// รีวิวการรักษาสิวอักเสบเรื้อรังแบบธรรมชาติด้วยตัวเอง (ไม่พึ่งหมอ ไม่กินโรแอคคิวเทน (Roaccutane) ไม่ใช้ differin หรือ clindamycin) //
บอกตามตรงเลยว่าเราตื่นเต้นกับการที่สิวหายมากจนทนไม่ไหว อยากจะแชร์ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเรา และเราไม่ได้เรียนเภสัช ไม่ได้เป็นหมอผิวหนัง หรือมีความรู้ในด้านนี้โดยเฉพาะแต่อย่างใด ยังไงก็ฟังหูไว้หูด้วยนะจ๊ะ ขอบอกที่มาที่ไปก่อนว่าสิวที่เรามีเป็นลักษณะยังไง ตอน ม.ต้น จนถึงประมาณ ม.4 เราเป็นคนมีสิวมาตลอด แต่เป็นสิวตามวัย ก็มีไปหาหมอ คุ้นเคยกับ Benzac AC (Benzoyl Peroxide) กับ Differin มาตั้งแต่เด็ก เพราะหมอจากสถาบันโรคผิวหนังสั่งจ่ายมาตลอด สำหรับชีวิตในช่วงนั้นบอกเลยว่า Differin ได้ช่วยชีวิตหนูไว้ 55 ส่วนยาอย่าง Clinda-M นั้น มันไม่สะท้านหน้าเรามานานแล้ว เลยใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร
อยู่ๆช่วง ม.5-6 เราไปแลกเปลี่ยน กลับมาไทยหน้าใสกิ๊งเฉย เสมือนอยู่ๆฮอร์โมนก็หมด ช่วงนั้นถึงไม่สนใจ ปล่อยหน้ามัน มีสกปรกจับหน้าอะไรสิวก็ไม่ขึ้น หน้าใสอยู่ต่ออีกหลายปีจนจบมหาลัย
พอเริ่มทำงานเท่านั้นแหละ แรกๆก็ดีอยู่หรอก พอทำไปได้สักปีนึงสิวก็เริ่มฟื้นคืนชีพ ตอนนั้นด้วยงานที่ทำให้ต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น้ำไม่สะอาด มลภาวะอาจจะเยอะ เราก็คิดว่าเป็นปัจจัยภายนอกเพราะสิวขึ้นจนคนทักว่าแพ้น้ำรึเปล่า ทำไมมันเห่อจัง ตอนนั้นมี Differin กับ Clinda-M ติดตัวตลอดอยู่แล้ว ก็เลยใช้ Clinda-M เสมือนโทนเนอร์ แต่สิวก็ไม่หายจนสุดท้ายมันพีคมากๆก็เลยไปหาหมอตามคลีนิคที่คนรู้จักแนะนำ หมอบอกประมาณว่าฮอร์โมนกลับมาแล้ว 😱 เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงในเมื่อเลยวัยรุ่นมาแล้ว สรุปหมอจ่ายยามา ต่างจากที่เราได้ปกติตรงที่มียากินมาด้วย ละแพงมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่ายากินนั้นคืออะไร แต่กินไปกินมาหน้าเริ่มดีขึ้น สิวอักเสบน้อยลง แต่ปากแห้งมากกก สักพักมีคนมาบอกว่าเนี่ยมัน Roaccutane แล้ว พี่ที่รู้จักกันเลยขู่ใหญ่ว่ามันอันตราย ผลข้างเคียงเยอะมาก ไม่คุ้มหรอก จนเรากลัว (แต่ก็แอบดีใจที่กินแล้วสิวหาย) ก็เลยไม่ได้ไปหาหมอเจ้านั้นต่อ
หลังจากนั้นสักครึ่งปีเรากลับไปหาหมอที่สถาบันโรคผิวหนังอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เหยียบไปเกือบเป็นสิบปี หมอก็ให้มาตามสูตรเดิมๆคือ Benzac ทาก่อนล้างหน้า, เจลล้างหน้า(แบบไม่มี soap) และ Clindamycin และก็ห้ามทาครีมกันแดด ห้ามแต่งหน้าซึ่งทรมานมาก หาไปสักพักก็ไม่ดีขึ้นเลย ตอนนั้นเราก็เลยแอบไปซื้อ Differin มาใช้ด้วย สรุปสิวก็ไม่หายอยู่ดี แต่หน้าตอนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าแย่สุดๆ (เพราะก่อนหน้านั้นกิน Roaccutane เคลียร์ไปหน่อยแล้ว55)
หลังจากนั้นเรามาเรียนต่อที่อังกฤษ พอมานี่ อากาศก็ดีขึ้นแล้วสำหรับคนหน้ามันมากอย่างเรา สิวก็ยังขึ้นอีก เพื่อนก็บอกว่าแพ้น้ำรึเปล่า เราก็อีล็อบนี้อีกแล้ว คิดในใจว่ามันน่าจะเป็นที่หน้าชั้นเองมากกว่าแล้วแหละ 😫 สิวก็เป็นๆหายๆอยู่เป็นปี แต่เพราะอยู่ต่างประเทศก็เลยไปหาหมอไม่ได้ มันแปงงงง ส่วนใหญ่เป็นสิวอักเสบ แต่ไม่ถึงกะขั้น Cyst เราก็ได้แต่ใช้ Differin, Clindamycin (รู้สึกจะ Clindagel) กับ Clinda-M ที่ขนมาจากเมืองไทยต่อไป
…จนกระทั่งชีวิตมีอันผกผัน หลังเรียนจบ เราได้งานที่นี่ก็เลยอยู่ต่อ คราวนี้เสมือนอยู่อังกฤษถาวรแล้ว ต้องเริ่มหายาอะไรที่นี่ใช้บ้างแล้วถ้าไม่อยากจะต้องนั่งขนยามาจากไทยตลอด พอ Clinda-M เราหมดเราก็ไปหาซื้อที่ Boots ปรากฎไม่มีค่ะ! ไปถามเภสัช เภสัชบอกมีในสั่งยามั้ย ตกใจเล็กน้อยว่า Clinda-M ที่บ้านเราขายตาม 7-eleven นี่ต้องมีใบสั่งยาด้วยเหรอ และก็ยังคิดในใจว่าที่นี่จุกจิกจัง ยังงี้อยู่นี่สิวจะหายได้ไงเนี่ย และก็เลยไปซื้อยาแก้สิวของ Boots มาแทน (
Boots Skin Clear Ultra Rapid Action Spot Gel) ซื้อมาใช้แล้วก็ติดใจ เพราะสิวยุบลงและไม่ทำให้ผิวแห้ง (ถ้าไม่ได้โบ๊ะเกินเหตุ) แต่ยังไงก็ไม่ได้ทำให้สิวเราหมดไปอยู่ดี เพราะขึ้นมาใหม่ตลอด
ตอนนั้นก็เริ่มทำใจว่าชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของเราอาจจะต้องเป็นสิวไปตลอดแล้ว เพราะเป็นเวลาสองปีกว่าแล้วที่เป็นสิวมาตลอด ถ้ามันไม่ได้หนักหนามาก ก็ทำใจเถอะ 😔 ...แต่แล้วหน้าเรามันก็กลับมาเป็นสิวแบบหนักหนาอีกครั้ง!! คราวนี้เริ่มทำชีวิตเราลำบาก เพราะมันอักเสบจนเริ่มรบกวนชีวิตเรา แต่งหน้าไม่ได้เพราะสภาพผิวแย่มาก คือทั้งแห้ง ทั้งเป็นสิว ทารองพื้นก็เป็นคราบและสิวอักเสบมากจนปิดไม่อยู่แล้ว เราเริ่มเสียความมั่นใจในตัวเอง เครียดทั้งงาน แถมยังเครียดเรื่องสิวอีก จนสุดท้ายไม่ไหวแล้ว คิดถึงยา Roaccutane อีกครั้ง ยาจะรุนแรงยังไงก็จะยอมกินแล้ว ตอนนั้นอะไรก็ยอมแค่อยากจะกดปุ่ม reset หน้าอีกครั้ง!!
ปรากฎมันยากมากค่ะที่จะหายา Roaccutane ที่อังกฤษ ตอนแรกหาใน amazon กะว่าแอบสั่งมาในเน็ตแบบไม่มีใบสั่งยาก็ได้วะ แต่ดูในเน็ตแล้วไม่ค่อยมีใครขาย แล้วก็เริ่มกลัวว่าถึงหาได้จะรู้ได้ยังไงว่าใช่ตัวยาจริง ไม่ใช่ยา dummy เพราะราคาตัวยาค่อนข้างแพง โอกาศโดนขายยาปลอมน่าจะสูง
ก็เลยเปลี่ยนใจ โอเค ทำแบบถูกต้องไปเอายาจากหมอก็ได้วะ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะที่อังกฤษเราจะลงทะเบียนไว้กับหมอใกล้บ้าน คือที่นี่เวลาเจ็บป่วยอะไรควรไปหาจากหมอคนเดิมหรือคลีนิกเดิม เค้าได้รู้ประวัติ ไม่ใช่เปลี่ยนหมอไปมา สรุปอ่านระเบียบการได้ใจความคือ ต้องไปหาหมอประจำตัวเรา (GP) ให้เค้าส่งตัวเราไปต่อให้หมอผิวหนัง (ซึ่งกว่าจะได้คิวอาจจะยาวเป็นเดือน) แล้ววิธีการรักษาสิวที่นี่ (และก็คงที่ไทยเหมือนกัน) ถ้ามองเป็นพีระมิด การใช้ Benzac, เจลล้างหน้า นั้นคือฐานพีระมิด การจ่าย Differin นี่คือเริ่มจะกลางๆพีระมิดละ ส่วน Roaccutane นี่คือปลายยอดบนสุดของพีระมิด เท่ากับว่า ถึงจะไปหาหมอผิวหนังได้แล้ว กว่าจะได้ยา Roaccutane มาคือหมอต้องลองทุกวิธีทางแล้วไม่ได้ผล
…เราก็เลยยอมแพ้ ไม่พยายามหา Roaccutane แล้วก็ได้
ตอนนั้น Differin เราหมดแล้วแล้วก็หาซื้อเพิ่มที่อังกฤษเองไม่ได้อีกเช่นกัน ช่วงที่หาข้อมูลนั้นเองเราถึงรู้ว่า Clindamycin ที่ต้องใช้ใบสั่งยาเพราะว่าเป็นตัวยาที่ใช้แล้วมีโอกาสดื้อยาได้ จริงๆจะว่าไปแล้ว ใช้ Differin ยังจะดีซะกว่า Clindamycin เพราะ Differin เป็นยากลุ่ม Retinoids เหมือน Roaccutane แค่วิธีเข้าร่างกายต่างกัน และผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก สำหรับเรายาพวกนี้ในแง่ประสิทธิภาพถือว่าเวิร์ค ส่วน Clindamycin หรือ Erythromycin นั้นเป็นยาปฏิชีวนะควรใช้แบบคอยคุมโดสเพราะเราอาจจะดื้อยาได้ แอบตกใจเล็กน้อย นึกย้อนไปถึงตอนที่ใช้ Clinda-M ดั่งโทนเนอร์ และก็ว่าทำไมตอนหลังที่หมอจ่าย Clindamycin มาที่เข้มข้นกว่า Clinda-M แล้ว ทำไมใช้ไม่ได้ผลเลย ตอนนี้เข้าใจเอาเองว่าตัวเราน่าจะดื้อยากลุ่มนี้ไปแล้ว
หลังจากได้ตระหนักว่ากว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาผิวหน้าเราโดนสารเคมีมาหนักหนาขนาดไหน (ถึงขนาดดื้อยาตัวหลักไปแล้วตัวนึง!) เราเลยเริ่มหันมามองว่ามีวิธีรักษาแบบธรรมชาติมั้ย เราก็มาคิดว่าต้นเหตุของสิวคือไขมันที่อุดตัน ซึ่งเกิดจากสองอย่าง 1. ไขมัน(หน้ามัน) + 2. สิ่งสกปรกหรือเศษผิวหนังบนใบหน้า และถ้าเป็นสิวอุดตันจะมีอย่างที่ 3. คือ แบคทีเรีย P. acnes ถ้าจะรักษาด้วยวิธีธรรมชาติก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุเลยเท่านั้น
พูดถึงการรักษาสิวก็คงต้องมีรูปประกอบนิดนึง รูปแถวบนคือตอนที่เป็นหนักๆ(แต่ก็ยังไม่ใช่ช่วงพีคสุด)ก่อนที่จะเริ่มพยายามรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ ส่วนแถวล่างคือผลที่ได้ประมาณ 2 เดือนหลังจากนั้นค่ะ
คราวนี้มาดูวิธีการจัดการต้นเหตุของสิวกันทีละตัวเลยค่ะ
หน้ามัน
- เพราะกินของมัน? บางแหล่งบอกว่าไม่มีผล
- เครียด? อันนี้ไม่ว่าที่ไหนก็บอกว่ามีผล เราก็เลยตั้งใจเลยว่าชั้นจะไม่เครียดแล้วนะ เพราะไม่มีอะไรดีขึ้น คือบอกออกจากออฟฟิศ กลับบ้านแล้วก็คือหยุดคิดเรื่องงานเลย บอกตัวเองว่าไม่งั้นมันบั่นทอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าเครียดนั่งคิดแล้วงานมันจะเสร็จเร็วขึ้น แล้วการคิดได้ยังงี้มันก็มีผลดีทางอ้อมด้วยคือ พอตอนทำงานเราก็พยายามแอคทีฟ จัดการอะไรๆให้มันดีขึ้น มันจะได้ไม่มาเครียดทีหลัง เรื่องคน เรื่องเพื่อนร่วมงานก็อย่าไปคิดไรมาก ปล่อยๆไปบ้าง เจ้าตัวเค้าไม่มาเดือดร้อนอะไรกับเรา เรานี่สิเครียดเองเปล่าๆแล้วเดี๋ยวสิวก็ขึ้น นอกจากนี้เราก็เริ่มสวดมนต์ พยายามให้ได้ทุกคืน ไม่ใช่เพื่อขอพรให้สิวหาย แต่เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นการลดความเครียด ทำให้เรานอนหลับสนิท การพักผ่อนดีขึ้น พรที่ขอนั้นเป็นแค่ผลข้างเคียงที่ทำให้สบายใจ55
- นอนน้อย? นี่ก็มีผลเหมือนกัน เราก็ยังคงไม่ใช่คนนอนเยอะ แต่ว่านอนเวลาเหมือนคนปกติมากขึ้น เป็นเวลามากขึ้น
- แล้วเราก็หมั่นซับหน้ามัน (ด้วยกระดาษซับหน้ามันที่สะอาด...สารภาพว่าแต่ก่อนใช้กระดาษทิชชู่ไรสะเปะสะปะไปเรื่อย) เพราะเราชอบเผลอปล่อยหน้ามัน กลับมาบ้านไม่เช็คหน้า หน้ามันพร้อมเครื่องสำอางค์จนดึกดื่น
- นอกจากนี้เราก็พอกโคลนเพื่อดูดซับความมัน ส่วนตัวเราจะพยายามเลือกที่เป็นโคลนล้วน ไม่มีสารเคมีอื่นผสม อยู่ที่อังกฤษนี่เราใช้
Le Petit Olivier Green Clay Paste พอกเสร็จตอนล้างออกมันจะมีเศษเป็นเม็ดๆนิดนึง อารมณ์สครับต่อได้เลย แต่จริงๆใช้อะไรก็ได้ที่เป็นโคลนล้วนๆ โคลนบ้านเราแถบเอเชียน่าจะหาได้ง่ายกว่า โคลนดำเกาหลีญี่ปุ่นไรงี้ ตอนอยู่เมืองไทยเราเคยใช้ Mint Julep Masque ซึ่งในแง่การซับความมันก็ใช้ดี แต่รู้สึกจะมีพวกสารปรุงแต่ง สีสังเคราะห์ น้ำหอม สารกันบูดเยอะเหมือนกัน
- ก่อนแต่งหน้าเราใช้ครีมสำหรับผิวมันเป็นสิว พวก mattifying moisturiser ตัวที่ใช้อยู่คือ
Bioderma Sébium Global intensie purifying care ทำให้สามารถให้ความชุ่มชึ้นปรับสภาพผิวก่อนแต่งหน้าได้โดยไม่ทำให้หน้ามัน
[CR] รีวิวการรักษาสิวอักเสบเรื้อรังแบบธรรมชาติด้วยตัวเอง (ไม่พึ่งหมอ ไม่กิน Roaccutane ไม่ใช้ differin หรือ clindamycin)
บอกตามตรงเลยว่าเราตื่นเต้นกับการที่สิวหายมากจนทนไม่ไหว อยากจะแชร์ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเรา และเราไม่ได้เรียนเภสัช ไม่ได้เป็นหมอผิวหนัง หรือมีความรู้ในด้านนี้โดยเฉพาะแต่อย่างใด ยังไงก็ฟังหูไว้หูด้วยนะจ๊ะ ขอบอกที่มาที่ไปก่อนว่าสิวที่เรามีเป็นลักษณะยังไง ตอน ม.ต้น จนถึงประมาณ ม.4 เราเป็นคนมีสิวมาตลอด แต่เป็นสิวตามวัย ก็มีไปหาหมอ คุ้นเคยกับ Benzac AC (Benzoyl Peroxide) กับ Differin มาตั้งแต่เด็ก เพราะหมอจากสถาบันโรคผิวหนังสั่งจ่ายมาตลอด สำหรับชีวิตในช่วงนั้นบอกเลยว่า Differin ได้ช่วยชีวิตหนูไว้ 55 ส่วนยาอย่าง Clinda-M นั้น มันไม่สะท้านหน้าเรามานานแล้ว เลยใช้ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร
อยู่ๆช่วง ม.5-6 เราไปแลกเปลี่ยน กลับมาไทยหน้าใสกิ๊งเฉย เสมือนอยู่ๆฮอร์โมนก็หมด ช่วงนั้นถึงไม่สนใจ ปล่อยหน้ามัน มีสกปรกจับหน้าอะไรสิวก็ไม่ขึ้น หน้าใสอยู่ต่ออีกหลายปีจนจบมหาลัย
พอเริ่มทำงานเท่านั้นแหละ แรกๆก็ดีอยู่หรอก พอทำไปได้สักปีนึงสิวก็เริ่มฟื้นคืนชีพ ตอนนั้นด้วยงานที่ทำให้ต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น้ำไม่สะอาด มลภาวะอาจจะเยอะ เราก็คิดว่าเป็นปัจจัยภายนอกเพราะสิวขึ้นจนคนทักว่าแพ้น้ำรึเปล่า ทำไมมันเห่อจัง ตอนนั้นมี Differin กับ Clinda-M ติดตัวตลอดอยู่แล้ว ก็เลยใช้ Clinda-M เสมือนโทนเนอร์ แต่สิวก็ไม่หายจนสุดท้ายมันพีคมากๆก็เลยไปหาหมอตามคลีนิคที่คนรู้จักแนะนำ หมอบอกประมาณว่าฮอร์โมนกลับมาแล้ว 😱 เราก็คิดว่าจะเป็นไปได้ไงในเมื่อเลยวัยรุ่นมาแล้ว สรุปหมอจ่ายยามา ต่างจากที่เราได้ปกติตรงที่มียากินมาด้วย ละแพงมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่ายากินนั้นคืออะไร แต่กินไปกินมาหน้าเริ่มดีขึ้น สิวอักเสบน้อยลง แต่ปากแห้งมากกก สักพักมีคนมาบอกว่าเนี่ยมัน Roaccutane แล้ว พี่ที่รู้จักกันเลยขู่ใหญ่ว่ามันอันตราย ผลข้างเคียงเยอะมาก ไม่คุ้มหรอก จนเรากลัว (แต่ก็แอบดีใจที่กินแล้วสิวหาย) ก็เลยไม่ได้ไปหาหมอเจ้านั้นต่อ
หลังจากนั้นสักครึ่งปีเรากลับไปหาหมอที่สถาบันโรคผิวหนังอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เหยียบไปเกือบเป็นสิบปี หมอก็ให้มาตามสูตรเดิมๆคือ Benzac ทาก่อนล้างหน้า, เจลล้างหน้า(แบบไม่มี soap) และ Clindamycin และก็ห้ามทาครีมกันแดด ห้ามแต่งหน้าซึ่งทรมานมาก หาไปสักพักก็ไม่ดีขึ้นเลย ตอนนั้นเราก็เลยแอบไปซื้อ Differin มาใช้ด้วย สรุปสิวก็ไม่หายอยู่ดี แต่หน้าตอนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าแย่สุดๆ (เพราะก่อนหน้านั้นกิน Roaccutane เคลียร์ไปหน่อยแล้ว55)
หลังจากนั้นเรามาเรียนต่อที่อังกฤษ พอมานี่ อากาศก็ดีขึ้นแล้วสำหรับคนหน้ามันมากอย่างเรา สิวก็ยังขึ้นอีก เพื่อนก็บอกว่าแพ้น้ำรึเปล่า เราก็อีล็อบนี้อีกแล้ว คิดในใจว่ามันน่าจะเป็นที่หน้าชั้นเองมากกว่าแล้วแหละ 😫 สิวก็เป็นๆหายๆอยู่เป็นปี แต่เพราะอยู่ต่างประเทศก็เลยไปหาหมอไม่ได้ มันแปงงงง ส่วนใหญ่เป็นสิวอักเสบ แต่ไม่ถึงกะขั้น Cyst เราก็ได้แต่ใช้ Differin, Clindamycin (รู้สึกจะ Clindagel) กับ Clinda-M ที่ขนมาจากเมืองไทยต่อไป
…จนกระทั่งชีวิตมีอันผกผัน หลังเรียนจบ เราได้งานที่นี่ก็เลยอยู่ต่อ คราวนี้เสมือนอยู่อังกฤษถาวรแล้ว ต้องเริ่มหายาอะไรที่นี่ใช้บ้างแล้วถ้าไม่อยากจะต้องนั่งขนยามาจากไทยตลอด พอ Clinda-M เราหมดเราก็ไปหาซื้อที่ Boots ปรากฎไม่มีค่ะ! ไปถามเภสัช เภสัชบอกมีในสั่งยามั้ย ตกใจเล็กน้อยว่า Clinda-M ที่บ้านเราขายตาม 7-eleven นี่ต้องมีใบสั่งยาด้วยเหรอ และก็ยังคิดในใจว่าที่นี่จุกจิกจัง ยังงี้อยู่นี่สิวจะหายได้ไงเนี่ย และก็เลยไปซื้อยาแก้สิวของ Boots มาแทน (Boots Skin Clear Ultra Rapid Action Spot Gel) ซื้อมาใช้แล้วก็ติดใจ เพราะสิวยุบลงและไม่ทำให้ผิวแห้ง (ถ้าไม่ได้โบ๊ะเกินเหตุ) แต่ยังไงก็ไม่ได้ทำให้สิวเราหมดไปอยู่ดี เพราะขึ้นมาใหม่ตลอด
ตอนนั้นก็เริ่มทำใจว่าชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของเราอาจจะต้องเป็นสิวไปตลอดแล้ว เพราะเป็นเวลาสองปีกว่าแล้วที่เป็นสิวมาตลอด ถ้ามันไม่ได้หนักหนามาก ก็ทำใจเถอะ 😔 ...แต่แล้วหน้าเรามันก็กลับมาเป็นสิวแบบหนักหนาอีกครั้ง!! คราวนี้เริ่มทำชีวิตเราลำบาก เพราะมันอักเสบจนเริ่มรบกวนชีวิตเรา แต่งหน้าไม่ได้เพราะสภาพผิวแย่มาก คือทั้งแห้ง ทั้งเป็นสิว ทารองพื้นก็เป็นคราบและสิวอักเสบมากจนปิดไม่อยู่แล้ว เราเริ่มเสียความมั่นใจในตัวเอง เครียดทั้งงาน แถมยังเครียดเรื่องสิวอีก จนสุดท้ายไม่ไหวแล้ว คิดถึงยา Roaccutane อีกครั้ง ยาจะรุนแรงยังไงก็จะยอมกินแล้ว ตอนนั้นอะไรก็ยอมแค่อยากจะกดปุ่ม reset หน้าอีกครั้ง!!
ปรากฎมันยากมากค่ะที่จะหายา Roaccutane ที่อังกฤษ ตอนแรกหาใน amazon กะว่าแอบสั่งมาในเน็ตแบบไม่มีใบสั่งยาก็ได้วะ แต่ดูในเน็ตแล้วไม่ค่อยมีใครขาย แล้วก็เริ่มกลัวว่าถึงหาได้จะรู้ได้ยังไงว่าใช่ตัวยาจริง ไม่ใช่ยา dummy เพราะราคาตัวยาค่อนข้างแพง โอกาศโดนขายยาปลอมน่าจะสูง
ก็เลยเปลี่ยนใจ โอเค ทำแบบถูกต้องไปเอายาจากหมอก็ได้วะ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะที่อังกฤษเราจะลงทะเบียนไว้กับหมอใกล้บ้าน คือที่นี่เวลาเจ็บป่วยอะไรควรไปหาจากหมอคนเดิมหรือคลีนิกเดิม เค้าได้รู้ประวัติ ไม่ใช่เปลี่ยนหมอไปมา สรุปอ่านระเบียบการได้ใจความคือ ต้องไปหาหมอประจำตัวเรา (GP) ให้เค้าส่งตัวเราไปต่อให้หมอผิวหนัง (ซึ่งกว่าจะได้คิวอาจจะยาวเป็นเดือน) แล้ววิธีการรักษาสิวที่นี่ (และก็คงที่ไทยเหมือนกัน) ถ้ามองเป็นพีระมิด การใช้ Benzac, เจลล้างหน้า นั้นคือฐานพีระมิด การจ่าย Differin นี่คือเริ่มจะกลางๆพีระมิดละ ส่วน Roaccutane นี่คือปลายยอดบนสุดของพีระมิด เท่ากับว่า ถึงจะไปหาหมอผิวหนังได้แล้ว กว่าจะได้ยา Roaccutane มาคือหมอต้องลองทุกวิธีทางแล้วไม่ได้ผล
…เราก็เลยยอมแพ้ ไม่พยายามหา Roaccutane แล้วก็ได้
ตอนนั้น Differin เราหมดแล้วแล้วก็หาซื้อเพิ่มที่อังกฤษเองไม่ได้อีกเช่นกัน ช่วงที่หาข้อมูลนั้นเองเราถึงรู้ว่า Clindamycin ที่ต้องใช้ใบสั่งยาเพราะว่าเป็นตัวยาที่ใช้แล้วมีโอกาสดื้อยาได้ จริงๆจะว่าไปแล้ว ใช้ Differin ยังจะดีซะกว่า Clindamycin เพราะ Differin เป็นยากลุ่ม Retinoids เหมือน Roaccutane แค่วิธีเข้าร่างกายต่างกัน และผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก สำหรับเรายาพวกนี้ในแง่ประสิทธิภาพถือว่าเวิร์ค ส่วน Clindamycin หรือ Erythromycin นั้นเป็นยาปฏิชีวนะควรใช้แบบคอยคุมโดสเพราะเราอาจจะดื้อยาได้ แอบตกใจเล็กน้อย นึกย้อนไปถึงตอนที่ใช้ Clinda-M ดั่งโทนเนอร์ และก็ว่าทำไมตอนหลังที่หมอจ่าย Clindamycin มาที่เข้มข้นกว่า Clinda-M แล้ว ทำไมใช้ไม่ได้ผลเลย ตอนนี้เข้าใจเอาเองว่าตัวเราน่าจะดื้อยากลุ่มนี้ไปแล้ว
หลังจากได้ตระหนักว่ากว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาผิวหน้าเราโดนสารเคมีมาหนักหนาขนาดไหน (ถึงขนาดดื้อยาตัวหลักไปแล้วตัวนึง!) เราเลยเริ่มหันมามองว่ามีวิธีรักษาแบบธรรมชาติมั้ย เราก็มาคิดว่าต้นเหตุของสิวคือไขมันที่อุดตัน ซึ่งเกิดจากสองอย่าง 1. ไขมัน(หน้ามัน) + 2. สิ่งสกปรกหรือเศษผิวหนังบนใบหน้า และถ้าเป็นสิวอุดตันจะมีอย่างที่ 3. คือ แบคทีเรีย P. acnes ถ้าจะรักษาด้วยวิธีธรรมชาติก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุเลยเท่านั้น
พูดถึงการรักษาสิวก็คงต้องมีรูปประกอบนิดนึง รูปแถวบนคือตอนที่เป็นหนักๆ(แต่ก็ยังไม่ใช่ช่วงพีคสุด)ก่อนที่จะเริ่มพยายามรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ ส่วนแถวล่างคือผลที่ได้ประมาณ 2 เดือนหลังจากนั้นค่ะ
คราวนี้มาดูวิธีการจัดการต้นเหตุของสิวกันทีละตัวเลยค่ะ
หน้ามัน
- เพราะกินของมัน? บางแหล่งบอกว่าไม่มีผล
- เครียด? อันนี้ไม่ว่าที่ไหนก็บอกว่ามีผล เราก็เลยตั้งใจเลยว่าชั้นจะไม่เครียดแล้วนะ เพราะไม่มีอะไรดีขึ้น คือบอกออกจากออฟฟิศ กลับบ้านแล้วก็คือหยุดคิดเรื่องงานเลย บอกตัวเองว่าไม่งั้นมันบั่นทอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าเครียดนั่งคิดแล้วงานมันจะเสร็จเร็วขึ้น แล้วการคิดได้ยังงี้มันก็มีผลดีทางอ้อมด้วยคือ พอตอนทำงานเราก็พยายามแอคทีฟ จัดการอะไรๆให้มันดีขึ้น มันจะได้ไม่มาเครียดทีหลัง เรื่องคน เรื่องเพื่อนร่วมงานก็อย่าไปคิดไรมาก ปล่อยๆไปบ้าง เจ้าตัวเค้าไม่มาเดือดร้อนอะไรกับเรา เรานี่สิเครียดเองเปล่าๆแล้วเดี๋ยวสิวก็ขึ้น นอกจากนี้เราก็เริ่มสวดมนต์ พยายามให้ได้ทุกคืน ไม่ใช่เพื่อขอพรให้สิวหาย แต่เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นการลดความเครียด ทำให้เรานอนหลับสนิท การพักผ่อนดีขึ้น พรที่ขอนั้นเป็นแค่ผลข้างเคียงที่ทำให้สบายใจ55
- นอนน้อย? นี่ก็มีผลเหมือนกัน เราก็ยังคงไม่ใช่คนนอนเยอะ แต่ว่านอนเวลาเหมือนคนปกติมากขึ้น เป็นเวลามากขึ้น
- แล้วเราก็หมั่นซับหน้ามัน (ด้วยกระดาษซับหน้ามันที่สะอาด...สารภาพว่าแต่ก่อนใช้กระดาษทิชชู่ไรสะเปะสะปะไปเรื่อย) เพราะเราชอบเผลอปล่อยหน้ามัน กลับมาบ้านไม่เช็คหน้า หน้ามันพร้อมเครื่องสำอางค์จนดึกดื่น
- นอกจากนี้เราก็พอกโคลนเพื่อดูดซับความมัน ส่วนตัวเราจะพยายามเลือกที่เป็นโคลนล้วน ไม่มีสารเคมีอื่นผสม อยู่ที่อังกฤษนี่เราใช้ Le Petit Olivier Green Clay Paste พอกเสร็จตอนล้างออกมันจะมีเศษเป็นเม็ดๆนิดนึง อารมณ์สครับต่อได้เลย แต่จริงๆใช้อะไรก็ได้ที่เป็นโคลนล้วนๆ โคลนบ้านเราแถบเอเชียน่าจะหาได้ง่ายกว่า โคลนดำเกาหลีญี่ปุ่นไรงี้ ตอนอยู่เมืองไทยเราเคยใช้ Mint Julep Masque ซึ่งในแง่การซับความมันก็ใช้ดี แต่รู้สึกจะมีพวกสารปรุงแต่ง สีสังเคราะห์ น้ำหอม สารกันบูดเยอะเหมือนกัน
- ก่อนแต่งหน้าเราใช้ครีมสำหรับผิวมันเป็นสิว พวก mattifying moisturiser ตัวที่ใช้อยู่คือ Bioderma Sébium Global intensie purifying care ทำให้สามารถให้ความชุ่มชึ้นปรับสภาพผิวก่อนแต่งหน้าได้โดยไม่ทำให้หน้ามัน