครั้งหนึ่งที่เขาเคยหลุดเข้าไปอยู่ในนั้นได้ และหนีออกมาพร้อมกับสหายหลายๆคนที่ทยอยตายก่อนจะหลุดพ้นจากพวกนั้น นับตั้งแต่นั้นอดัมก็ไม่ได้พบคนเหล่านั้นอีกเลย

เขาหวังเพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นที่หนีรอดพ้นมาด้วยกันคงมีสภาพไม่ต่างจากเขา หนี หลบซ่อน ต่อสู้เมื่อยามจำเป็น โลกนี้มันเสื่อมไปหมดมีแต่คนจ้องจะฆ่ากันเองแทบตลอดเวลา จนเขาสามารถมาหยุดอยู่ที่ค่ายนี้ได้เพราะแคลร์กับลิเดียพบเขา ถ้าเขาสามารถทำอะไรมากกว่านี้ก็คงต้องอยากจะถามผู้คนเหล่านั้นที่จับคนบริสุทธ์ไปเพื่อทดลอง ว่าในหัวคิดพวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า

จู่ๆก็มีเสียงใบไม้แห้งดังขึ้นมาหยุดความคิดเขา ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปทางเสียงก่อนจะใช้มีดที่ยังเปื้อนคราบเลือดเน่าๆติดอยู่ดันต้นไม้ที่มีกิ่งก้านแผ่สยายออกไปให้พ้นทางเพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น

ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นซากศพผู้ติดเชื้อเดินชนต้นไม้ถัดไปประมาณสิบเก้า เพราะทำไมเขาถึงโล่งอกน่ะเหรอ มันคงจะดีมากถ้าจะต้องมาเจอคนด้วยกันเองซะอีก คุณจะไม่มีทางรู้แน่ๆว่าคนที่รอดพ้นหลังจากโลกใบนี้เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อพวกเขาต่างก็ผ่านอะไรด้วยกันมาไม่ต่างจากคนในค่ายของเขา ซึ่งมันจะต้องมีการเอาตัวรอด ฆ่าอีกฝ่ายเพื่อตัวเองจะได้มีชีวิตอยู่ นานมากแล้วสินะ ที่เขาได้เรียนรู้ผู้คนหลังจากโลกนี้ดับสูญไปแล้ว

How to Survive…

ภาพที่ยังปรากฏอยู่ในหัวนั้นยังคงสร้างความละอายแก่ใจ คนที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กดันมาตายต่อหน้าต่อตาเขาพร้อมกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้ที่เลือกที่จะช่วยเขามากกว่าเพื่อนรักของเขา ทำไม

ร่างของคนสองคนที่วิ่งหนีออกมาจากเมืองบ้านเกิดพร้อมกับทิ้งหายนะไว้เบื้องหลัง สภาพที่สะบักสะบอมจากการวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต  อดัมไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น เขาทำผิดมหันต์ เขาอยากจะตายซะเดียวนี้ แต่ทันใดนั้นระหว่างที่เขากำลังเดินทางพ้นออกจากเขตในเมือง แรงสั่นสะเทือนได้บังเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดลูกใหญ่ซึ่งเขาไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าตำแหน่งมันอยู่ตรงไหนในตัวเมือง

“โอ พระเจ้า เราต้องหนี คนพวกนั้นกำลังจะพยายามระเบิดเมืองนี้”

นายทหารคนดังกล่าวว่าพลางดันตัวเขาวิ่งนำหน้าก่อนพร้อมกับถือปืนเอี้ยวตัวไปมาเตรียมเหนี่ยวไก แรงระเบิดมันร้ายกว่ายิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ เขาทั้งสองคนต่างวิ่งมาถึงจุดเขตนอกเมืองพลางปีนขึ้นไปบนเนินที่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆพังพินาศไปกับตา เปลวไฟลุกปรากฏขึ้นเป็นขนาดหย่อมๆ ควันและฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศราวกับเมืองนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน

ลูกไฟมหึมาพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเหมือนเสียงเรียกร้องให้ผู้คนที่ตายไปแล้วตรงเข้ามายังเมืองนี้ อดัมยืนอ้าปากค้างเมื่อเห็นเงาของร่างคนจากหนึ่งคนกลายเป็นสองและกลายเป็นกองทัพของผู้ติดเชื้อเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“โอ พระเจ้า” อดัมสบถคำหยาบอีกหลายคำก่อนจะตามนายทหารคนนั้นที่กำลังจะงัดฝาท่อเพื่อมุดตัวเข้าไป

อดัมจ้องมองเหล่าผู้ติดเชื้อที่มีสภาพเหม็นเน่าเริ่มใกล้เข้ามายังจุดที่พวกเขายืนอยู่ ก่อนจะรีบตามลงไปพลางรีบไปฝาท่อด้วยจิตใจระทึกภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

เสียงลมหายใจที่เกิดจากความตื่นกลัวทำให้ทั้งคู่รวบรวมสติ อดัมเห็นเขาดึงไฟฉายขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า กระแทกเข้าที่มือเมื่อเห็นมันยังไม่ติดก่อนจะกระพริบเป็นแสงไฟ

“นายแน่ใจได้ยังไง ว่ามันจะปลอดภัย” อดัมเอ่ยปากถามพลางสอดส่องทางข้างหน้าแล้วเอี้ยวไปทางข้างหลังที่มีแต่ความมืดมิดเบื้องหลังลำแสงของไฟฉาย

“ดีกว่าข้างบนนั้นก็แล้วกัน”

ไม่มีอะไรดีกว่าการปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ถึงแม้ใจมันคิดว่าเขาออาจจะกำลังฝันร้ายอยู่แต่ก็คงไม่ช่วยอะไรมากไปกว่านี้แล้ว กระบอกไฟฉายที่ถูกมือของเขากำไว้ซะแน่นขนัดเพื่อควบคุมตัวเองให้ได้ เพราะยังไงซะหมอนี่ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี เขาคิดพลางกวาดแสงไฟไปตามทางเดินก่อนจะเดินนำหน้าต่อไป กลิ่นแสบจมูกจากสิ่งปฏิกูลมากองรวมกันอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านั้นแทบจะทำให้ท้องไส้เขาปั่นป่วนพร้อมที่จะสำรอกออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้เขาชินซะแล้ว

หลังจากเดินตามทางของท่อมาเรื่อยๆนายทหารคนนั้นจึงหาทางเพื่อที่จะขึ้นมาบนพื้นจริงๆ พร้อมกับพาเขาไปยังสถานที่ที่เข้ายืนยันว่าจะเป็นสถานที่หลบภัยชั้นยอดซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างหมอนั่นพูดจริงหรือเปล่า แต่เขาเดินไปแหวกดงหญ้าที่ขึ้นระเกะระกะอยู่บนพื้นพลางใช้มือปัดดินออก เหมือนจะเจอฝาท่ออีกแล้ว

“คงต้องลงท่อแล้วล่ะ เราเดินไปไม่พอครึ่งไมล์หรอกแถมกลิ่นเราออกจะหอมสำหรับพวกมัน” เขาว่าขณะดึงเปิดฝาท่อดังกล่าวขึ้นมาพลางใช้ไฟฉายส่องไปด้านล่างก่อนจะพยักเพยิดให้อดัมลงไปก่อน หมอนี่กำลังพาเขาไปไหนกันแน่นะ

อดัมทำใจไปชั่วขณะก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไม่ใช่สีครามอีกต่อไปพลางคิดว่าเขาจะได้เจอแสงอาทิตย์อีกหรือเปล่าจะลอดตัวลงไป มือควานหาสิ่งที่สามารถยึดการทรงตัวเขาได้ก่อนจะค่อยๆกระโดดลงไปทีเดียว

ตึง เสียงดังสะท้อนไปทั่วบริเวณแต่เขายังเบาใจขึ้นมาหน่อยเพราะไม่ได้มีกลิ่นเหม็นเน่าอีกแล้ว เขาพยามเบิกตาเพื่อมองฝ่าความมืดแต่หมอนั่นดันเรียกให้เขารับไฟฉายที่โยนลงมาอย่างทันควัน

ทันทีที่เขารับมันมาเขาก็รีบส่องไปทั่วบริเวณ ผลก็ไม่ต่างไปจากท่อที่เขาผ่านมาสักเท่าไหร่ก่อนจะตกใจสักเล็กน้อยเมื่อหมอนั่นดันเขาให้เดินไปอีกทางเหมือนคุ้นเคยกับทาง

“เดี๋ยวเราก็ถึงแล้วล่ะ ฉันรู้ว่านายกำลังโกรธฉันแต่…นี่มันเป็นหน้าที่ของฉัน ฉะนั้นอย่าโกรธกันเลยนะเพราะยังไงซะเพื่อนของนายก็ต้องตายเพราะเจ้าเด็กนั่นติดเชื้อมาตั้งแต่คืนก่อนที่จะโรงเรียน” อดัมหยุดเดินพลางจ้องหน้าที่มีแสงไฟจากไฟฉายที่ค่อนข้างเห็นได้เพียงเค้าโครงรางๆ

“แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกผมล่ะ และคุณรู้ได้ยังไง”

นายทหารคนดังกล่าวเดินถอนหายใจต่อไปและต้องทำให้เขาเดินตามอีกครั้งพลางถามคำถามซ้ำ และคำตอบที่ได้รับก็เป็นเพียงความเงียบ ซึ่งดูเหมือนเขาเพิ่งคายความลับออกมาจากปาก อดัมจะไม่ปล่อยให้มันคาราคาซังมาเป็นชั่วโมงอย่างนี้แน่

“เฮ้ คุณต้องบอก ผม มา เดี๋ยว นี้” สีหน้าที่หงุดหงิดของหมอนี่คงจะรำคาญเขาสุดขีดแต่ใครจะสนล่ะ จู่ๆก็โผล่พร้อมกับฆ่าเพื่อนรักของเขาแล้วปล่อยให้เขาคร่ำครวญให้เข้าใจผิดและเพิ่งมาบอกความจริงตอนนี้ว่า อเล็กซ์เองก็ติดเชื้อ ซึ่งนั่นค่อนข้างจะปวดระสาทที่สุดที่คนๆหนึ่งรู้เรื่องราวของเขาและคนรอบข้างมากขนาดนี้

“ฉันไม่มีเวลามาอธิบายอะไรทั้งนั้นนะ เราต้องให้ถึงสถานที่ที่ปลอดภัยก่อนนะ โอเค้” หมอนั่นพูดปัดในขณะที่เขากำลังอารมณ์เข้าขั้นเดือดสุดๆ

อดัมกระชากคอเสื้อเขามา ท่าทางดูมีความลับเยอะขนาดนี้ เขาชักจะกลัวกับคำว่าสถานที่ที่ปลอดภัยซะแล้ว แต่ทว่า

“นั่นมันเสียงอะไรอีกล่ะนั่น” อดัมเงี่ยหูฟังแต่นายทหารคนนั้นสะบัดตัวออกพลางเดินไปสัมผัสกับผนัง

แรงสั่นสะเทือนแบบนี้ ชักจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีซะแล้ว เสียงซ่าแปลกๆดังกระทบกับผนังสะท้อนดังมาทางนี้ อย่าบอกนะว่า

“โอ พระ เจ้า” ทันทีที่อดัมสบถ น้ำก็ซัดเข้ามาที่พวกเขาทั้งสองคน แรงดันน้ำทำให้เขาตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำซึ่งมีพื้นที่ให้หายใจเอาอากาศได้น้อยมากสำหรับเขา น้ำนี่ส่งกลิ่นเหม็นหืดชวนอ้วกทำให้เขาแทบอยากจะตายไปซะเลยทีเดียว อดัมเหลียวหาอีกคนและไม่มีแววของหมอนั่น ด้วยความมืดที่ไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามาทำให้การสอดสายตาหาได้ยากเข้าเห็นลำแสงเล็กอยู่บนพื้น

ซึ่งนั่นเป็นไฟฉายที่เผลอหลุดมือเขาไปเขาทำใจอย่างสุดซึ้งก่อนจะสูดอากาศเข้าให้เต็มปอดพลางดำลงไปเพื่อไปเอาไฟฉายที่สำคัยสำหรับเขามากในตอนนี้ แรงดันที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับมีคนพยายามจะดึงดันให้เขาซัดไปอีกทาง ทำให้เขาแผดเสียงด้วยความโมโหและออกแรงว่ายเพื่อให้ไปถึงลำแสงนั่นให้เร็วที่สุด วินาทีนี้เขาถึงได้รู้ว่าท่อนี่มันมโหฬารขนาดไหน เมื่อเขาเอื้อมมือไปคว้ามันได้สำเร็จก็ต้องรีบดำขึ้นไปเอาอากาศอย่างดดยด่วยเพราะนี่เหล่านี้กำลังเล่นงานเขาอย่างเจ็บแสบ พลางคิดว่านี่คงไม่ใช่น้ำธรรมดาแน่ๆ

เฮือกกก ทันทีที่เขาโผล่พ้นผิวน้ำก็ต้องสำรอกน้ำดังกล่าวออกมาพลางตั้งสติและใช้ไฟฉายส่องไปเพื่อมองหาเจ้าหมอนั่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่