จากกระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/36969211
ผมเคยเขียนรีวิว การเขียน E-Book ขายใน MEB และก็ OOKBEE ซึ่งมีคนสนใจล้นหลาม มากกกกกก..... !!!
ผมเข้าใจว่าคนที่อ่านหัวข้อคงคิดว่าผมจะเข้ามาโปรโมทเพจ Facebook หรือตีเนียนโปรโมทหนังสือ ก็เลยไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ คือจริงๆแล้วก็แค่อยากจะมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อมีคนสามารถหาลําไพ่พิเศษจากข้อมมูลที่ผมให้ไว้ได้บ้าง
ผ่านมาเดือนนึง จากการเช็คยอดขายจากทั้งสองแห่ง ปรากฏว่าเดือนแรกหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆจากทางเว็บทั้งสองแล้ว ผมเหลือกําไรสุทธิ อยู่ราวๆ หนึ่งหมื่นสามพันบาทนิดหน่อย ก็ถือว่าได้เยอะกว่าที่คิดไว้ ถึงแม้ว่าเงินจํานวนนี้จะยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของค่าผ่อนบ้านก็ตาม 555
แต่คิดดูสิว่าแค่สละเวลาวันละหน่อย ถึงบางวันจะใช้เวลามากก็ตาม แต่เราก็สนุกกับมัน นอนบนเตียงเปิดแอร์เย็นๆ นั่งๆนอนๆเขียนไปเรื่อยๆ สบายกว่าไปทํางานอย่างอื่น นี่ถ้าผมเอาเวลาที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ไปนั่งเล่น ps4 ผมคงจะไม่ได้เงินประเดิมก้อนแรกนี้มาใช่ไหม ดีไม่ดีเสียเงินซื้อเกมส์เพิ่มอีก
คราวนี้ผมเลยมานั่งวิเคราะห์ดูว่าทําไมผมถึงขายหนังสือเล่มแรกได้ยอดตั้งสองหมื่นกว่าบาท ก่อนหักค่าธรรมเนียมในระยะเวลาหนึ่งเดือน ทั้งๆที่ตัวผมออกจะโนเนม ไม่มีคนรู้จัก และเอาจริงๆนะ เกิดมาผมเองยังไม่เคยซื้อหนังสือดิจิตอลเลยด้วยซํ้าไป และถ้ามีคนถามผมว่าคิดจะซื้อหนังสือไฟล์ดิจิตอลไหม ผมตอบเลยว่า ไม่
1. คนซื้อของผมหลายๆคน อยู่ต่างประเทศ การซื้อหนังสือเป็นเล่มมันยากเกินกว่าจะทําได้
2. เนื้อหาที่ผมเขียนไม่ใช่เรื่องใหม่ หาเอาได้จากในเน็ต จากในหนังสือเล่ม ที่ราคาถูกกว่าหนังสือดิจิตอลของผมเท่าตัวที่เคยวางขายมาก่อน แถมผู้เขียนแต่ละท่านระดับอาจารย์ ปรมาจารณ์ทางด้านนี้เลยด้วยซํ้า แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ผมมีวิธีการเล่าที่ต่างออกไป วิธีการลําดับเรื่องราว สร้างเนื้อหาให้เข้าใจง่าย คําพูดง่ายๆบ้านๆ ผมมองว่าหลายๆอย่างก็สามารถทําในโมเดลเดียวกันนี้ได้
3. การเล่าเรื่องของผมจะมีภาพประกอบ คนมันจําภาพได้มากกว่าตัวอักษร เวลาเราเห็นภาพเราจะนึกเนื้อหาตรงจุดนั้นออก ซึ่งตําราที่เนื้อหาดีๆละเอียดๆทั้งหลายไม่ยอมทํา จะว่าไปการจะทําภาพมาประกอบเรื่องมันใช้ทรัพยากรเยอะ คนที่รู้เนื้อหาแต่ใช้ Illusstrator, Photoshop, iBook Authors, Indesign ไม่เป็น ก็จะขาดตรงส่วนนี้ไป จะไปจ้างเขาก็คิดแพง ต้นทุนก็พุ่งกระฉูดสิ ดังนั้นการเรียนรู้การทํางานแบบ มัลไททาสกิ้ง เป็นสิ่งจําเป็น อย่างผมทําเป็นทุกอย่างๆละนิดๆ จะช่วยลดต้นทุนไปได้เยอะเลย
4. หนังสือในตลาดที่ขายๆกันอยู่ จะกั๊กเนื้อหา เอาไว้ต่อเล่มสอง เล่มสาม ของผมเล่มเดียวยาวๆจบๆ
5. หนังสือผมขาย 650 บาท คิดดูสิว่าคุณได้ไฟล์ดิจิตอลเฉยๆ ไม่มีตัวเล่ม จับต้องไม่ได้ คนที่ยอมจ่ายเงิน 650 บาทต้องคิดว่ามันคุ้มกับราคาที่จ่ายไป แสดงว่าเนื่อหาข้างในต้องเป็นหนังสือเฉพาะทาง เป็นที่ต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้จริงๆ ถ้าเป็นหนังสือแนวโค้ชชิ่ง ให้กําลังใจ สอนรวย ที่ขายๆกันตามซีเอ็ด คุณจะจ่ายเงินจํานวนนี้ไหม ผมว่าไม่ เปิดยูทูปดูน้อง ณอน ขุนเขา .... เอาก็ได้
6. ผมตัดเอาหน้าแรกๆ ราวๆ 60 หน้าของหนังสือมาแจกฟรี คนที่โหลดไปอ่าน แล้วเปิดอ่านจริงๆจังๆเขากลับมาซื้อพร้อมคําขอบคุณ ยังไม่มีใครเขียนมาด่าผมเลย ผมเลยคิดเอาเองว่าหนังสือใช้ได้ ส่วนคนที่โหลดไปเพราะเห็นว่าเป็นของฟรีต้องรีบโหลด แบบนี้ก็เยอะ ก็หวังว่าซักวันจะเปิดอ่านกัน
7. ผมมีเพจเอาไว้ สําหรับเสริมเนื้อหาภาคปฏิบัติให้กับคนที่ซื้อหนังสือไปแล้ว พร้อมตอบทุกคําถาม เรียกว่ามีอาฟเตอร์เซลส์เซอวิส ไม่ใช่ขายไปแล้วจบกัน
8. อัพเดท Facebook บ่อยๆ แท็กสินค้าเราเข้าไป ผมเข้าใจว่าเวลาเราโพสท์อะไร บางคนจะเห็น บางคนจะไม่เห็น ถ้าเราอัพบ่อยๆโอกาสที่คนเห็นสินค้าเราก็จะมากตามไป อ่อ ที่ผมทําไม่ใช่โพสท์อะไรเรื่อยเปื่อยนะ ผมอัพคลิปทั่วๆไป พร้อมแปลซับเป็นไทย แปะไปกับคลิปด้วย คนเห็นก็ได้ประโยชน์ ผมเองก็ได้โฆษณาหนังสือไปด้วย อิอิ ผมเห็นมาจากเพจภาษาจีน คนเข้าไปดูกันเยอะเลย ผมเลยลองทําดูบ้าง คนดูก็คลิปนึงก็สี่ห้าร้อยนะก็ไม่เลว
9. ด้วยความที่การซื้อไฟล์ดิจิตอล มันอาจจะงงๆ มึนๆ คนซื้อหลายๆคนเข้ามาถามวิธีซื้อจากผม ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ซื้อไม่เป็น ก็ต้องเข้าไปศึกษาวิธีการซื้อ การแก้ปัญหาเบื้องต้น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่หน้าที่ผมเลย แต่เมื่อมีคนสนใจหนังสือของเราจนต้องเข้ามาถามถึงวิธีการซื้อ แสดงว่าเค้าอยากได้จริงๆ เห็นคุณค่าหนังสือของเรา ผมนี่ดีใจมากกับการได้ตอบคําถามแบบนี้
10. การทําหนังสือที่มีความละเอียดมากๆคนเดียว บางทีก็มีจุดพิมพ์ผิด พิพม์ตกบ้าง ก็ได้คนอ่านนี่แหละที่เข้ามาทัก เข้ามาบอก นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆเลย พอเขาเห็นจุดผิดพลาดก็มาช่วยบอก ผมนี่ขอบคุณทุกคนที่ช่วยชี้จุดผิดให้เสมอ เรียกได้ว่ามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อ่าน
สุดท้ายนี้ ตอนนี้ผมก็เหลืออะไรไว้ในโลกนี้แล้วที่เป็นผลงานของผมเอง และก็คิดว่ามันคงจะขายได้เรื่อยๆ พอได้เป็นค่านํ้าค่าไฟในแต่ละเดือนได้ ดีกว่าเล่นหุ้นตรงที่มันไม่มีความเสี่ยงว่าจะเสียเงินต้น แค่รอดูว่าแต่ละเดือนๆ จะมียอดเข้ามากี่บาท เดือนไหนขายได้หลายเล่มก็ดีใจ ขายไม่ได้เราก็ไม่ได้เสียอะไรนี่จริงไหม หวังว่า ปสก หนึ่งเดือนของผมจะช่วยอะไรได้บ้างสําหรับคนที่คิดอยากจะลุกขึ้นมาเขียนหนังสือซักเล่มนึง
ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน
เขียน E-Book ขาย เดือนแรกได้มาหมื่นสาม ก็ไม่เลวนะ
https://ppantip.com/topic/36969211
ผมเคยเขียนรีวิว การเขียน E-Book ขายใน MEB และก็ OOKBEE ซึ่งมีคนสนใจล้นหลาม มากกกกกก..... !!!
ผมเข้าใจว่าคนที่อ่านหัวข้อคงคิดว่าผมจะเข้ามาโปรโมทเพจ Facebook หรือตีเนียนโปรโมทหนังสือ ก็เลยไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ คือจริงๆแล้วก็แค่อยากจะมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อมีคนสามารถหาลําไพ่พิเศษจากข้อมมูลที่ผมให้ไว้ได้บ้าง
ผ่านมาเดือนนึง จากการเช็คยอดขายจากทั้งสองแห่ง ปรากฏว่าเดือนแรกหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆจากทางเว็บทั้งสองแล้ว ผมเหลือกําไรสุทธิ อยู่ราวๆ หนึ่งหมื่นสามพันบาทนิดหน่อย ก็ถือว่าได้เยอะกว่าที่คิดไว้ ถึงแม้ว่าเงินจํานวนนี้จะยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของค่าผ่อนบ้านก็ตาม 555
แต่คิดดูสิว่าแค่สละเวลาวันละหน่อย ถึงบางวันจะใช้เวลามากก็ตาม แต่เราก็สนุกกับมัน นอนบนเตียงเปิดแอร์เย็นๆ นั่งๆนอนๆเขียนไปเรื่อยๆ สบายกว่าไปทํางานอย่างอื่น นี่ถ้าผมเอาเวลาที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ไปนั่งเล่น ps4 ผมคงจะไม่ได้เงินประเดิมก้อนแรกนี้มาใช่ไหม ดีไม่ดีเสียเงินซื้อเกมส์เพิ่มอีก
คราวนี้ผมเลยมานั่งวิเคราะห์ดูว่าทําไมผมถึงขายหนังสือเล่มแรกได้ยอดตั้งสองหมื่นกว่าบาท ก่อนหักค่าธรรมเนียมในระยะเวลาหนึ่งเดือน ทั้งๆที่ตัวผมออกจะโนเนม ไม่มีคนรู้จัก และเอาจริงๆนะ เกิดมาผมเองยังไม่เคยซื้อหนังสือดิจิตอลเลยด้วยซํ้าไป และถ้ามีคนถามผมว่าคิดจะซื้อหนังสือไฟล์ดิจิตอลไหม ผมตอบเลยว่า ไม่
1. คนซื้อของผมหลายๆคน อยู่ต่างประเทศ การซื้อหนังสือเป็นเล่มมันยากเกินกว่าจะทําได้
2. เนื้อหาที่ผมเขียนไม่ใช่เรื่องใหม่ หาเอาได้จากในเน็ต จากในหนังสือเล่ม ที่ราคาถูกกว่าหนังสือดิจิตอลของผมเท่าตัวที่เคยวางขายมาก่อน แถมผู้เขียนแต่ละท่านระดับอาจารย์ ปรมาจารณ์ทางด้านนี้เลยด้วยซํ้า แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ผมมีวิธีการเล่าที่ต่างออกไป วิธีการลําดับเรื่องราว สร้างเนื้อหาให้เข้าใจง่าย คําพูดง่ายๆบ้านๆ ผมมองว่าหลายๆอย่างก็สามารถทําในโมเดลเดียวกันนี้ได้
3. การเล่าเรื่องของผมจะมีภาพประกอบ คนมันจําภาพได้มากกว่าตัวอักษร เวลาเราเห็นภาพเราจะนึกเนื้อหาตรงจุดนั้นออก ซึ่งตําราที่เนื้อหาดีๆละเอียดๆทั้งหลายไม่ยอมทํา จะว่าไปการจะทําภาพมาประกอบเรื่องมันใช้ทรัพยากรเยอะ คนที่รู้เนื้อหาแต่ใช้ Illusstrator, Photoshop, iBook Authors, Indesign ไม่เป็น ก็จะขาดตรงส่วนนี้ไป จะไปจ้างเขาก็คิดแพง ต้นทุนก็พุ่งกระฉูดสิ ดังนั้นการเรียนรู้การทํางานแบบ มัลไททาสกิ้ง เป็นสิ่งจําเป็น อย่างผมทําเป็นทุกอย่างๆละนิดๆ จะช่วยลดต้นทุนไปได้เยอะเลย
4. หนังสือในตลาดที่ขายๆกันอยู่ จะกั๊กเนื้อหา เอาไว้ต่อเล่มสอง เล่มสาม ของผมเล่มเดียวยาวๆจบๆ
5. หนังสือผมขาย 650 บาท คิดดูสิว่าคุณได้ไฟล์ดิจิตอลเฉยๆ ไม่มีตัวเล่ม จับต้องไม่ได้ คนที่ยอมจ่ายเงิน 650 บาทต้องคิดว่ามันคุ้มกับราคาที่จ่ายไป แสดงว่าเนื่อหาข้างในต้องเป็นหนังสือเฉพาะทาง เป็นที่ต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้จริงๆ ถ้าเป็นหนังสือแนวโค้ชชิ่ง ให้กําลังใจ สอนรวย ที่ขายๆกันตามซีเอ็ด คุณจะจ่ายเงินจํานวนนี้ไหม ผมว่าไม่ เปิดยูทูปดูน้อง ณอน ขุนเขา .... เอาก็ได้
6. ผมตัดเอาหน้าแรกๆ ราวๆ 60 หน้าของหนังสือมาแจกฟรี คนที่โหลดไปอ่าน แล้วเปิดอ่านจริงๆจังๆเขากลับมาซื้อพร้อมคําขอบคุณ ยังไม่มีใครเขียนมาด่าผมเลย ผมเลยคิดเอาเองว่าหนังสือใช้ได้ ส่วนคนที่โหลดไปเพราะเห็นว่าเป็นของฟรีต้องรีบโหลด แบบนี้ก็เยอะ ก็หวังว่าซักวันจะเปิดอ่านกัน
7. ผมมีเพจเอาไว้ สําหรับเสริมเนื้อหาภาคปฏิบัติให้กับคนที่ซื้อหนังสือไปแล้ว พร้อมตอบทุกคําถาม เรียกว่ามีอาฟเตอร์เซลส์เซอวิส ไม่ใช่ขายไปแล้วจบกัน
8. อัพเดท Facebook บ่อยๆ แท็กสินค้าเราเข้าไป ผมเข้าใจว่าเวลาเราโพสท์อะไร บางคนจะเห็น บางคนจะไม่เห็น ถ้าเราอัพบ่อยๆโอกาสที่คนเห็นสินค้าเราก็จะมากตามไป อ่อ ที่ผมทําไม่ใช่โพสท์อะไรเรื่อยเปื่อยนะ ผมอัพคลิปทั่วๆไป พร้อมแปลซับเป็นไทย แปะไปกับคลิปด้วย คนเห็นก็ได้ประโยชน์ ผมเองก็ได้โฆษณาหนังสือไปด้วย อิอิ ผมเห็นมาจากเพจภาษาจีน คนเข้าไปดูกันเยอะเลย ผมเลยลองทําดูบ้าง คนดูก็คลิปนึงก็สี่ห้าร้อยนะก็ไม่เลว
9. ด้วยความที่การซื้อไฟล์ดิจิตอล มันอาจจะงงๆ มึนๆ คนซื้อหลายๆคนเข้ามาถามวิธีซื้อจากผม ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ซื้อไม่เป็น ก็ต้องเข้าไปศึกษาวิธีการซื้อ การแก้ปัญหาเบื้องต้น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่หน้าที่ผมเลย แต่เมื่อมีคนสนใจหนังสือของเราจนต้องเข้ามาถามถึงวิธีการซื้อ แสดงว่าเค้าอยากได้จริงๆ เห็นคุณค่าหนังสือของเรา ผมนี่ดีใจมากกับการได้ตอบคําถามแบบนี้
10. การทําหนังสือที่มีความละเอียดมากๆคนเดียว บางทีก็มีจุดพิมพ์ผิด พิพม์ตกบ้าง ก็ได้คนอ่านนี่แหละที่เข้ามาทัก เข้ามาบอก นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆเลย พอเขาเห็นจุดผิดพลาดก็มาช่วยบอก ผมนี่ขอบคุณทุกคนที่ช่วยชี้จุดผิดให้เสมอ เรียกได้ว่ามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อ่าน
สุดท้ายนี้ ตอนนี้ผมก็เหลืออะไรไว้ในโลกนี้แล้วที่เป็นผลงานของผมเอง และก็คิดว่ามันคงจะขายได้เรื่อยๆ พอได้เป็นค่านํ้าค่าไฟในแต่ละเดือนได้ ดีกว่าเล่นหุ้นตรงที่มันไม่มีความเสี่ยงว่าจะเสียเงินต้น แค่รอดูว่าแต่ละเดือนๆ จะมียอดเข้ามากี่บาท เดือนไหนขายได้หลายเล่มก็ดีใจ ขายไม่ได้เราก็ไม่ได้เสียอะไรนี่จริงไหม หวังว่า ปสก หนึ่งเดือนของผมจะช่วยอะไรได้บ้างสําหรับคนที่คิดอยากจะลุกขึ้นมาเขียนหนังสือซักเล่มนึง
ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน