ก่อนอื่นต้องบอกว่าก่อนจะนำเรื่องนี้มาเล่าและเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 4 5 เราได้มีการพูดคุยกับครอบครัวของบุคคลนั้น
และทางครอบครัวก็ยินยอมให้นำเรื่องราวมาเผยแพร่ เพราะอยากให้เป็นข้อคิดเตือนใจถึงการดำเนินชีวิตของวัยรุ่น
ที่ยึดเอาความรักเป็นตัวตั้ง เอาสติเป็นตัวรอง
เมื่อหลายเดือนก่อนเราเคยเล่าเรื่องของก้อยในที่นี้ให้ทุกคนได้อ่าน และมีบางเพจในแอพสีฟ้านำกระทู้เรื่องของก้อยไปโพสต์
ทำให้เกิดคอมเม้นต์ทั้งทางดีและทางลบมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเราโพสอะไรในที่สาธารณะนั่นก็หมายถึงการยอมรับ
กับคำวิจารณ์จากสาธารณะเช่นกัน เราไม่ได้มีประเด็นอะไรที่มีการโพสเรื่องของเราในเพจ ไม่มีประเด็นกับคนที่มาวิจารณ์ แต่มี
คนรู้จักของก้อยที่ติดตามเพจนั้น อ่านจนแตกฉานและเข้าใจได้ว่าคงหมายถึงก้อยที่เป็นพี่สาวตนเองแน่นอน จึงได้มีการหลังไมค์
มาหาเรา และได้ติดต่อกันเป็นต้นมาตั้งบัดนั้นจนถึงปัจจุบัน ครั้งนั้นเราเล่าว่าเราได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของก้อยที่ต่างจังหวัด
และเราไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้ครอบครัวก้อยฟังอย่างละเอียด เมื่อน้องสาวก้อยได้อ่านกระทู้ที่เราเขียนจึง
ได้ติดต่อมาหาเราและอยากให้เราเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้พ่อแม่ของเธอฟังอีกครั้ง
เราได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และติดต่อกันผ่านแอพสีเขียว มีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อแม่ของก้อย ครั้งแรกที่มีการสนทนากัน
เราถามพ่อแม่ก้อยว่าจำเราได้ไหมที่เคยไปงานศพก้อย พ่อแม่พยักหน้าแล้วบอกจำได้ จากนั้นแม่ก็ร้องไห้แล้วบอกว่าแม่อ่าน
ประโยคหนึ่งที่เราเขียนถึงก้อยที่ก้อยเดินกลับเข้ามาในห้องกลางดึกแล้วพูดว่า “เรายังไม่อยากตาย” ก่อนที่ก้อยจะอ้วกแล้ว
ทรุดตัวลงไป แม่บอกว่าแม่อ่านประโยคนั้นแล้วนึกถึงหน้าก้อย แม่คิดถึงก้อย เราจึงกล่าวขอโทษพ่อแม่ว่าไม่มีเจตนาจะลบหลู่
เพียงแต่อยากเล่าเรื่องที่เราเจอในมุมของเราเท่านั้น และจะลบกระทู้นั้นทันทีถ้าพ่อแม่ไม่สบายใจ แม่บอกว่าอย่าลบนะลูก
แม่ไม่ว่าอะไรที่เราเล่าเรื่องก้อย แต่แม่อยากให้เราเอาเรื่องก้อยที่เรายังไม่รู้มาเล่าให้คนอื่นฟังอีกได้ไหม อย่างน้อยถือว่าทำบุญ
แม่ไม่อยากให้แม่คนไหนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียลูกในลักษณะนี้อีก แม่จึงให้เราได้คุยกับน้องสาวของก้อยซึ่งเราเรียกว่า เก๋
(ต่อจากนี้เป็นเรื่องของก้อยที่เก๋เล่าให้ฟัง เราจะขอเรียบเรียงในแบบของเรานะคะ)
จำก้อยได้ไหมคะ?
และทางครอบครัวก็ยินยอมให้นำเรื่องราวมาเผยแพร่ เพราะอยากให้เป็นข้อคิดเตือนใจถึงการดำเนินชีวิตของวัยรุ่น
ที่ยึดเอาความรักเป็นตัวตั้ง เอาสติเป็นตัวรอง
เมื่อหลายเดือนก่อนเราเคยเล่าเรื่องของก้อยในที่นี้ให้ทุกคนได้อ่าน และมีบางเพจในแอพสีฟ้านำกระทู้เรื่องของก้อยไปโพสต์
ทำให้เกิดคอมเม้นต์ทั้งทางดีและทางลบมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเราโพสอะไรในที่สาธารณะนั่นก็หมายถึงการยอมรับ
กับคำวิจารณ์จากสาธารณะเช่นกัน เราไม่ได้มีประเด็นอะไรที่มีการโพสเรื่องของเราในเพจ ไม่มีประเด็นกับคนที่มาวิจารณ์ แต่มี
คนรู้จักของก้อยที่ติดตามเพจนั้น อ่านจนแตกฉานและเข้าใจได้ว่าคงหมายถึงก้อยที่เป็นพี่สาวตนเองแน่นอน จึงได้มีการหลังไมค์
มาหาเรา และได้ติดต่อกันเป็นต้นมาตั้งบัดนั้นจนถึงปัจจุบัน ครั้งนั้นเราเล่าว่าเราได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของก้อยที่ต่างจังหวัด
และเราไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้ครอบครัวก้อยฟังอย่างละเอียด เมื่อน้องสาวก้อยได้อ่านกระทู้ที่เราเขียนจึง
ได้ติดต่อมาหาเราและอยากให้เราเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้พ่อแม่ของเธอฟังอีกครั้ง
เราได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และติดต่อกันผ่านแอพสีเขียว มีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อแม่ของก้อย ครั้งแรกที่มีการสนทนากัน
เราถามพ่อแม่ก้อยว่าจำเราได้ไหมที่เคยไปงานศพก้อย พ่อแม่พยักหน้าแล้วบอกจำได้ จากนั้นแม่ก็ร้องไห้แล้วบอกว่าแม่อ่าน
ประโยคหนึ่งที่เราเขียนถึงก้อยที่ก้อยเดินกลับเข้ามาในห้องกลางดึกแล้วพูดว่า “เรายังไม่อยากตาย” ก่อนที่ก้อยจะอ้วกแล้ว
ทรุดตัวลงไป แม่บอกว่าแม่อ่านประโยคนั้นแล้วนึกถึงหน้าก้อย แม่คิดถึงก้อย เราจึงกล่าวขอโทษพ่อแม่ว่าไม่มีเจตนาจะลบหลู่
เพียงแต่อยากเล่าเรื่องที่เราเจอในมุมของเราเท่านั้น และจะลบกระทู้นั้นทันทีถ้าพ่อแม่ไม่สบายใจ แม่บอกว่าอย่าลบนะลูก
แม่ไม่ว่าอะไรที่เราเล่าเรื่องก้อย แต่แม่อยากให้เราเอาเรื่องก้อยที่เรายังไม่รู้มาเล่าให้คนอื่นฟังอีกได้ไหม อย่างน้อยถือว่าทำบุญ
แม่ไม่อยากให้แม่คนไหนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียลูกในลักษณะนี้อีก แม่จึงให้เราได้คุยกับน้องสาวของก้อยซึ่งเราเรียกว่า เก๋
(ต่อจากนี้เป็นเรื่องของก้อยที่เก๋เล่าให้ฟัง เราจะขอเรียบเรียงในแบบของเรานะคะ)