สำนักข่าวทีนิวส์ ยังเกาะติดประเด็นร้อน กรณีที่ประธานกรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็มเจเรดิโอ ได้นำผ้าพระกฐินพระราชทาน มาทอดถวายที่วัดฤกษ์บุญมี ต.ไผ่กองดิน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ทางโฆษกภายในงาน ได้ประกาศยอดทำบุญกฐินพระราชทานจำนวน 1,025,000 บาท แต่ต่อมาปรากฏว่า ทางวัดไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากทางคณะของนายสรทัศ เลย แถมยังถูกนายสรทัศ เข้ามาขอเงินจากทางวัดอีก 1.7 แสนบาท
โดยทางพระครูใบฎีกาทำนอง จิตตุสทุโธ เจ้าอาวาสวัดฤกษ์บุญมีและนายกำพล จรุงกิจกุล นายกอบต.ไผ่กองดิน ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวทีนิวส์ เผยแพร่ออกไป จนทำให้นายสรทัศ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 ในข้อหา หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และก็ได้ให้สัมภาษณ์ข้อเท็จจริง กับสำนักข่าวทีนิวส์ ถึงกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด
โดยนายสรทัศ ได้ยืนยันว่า ขั้นตอนการขอผ้าพระกฐินพระราชทาน มาอย่างถูกต้อง และประเด็นเรื่องเงินนั้น ก็ได้ยืนยันว่า ตนและคณะไม่ได้มีเงินทำบุญ มากมายขนาดนั้น วันงาน ตนก็ไม่เคยได้จับเงินหรือนับเงินเลย การที่ได้ยอดเงิน 1 ล้านกว่าบาทนั้นเป็นความเข้าใจผิด ของ เจ้าอาวาสเอง ตนไม่เคยบอกให้โฆษกประกาศยอดเงินใดๆ เลย
หลังจากนั้นในวันนี้(16 พ.ย.60) ทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุย สอบถามรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับ พระครูใบฎีกาทำนอง จิตตุสทุโธ เจ้าอาวาสวัดฤกษ์บุญมี และนายกำพล จรุงกิจกุล นายกอบต.ไผ่กองดิน อีกครั้งซึ่งก็ได้ทราบว่า ก่อนหน้าที่ทีมข่าวจะลงพื้นที่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เดินทางมาสอบข้อเท็จจริงจาก ข้าราชการ เจ้าอาวาส ประชาชน ผู้เกี่ยวข้องกับการทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ ที่สภ.บางปลาม้า หลังจากที่ข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป
โดยที่วัดฤกษ์บุญมี ได้สัมภาษณ์ พระครูใบฎีกาทำนอง จิตตุสทุโธ เจ้าอาวาสวัด ซึ่งก็กล่าวย้ำกับผู้สื่อข่าวเช่นเดิมเหมือนกับให้สัมภาษณ์ครั้งก่อนว่า ตนเองได้รับการติดต่อจากนายสรทัศ สังข์ทอง ว่าจะเป็นเจ้าภาพและติดขอผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยให้ทางวัดประสานให้ จนได้รับแจ้งว่า ทางสำนักพระราชวังได้ยืนยันแล้ว กำหนดเป็นวันที่ 29 ตุลาคม 2560 ให้ทางวัด พิมพ์ซองกฐินให้ ตั้งกองกฐินกองละ 2,560 บาท และนายสรทัศ นำซองไปจำนวน 500 ซอง และอีกส่วนทางวัดก็ได้แจกจ่ายให้กับชาวบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อร่วมเป็นกฐินสามัคคีทอดกับทางวัดด้วย
จนวันงานนายสรทัศ ก็ได้นำกฐินพระราชทานมาทอดที่วัด จนมาถึงขั้นตอนที่มีการนับเงินเสร็จสิ้นที่ศาลา ทางคณะนายสรทัศที่เป็นผู้หญิง ได้ส่งในระบุยอดเงินกฐินให้โฆษกประกาศ เสียงดังลั่นว่า จำนวน 1,025,000 บาท เสียงสาธุก็ดังลั่นวัด ส่วนกฐินสามัคคีที่วัดได้จากชาวบ้านในหมู่บ้านมาทอดถวาย 3 แสนกว่าบาท
พอพิธีเสร็จสิ้นอาตมาก็เดินกลับมาที่กุฏิวัด โดยมีชาวบ้านเข้ามานั่งคุยกัน นายสรทัศ ก็เดินทางที่กุฏิ เพื่อมาขอเงินจำนวน 1.7 แสนบาท อ้างว่าเป็นค่าดำเนินการนำผ้าพระกฐินพระราชทานมาทอดที่วัด แต่ทางวัดไม่ให้ เพราะเงินจากการทอดกฐิน 1,025,000 บาท นายสรทัศ ก็ไม่ได้ให้วัดแล้วยังจะมาเอาเงิน กฐินสามัคคีที่ได้ 3 แสนบาท จากชาวบ้านที่ทอดกับวัดอีก เมื่อไม่ได้เงินนายสรทัศ ก็ได้พูดจาข่มขู่เจ้าอาวาส ชาวบ้านแล้วก็เดินทางกลับ
จนชาวบ้านเห็นความผิดปกติในการทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ จึงได้โทรแจ้งปลัดอำเภอ นายกอบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จนมาสู่การประชุมพูดคุยกัน และทางหลวงพ่อก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันที่สภ.บางปลาม้า ไว้เป็นหลักฐานว่า ทางวัดไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเงินกฐินพระราชทานจำนวน 1,025,000 บาท ที่นายสรทัศ และพวกมาทอดที่วัดแล้วไม่ได้ถวายวัดแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องเข็ม ภปร.พระราชทานนั้น ตนไม่รู้เรื่อง เพราะนายสรทัศ นำมา 1 ลังใหญ่ บอกว่าจะมอบให้กับชาวบ้านที่ทำบุญกับกองกฐินพระราชทานไม่เกี่ยวกับทางวัด เพราะทางวัดได้เตรียมรูปหล่อหลวงปู่ทวดให้กับชาวบ้านที่มาอยู่แล้ว
ต่อมาทีมข่าวได้สัมภาษณ์ ชาวบ้านที่ได้ทำบุญทอดกฐินในครั้งนี้ด้วย ชื่อนางไก่ ซึ่งก็ได้ยืนยันว่าหลักจากที่คณะเจ้าภาพได้นับเงินที่ศาลาแล้ว ก็ส่งยอดให้โฆษกประกาศเสียงดังฟังชัดว่าได้เงิน 1,025,000 บาท และทางวัดได้เงินกฐินสามัคคี 3 แสนกว่าบาท
หลังจากนั้นทีมข่าว ได้เดินทางไปที่ อบต.ไผ่กองดิน เพื่อสัมภาษณ์ นายกำพล จรุงกิจกุล นายกอบต.ไผ่กองดิน โดยนายกำพล ก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตัวเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทีมข่าวฟังว่า ในการประชุมครั้งที่หนึ่ง ทางเจ้าอาวาสวัดฤกษ์บุญมี ได้มาแจ้งตนขอเชิญเข้าร่วมประชุมเนื่องจากมีคณะบุคคลจะนำกฐินพระราชทานมาทอด ตนจึงได้มาร่วมประชุม ก็พบตัวแทนอำเภอบางปลาม้า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส คณะชาวบ้านรอบวัด และคณะของนายสรทัศ สังข์ทอง ที่นั่งเป็นประธานที่ประชุม โดยนายสรทัศ ได้แจ้งกับทุกคนว่า ตัวเองได้เป็นผู้ขอผ้าพระกฐินพระราชทานจะนำมาทอดถวายที่วัดฤกษ์บุญมี โดยในที่ประชุมครั้งแรกได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง อวดอ้างว่า ตัวเองมีเส้นสาย มีพี่ชายอยู่ในสำนักพระราชวัง พูดจาข่มขู่ให้ท้องถิ่น ท้องที่ อำเภอ จังหวัด ให้ความร่วมมือในการทอดกฐินพระราชทานในครั้งนี้ ข่มขู่ถ้าหน่วยงานไหนไม่ให้ความร่วมมือจะสั่งย้าย
ส่วนวาระในการประชุม ไร้สาระ เนื้อเรื่อง จะเน้น มหรสพ มีลิเก ดนตรี ประดับไฟ แต่ค่าใช้จ่ายไม่พูดถึง แล้วนายสรทัศ ยังพูดว่า ตัวเองจะนำเงินส่วนตัววางเป็นทุน 3 แสนบาท แล้วก็จบการประชุม
หลังจากนั้น ผมจึงได้แจ้งเจ้าอาวาส ให้ระวังเรื่องการฉลองให้ดีเพราะเงินเยอะ ระวังถ้าเขาไม่จ่าย เจ้าอาวาสจะยุ่ง
การประชุมครั้งที่ 2 วันที่ 13 ต.ค.60 เวลา นายอำเภอบางปลาม้า ได้ออกหนังสือเชิญหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและคณะของนายสรทัศ ซึ่งเนื้อหาก็เหมือนเดิม คือขอให้หน่วยงานเตรียมความพร้อม ให้นายอำเภอเตรียมสถานที่ในการต้อนรับโดยวันที่ 27 ต.ค. จะนำผ้าพระกฐินมาไว้ที่อำเภอ และจะอัญเชิญผ้าพระกฐิน ในวันที่ 28 ต.ค. ให้ข้าราชการในอำเภอแต่งชุดปกติขาวทั้งอำเภอ และอบต.ไผ่กองดิน ให้แต่งชุดปกติขาว พร้อมรถแห่ นำผ้าพระกฐินพระราชทานมาที่วัดไผ่กองดิน
ซึ่งในครั้งนี้ผมได้สังเกตว่ามันผิดวิสัย ปกติประชาชนผู้ขอผ้าพระกฐินพระราชทาน ก็จะต้องเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้เอง ไม่ใช่มาสั่งให้ราชการจัดการให้ ซึ่งทางนายอำเภอก็ได้ปฏิเสธไป คงไม่สามารถดำเนินการได้ และทางผมก็ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากในพื้นที่มีกฐินอีกวัดนึง เจ้าหน้าที่อบต. ก็ต้องไปดำเนินการอีกวัดหนึ่ง ส่วนการอำนวยสะดวก ทางอบต.ก็ช่วยดำเนินการเตรียมสถานให้อย่างสมพระเกียรติ
จนกระทั่งวันทอดกฐิน ก็เห็นเจ้าภาพใส่ชุดปกติขาวทางราชการ ก็มีปลัดอาวุโสอำเภอบางปลาม้า เจ้าหน้าที่วัฒนธรรม สำนักพุทธ ข้าราชการก็ใส่ชุดปกติขาวมาคอยต้อนรับ ผมก็มาพร้อมกับคณะผู้บริหาร
ผมเห็นความผิดปกติเยอะมากในการทอดกฐินพระราชทานในครั้งนี้ทางคณะเจ้าภาพจัดงานได้ไม่สมพระเกียรติเลย เหมือนไม่มีความตั้งใจมาทอดผ้าพระกฐินพระราชทานเลย เครื่องกฐินก็ไม่เตรียมมา มีเพียงผ้าพระกฐินมาอย่างเดียว
ผมไม่ได้เข้าไปในโบสถ์ ทางคณะพูดจาข่มขู่ แสดงกิริยาท่าทางใหญ่โต ผมเลยมานั่งที่โรงครัว จนกระทั่งพิธีกรได้ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ยอดเงินบริจาคทำบุญ 1,025,000 บาท เสียงสาธุดังทั้งวัด ส่วนกฐินสามัคคีของวัดได้อีก 3 แสนกว่าบาท ทุกคนก็ยินดีกับทางวัดด้วยที่ได้ยอดกฐินจำนวนมาก ผมและคณะก็เลยเดินทางกลับบ้านจนกระทั่งช่วงเวลา 18.00 น. มีชาวบ้านโทรมาแจ้งว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เนื่องจากนายสรทัศ สังข์ทอง ไม่ได้นำเงิน 1,025,000 บาท มามอบให้วัด เขานำกลับไปด้วย แถมหนำซ้ำยังเข้ามาขอเงินกับทางวัดอีก 1.7 แสนบาท โดยให้เหตุผลว่า การที่เขานำผ้าพระกฐินพระราชทานมาในครั้งนี้ เขาหมดไปเป็นแสน แต่ทางวัดไม่ยอมให้ เพราะได้เป็นล้านคุณก็เอาไปแล้ว และยังจะมาเอาเงินกับทางวัดอีก
ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.60 ทางนายมานิต มีศรี ปลัดอาวุโสอำเภอบางปลาม้า ก็ได้แจ้งด่วนว่าขอเชิญคณะผู้เกี่ยวข้อง มีผม กำนัน ผู้ใหญ่ ญาติโยมผู้ช่วยเหลืองานวัด และ เครือญาตินายสรทัศ 3 ตระกูลใหญ่ คือสังข์ทอง , ดวงดี ,พุฒหอม มาประชุมร่วมกันเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งความก็เลยมาแตกว่า นายสรทัศ เมื่อมาติดต่อกฐินกับวัดเรียบร้อยแล้ว นายสรทัศก็สั่งให้วัดพิมพ์ซองกฐินพระราชทาน ซึ่งซองแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยนายสรทัศ มารับซองจากเจ้าอาวาส 500 ซอง ซึ่งนำไปแจกจ่ายยังไง ก็ไม่มีใครรู้ อีกส่วนให้เจ้าอาวาสซึ่งส่วนนี้เป็นกฐินสามัคคี แจกจ่ายชาวบ้าน
ส่วนของนายสรทัศ ซึ่งแจกจ่ายชาวบ้าน ในกลุ่มเครือญาติ 3 ตระกูลใหญ่ ก็เป็นที่ยินดีโด่งดังที่ ลูกหลานนำกฐินพระราชทาน มาทอดถวายได้ ต่างก็ทำบุญหลายหมื่นบาท มีการนำพุ่มเงินพุ่มทอง ก็มีพยานเห็นการนับเงินนับทองมีพยานหลายคนเห็นที่บริเวณศาลา ชาวบ้านก็รู้สึกสงสัยว่า วันนั้นก็นำเงินให้ทางคณะเจ้าภาพไปแล้ว และทำไมไม่ได้นำมาถวายวัด
หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ผมจึงได้ร่วมกับผู้ช่วยเหลือวัด จะทอดผ้าป่าช่วยเหลือวัด ก็เลยเจอนักข่าวของทีนิวส์ เค้าก็เลยขอผมสัมภาษณ์ เลยเล่ารายละเอียดให้ฟัง หลังนักข่าวกลับแล้ว ผมมีเรื่องต้องช็อกอีก เมื่อทางเจ้าอาวาสได้เอาซองกฐินเปล่าที่แกะเงินแล้ว เหลือแต่ซองเปล่าๆ เป็นจำนวนมาก มีรายชื่อระบุตัวเงิน ซองเป็นกว่า 200 ซอง ซึ่งผมนี้ได้แต่อึ้ง ไม่เคยเจอการทำบุญแบบนี้มาก่อน ซึ่งทางเจ้าอาวาสไม่อยากให้เป็นข่าวผมก็ได้แต่สลดใจ
ซึ่งผมขอพูดว่า เจตนาของเจ้าภาพในครั้งนี้ไม่ได้บุญ แต่เป็นบาปครั้งใหญ่ในชีวิต
ผมมาทราบภายหลังว่า นายสรทัศ สังข์ทองไปแจ้งความหมิ่นประมาทกับผม ผมก็จะขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ที่ผมพูดให้สัมภาษณ์ไปทั้งหมดนั้น ผมพูดเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ได้ใส่ร้าย พยานยืนยันได้หมด ผมขอบอกไว้เลยว่า ตั้งแต่ผมทำงานรับใช้สังคมมา 19 ปี ผมเจอคนมาหลายชนิด เจอคนดี คนเลวเคยเจอมาหมด แต่ผมไม่เคยเจอคนประเภทนี้เลย ผมไม่อยากให้คนประเภทนี้ยืนอยู่ในสังคมเลย ผมพูดแค่นี้แหละ
ผู้สื่อข่าวถามต่อ เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนกลุ่มนี้ขอผ้าพระกฐินพระราชทานมาแล้ว มาเป็นช่องทางเพื่อหาประโยชน์ในครั้งนี้ นายกตอบว่า ผมว่าเป็นความถนัด เป็นอาชีพที่ดำรงชีวิต
ฉะนั้นก็อย่ามาว่าผมเป็นผู้มีอิทธิพลเลย ถามคณะของนายสรทัศ ดูดีกว่า และให้สัมภาษณ์กับสื่อที่อ้างมาแบบนั้น ก็ให้หาพยานมายืนยันเลย ผมเชื่อว่า ญาติเค้าที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครอยากเป็นพยานให้เค้าหรอก เค้าเองก็ถูกนายสรทัศหลอกเหมือนกัน เอาเงินทำบุญใส่ซอง หวังว่าจะได้ต่อบุญกับกฐินหลวง แต่มารู้ทีหลังว่า นายสรทัศ ไม่ได้เอาเงินบริจาคให้วัดเลย แถมยังมาข่มขู่เอาเงินจากทางวัดอีก 1.7 แสนบาท บอกว่าเป็นค่าดำเนินการนำกฐินพระราชทานมาทอดที่วัด ดีที่คณะทำงานแข็ง เลยไม่ยอมให้ แต่ถ้าวันนั้นเจ้าอาวาสอยู่องค์เดียว อาจจะให้เขาไปแล้ว นี่คือเรื่องจริง เปิดเผยมาภายหลังจากงานเสร็จสิ้นไปแล้ว ปลัดอาวุโสเรียกคุย แต่ละคนโดนเรื่องอะไรบ้างก็พูดหมด
ผมขอบอกเลยว่า แผนนายคนนี้ล้ำลึกมาก ปล่อยไว้ในสังคมอันตราย ผมก็เพิ่งเคยเจอคนประเภทนี้ เขาอาจจะถนัดช้ำชอง เค้าจะมีพี่ชายที่ถนัดรู้เส้นทางนี้เลยเอาเรื่องอย่างนี้มาหาประโยชน์เพื่อเลี้ยงชีพ
หลังจากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปสัมภาษณ์พูดคุยกับ นายมานิตย์ มีศรี ปลัดอำเภอบางปลาม้า(อาวุโส) เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องราวดังกล่าว ซึ่งทางท่านปลัดแจ้งว่า เรื่องทั้งหมดได้ทำรายงานเสนอ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีได้รับทราบ และได้ให้ข้อมูล หลักฐานทั้งหมด รวมถึงเข็มพระราชทานที่นายสรทัศ สังข์ทอง เจ้าภาพผ้าพระกฐินพระราชทาน ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ขอให้สัมภาษณ์ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน จะได้ดำเนินการตามกฎหมายดีกว่า
ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
นายกอบต.-เจ้าอาวาส ยืนยันชัด!! เราพูดความจริง พร้อมสู้คดี ย้ำเค้าทำเป็นอาชีพ “คนแบบนี้ไม่ควรมีที่ยืนในสังคม”
สำนักข่าวทีนิวส์ ยังเกาะติดประเด็นร้อน กรณีที่ประธานกรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็มเจเรดิโอ ได้นำผ้าพระกฐินพระราชทาน มาทอดถวายที่วัดฤกษ์บุญมี ต.ไผ่กองดิน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ทางโฆษกภายในงาน ได้ประกาศยอดทำบุญกฐินพระราชทานจำนวน 1,025,000 บาท แต่ต่อมาปรากฏว่า ทางวัดไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากทางคณะของนายสรทัศ เลย แถมยังถูกนายสรทัศ เข้ามาขอเงินจากทางวัดอีก 1.7 แสนบาท
โดยทางพระครูใบฎีกาทำนอง จิตตุสทุโธ เจ้าอาวาสวัดฤกษ์บุญมีและนายกำพล จรุงกิจกุล นายกอบต.ไผ่กองดิน ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวทีนิวส์ เผยแพร่ออกไป จนทำให้นายสรทัศ ได้แจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 ในข้อหา หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และก็ได้ให้สัมภาษณ์ข้อเท็จจริง กับสำนักข่าวทีนิวส์ ถึงกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด
โดยนายสรทัศ ได้ยืนยันว่า ขั้นตอนการขอผ้าพระกฐินพระราชทาน มาอย่างถูกต้อง และประเด็นเรื่องเงินนั้น ก็ได้ยืนยันว่า ตนและคณะไม่ได้มีเงินทำบุญ มากมายขนาดนั้น วันงาน ตนก็ไม่เคยได้จับเงินหรือนับเงินเลย การที่ได้ยอดเงิน 1 ล้านกว่าบาทนั้นเป็นความเข้าใจผิด ของ เจ้าอาวาสเอง ตนไม่เคยบอกให้โฆษกประกาศยอดเงินใดๆ เลย
หลังจากนั้นในวันนี้(16 พ.ย.60) ทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุย สอบถามรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับ พระครูใบฎีกาทำนอง จิตตุสทุโธ เจ้าอาวาสวัดฤกษ์บุญมี และนายกำพล จรุงกิจกุล นายกอบต.ไผ่กองดิน อีกครั้งซึ่งก็ได้ทราบว่า ก่อนหน้าที่ทีมข่าวจะลงพื้นที่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เดินทางมาสอบข้อเท็จจริงจาก ข้าราชการ เจ้าอาวาส ประชาชน ผู้เกี่ยวข้องกับการทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ ที่สภ.บางปลาม้า หลังจากที่ข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป
โดยที่วัดฤกษ์บุญมี ได้สัมภาษณ์ พระครูใบฎีกาทำนอง จิตตุสทุโธ เจ้าอาวาสวัด ซึ่งก็กล่าวย้ำกับผู้สื่อข่าวเช่นเดิมเหมือนกับให้สัมภาษณ์ครั้งก่อนว่า ตนเองได้รับการติดต่อจากนายสรทัศ สังข์ทอง ว่าจะเป็นเจ้าภาพและติดขอผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยให้ทางวัดประสานให้ จนได้รับแจ้งว่า ทางสำนักพระราชวังได้ยืนยันแล้ว กำหนดเป็นวันที่ 29 ตุลาคม 2560 ให้ทางวัด พิมพ์ซองกฐินให้ ตั้งกองกฐินกองละ 2,560 บาท และนายสรทัศ นำซองไปจำนวน 500 ซอง และอีกส่วนทางวัดก็ได้แจกจ่ายให้กับชาวบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อร่วมเป็นกฐินสามัคคีทอดกับทางวัดด้วย
จนวันงานนายสรทัศ ก็ได้นำกฐินพระราชทานมาทอดที่วัด จนมาถึงขั้นตอนที่มีการนับเงินเสร็จสิ้นที่ศาลา ทางคณะนายสรทัศที่เป็นผู้หญิง ได้ส่งในระบุยอดเงินกฐินให้โฆษกประกาศ เสียงดังลั่นว่า จำนวน 1,025,000 บาท เสียงสาธุก็ดังลั่นวัด ส่วนกฐินสามัคคีที่วัดได้จากชาวบ้านในหมู่บ้านมาทอดถวาย 3 แสนกว่าบาท
พอพิธีเสร็จสิ้นอาตมาก็เดินกลับมาที่กุฏิวัด โดยมีชาวบ้านเข้ามานั่งคุยกัน นายสรทัศ ก็เดินทางที่กุฏิ เพื่อมาขอเงินจำนวน 1.7 แสนบาท อ้างว่าเป็นค่าดำเนินการนำผ้าพระกฐินพระราชทานมาทอดที่วัด แต่ทางวัดไม่ให้ เพราะเงินจากการทอดกฐิน 1,025,000 บาท นายสรทัศ ก็ไม่ได้ให้วัดแล้วยังจะมาเอาเงิน กฐินสามัคคีที่ได้ 3 แสนบาท จากชาวบ้านที่ทอดกับวัดอีก เมื่อไม่ได้เงินนายสรทัศ ก็ได้พูดจาข่มขู่เจ้าอาวาส ชาวบ้านแล้วก็เดินทางกลับ
จนชาวบ้านเห็นความผิดปกติในการทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ จึงได้โทรแจ้งปลัดอำเภอ นายกอบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จนมาสู่การประชุมพูดคุยกัน และทางหลวงพ่อก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันที่สภ.บางปลาม้า ไว้เป็นหลักฐานว่า ทางวัดไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเงินกฐินพระราชทานจำนวน 1,025,000 บาท ที่นายสรทัศ และพวกมาทอดที่วัดแล้วไม่ได้ถวายวัดแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องเข็ม ภปร.พระราชทานนั้น ตนไม่รู้เรื่อง เพราะนายสรทัศ นำมา 1 ลังใหญ่ บอกว่าจะมอบให้กับชาวบ้านที่ทำบุญกับกองกฐินพระราชทานไม่เกี่ยวกับทางวัด เพราะทางวัดได้เตรียมรูปหล่อหลวงปู่ทวดให้กับชาวบ้านที่มาอยู่แล้ว
ต่อมาทีมข่าวได้สัมภาษณ์ ชาวบ้านที่ได้ทำบุญทอดกฐินในครั้งนี้ด้วย ชื่อนางไก่ ซึ่งก็ได้ยืนยันว่าหลักจากที่คณะเจ้าภาพได้นับเงินที่ศาลาแล้ว ก็ส่งยอดให้โฆษกประกาศเสียงดังฟังชัดว่าได้เงิน 1,025,000 บาท และทางวัดได้เงินกฐินสามัคคี 3 แสนกว่าบาท
หลังจากนั้นทีมข่าว ได้เดินทางไปที่ อบต.ไผ่กองดิน เพื่อสัมภาษณ์ นายกำพล จรุงกิจกุล นายกอบต.ไผ่กองดิน โดยนายกำพล ก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตัวเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทีมข่าวฟังว่า ในการประชุมครั้งที่หนึ่ง ทางเจ้าอาวาสวัดฤกษ์บุญมี ได้มาแจ้งตนขอเชิญเข้าร่วมประชุมเนื่องจากมีคณะบุคคลจะนำกฐินพระราชทานมาทอด ตนจึงได้มาร่วมประชุม ก็พบตัวแทนอำเภอบางปลาม้า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส คณะชาวบ้านรอบวัด และคณะของนายสรทัศ สังข์ทอง ที่นั่งเป็นประธานที่ประชุม โดยนายสรทัศ ได้แจ้งกับทุกคนว่า ตัวเองได้เป็นผู้ขอผ้าพระกฐินพระราชทานจะนำมาทอดถวายที่วัดฤกษ์บุญมี โดยในที่ประชุมครั้งแรกได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง อวดอ้างว่า ตัวเองมีเส้นสาย มีพี่ชายอยู่ในสำนักพระราชวัง พูดจาข่มขู่ให้ท้องถิ่น ท้องที่ อำเภอ จังหวัด ให้ความร่วมมือในการทอดกฐินพระราชทานในครั้งนี้ ข่มขู่ถ้าหน่วยงานไหนไม่ให้ความร่วมมือจะสั่งย้าย
ส่วนวาระในการประชุม ไร้สาระ เนื้อเรื่อง จะเน้น มหรสพ มีลิเก ดนตรี ประดับไฟ แต่ค่าใช้จ่ายไม่พูดถึง แล้วนายสรทัศ ยังพูดว่า ตัวเองจะนำเงินส่วนตัววางเป็นทุน 3 แสนบาท แล้วก็จบการประชุม
หลังจากนั้น ผมจึงได้แจ้งเจ้าอาวาส ให้ระวังเรื่องการฉลองให้ดีเพราะเงินเยอะ ระวังถ้าเขาไม่จ่าย เจ้าอาวาสจะยุ่ง
การประชุมครั้งที่ 2 วันที่ 13 ต.ค.60 เวลา นายอำเภอบางปลาม้า ได้ออกหนังสือเชิญหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและคณะของนายสรทัศ ซึ่งเนื้อหาก็เหมือนเดิม คือขอให้หน่วยงานเตรียมความพร้อม ให้นายอำเภอเตรียมสถานที่ในการต้อนรับโดยวันที่ 27 ต.ค. จะนำผ้าพระกฐินมาไว้ที่อำเภอ และจะอัญเชิญผ้าพระกฐิน ในวันที่ 28 ต.ค. ให้ข้าราชการในอำเภอแต่งชุดปกติขาวทั้งอำเภอ และอบต.ไผ่กองดิน ให้แต่งชุดปกติขาว พร้อมรถแห่ นำผ้าพระกฐินพระราชทานมาที่วัดไผ่กองดิน
ซึ่งในครั้งนี้ผมได้สังเกตว่ามันผิดวิสัย ปกติประชาชนผู้ขอผ้าพระกฐินพระราชทาน ก็จะต้องเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้เอง ไม่ใช่มาสั่งให้ราชการจัดการให้ ซึ่งทางนายอำเภอก็ได้ปฏิเสธไป คงไม่สามารถดำเนินการได้ และทางผมก็ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากในพื้นที่มีกฐินอีกวัดนึง เจ้าหน้าที่อบต. ก็ต้องไปดำเนินการอีกวัดหนึ่ง ส่วนการอำนวยสะดวก ทางอบต.ก็ช่วยดำเนินการเตรียมสถานให้อย่างสมพระเกียรติ
จนกระทั่งวันทอดกฐิน ก็เห็นเจ้าภาพใส่ชุดปกติขาวทางราชการ ก็มีปลัดอาวุโสอำเภอบางปลาม้า เจ้าหน้าที่วัฒนธรรม สำนักพุทธ ข้าราชการก็ใส่ชุดปกติขาวมาคอยต้อนรับ ผมก็มาพร้อมกับคณะผู้บริหาร
ผมเห็นความผิดปกติเยอะมากในการทอดกฐินพระราชทานในครั้งนี้ทางคณะเจ้าภาพจัดงานได้ไม่สมพระเกียรติเลย เหมือนไม่มีความตั้งใจมาทอดผ้าพระกฐินพระราชทานเลย เครื่องกฐินก็ไม่เตรียมมา มีเพียงผ้าพระกฐินมาอย่างเดียว
ผมไม่ได้เข้าไปในโบสถ์ ทางคณะพูดจาข่มขู่ แสดงกิริยาท่าทางใหญ่โต ผมเลยมานั่งที่โรงครัว จนกระทั่งพิธีกรได้ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ยอดเงินบริจาคทำบุญ 1,025,000 บาท เสียงสาธุดังทั้งวัด ส่วนกฐินสามัคคีของวัดได้อีก 3 แสนกว่าบาท ทุกคนก็ยินดีกับทางวัดด้วยที่ได้ยอดกฐินจำนวนมาก ผมและคณะก็เลยเดินทางกลับบ้านจนกระทั่งช่วงเวลา 18.00 น. มีชาวบ้านโทรมาแจ้งว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เนื่องจากนายสรทัศ สังข์ทอง ไม่ได้นำเงิน 1,025,000 บาท มามอบให้วัด เขานำกลับไปด้วย แถมหนำซ้ำยังเข้ามาขอเงินกับทางวัดอีก 1.7 แสนบาท โดยให้เหตุผลว่า การที่เขานำผ้าพระกฐินพระราชทานมาในครั้งนี้ เขาหมดไปเป็นแสน แต่ทางวัดไม่ยอมให้ เพราะได้เป็นล้านคุณก็เอาไปแล้ว และยังจะมาเอาเงินกับทางวัดอีก
ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.60 ทางนายมานิต มีศรี ปลัดอาวุโสอำเภอบางปลาม้า ก็ได้แจ้งด่วนว่าขอเชิญคณะผู้เกี่ยวข้อง มีผม กำนัน ผู้ใหญ่ ญาติโยมผู้ช่วยเหลืองานวัด และ เครือญาตินายสรทัศ 3 ตระกูลใหญ่ คือสังข์ทอง , ดวงดี ,พุฒหอม มาประชุมร่วมกันเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งความก็เลยมาแตกว่า นายสรทัศ เมื่อมาติดต่อกฐินกับวัดเรียบร้อยแล้ว นายสรทัศก็สั่งให้วัดพิมพ์ซองกฐินพระราชทาน ซึ่งซองแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยนายสรทัศ มารับซองจากเจ้าอาวาส 500 ซอง ซึ่งนำไปแจกจ่ายยังไง ก็ไม่มีใครรู้ อีกส่วนให้เจ้าอาวาสซึ่งส่วนนี้เป็นกฐินสามัคคี แจกจ่ายชาวบ้าน
ส่วนของนายสรทัศ ซึ่งแจกจ่ายชาวบ้าน ในกลุ่มเครือญาติ 3 ตระกูลใหญ่ ก็เป็นที่ยินดีโด่งดังที่ ลูกหลานนำกฐินพระราชทาน มาทอดถวายได้ ต่างก็ทำบุญหลายหมื่นบาท มีการนำพุ่มเงินพุ่มทอง ก็มีพยานเห็นการนับเงินนับทองมีพยานหลายคนเห็นที่บริเวณศาลา ชาวบ้านก็รู้สึกสงสัยว่า วันนั้นก็นำเงินให้ทางคณะเจ้าภาพไปแล้ว และทำไมไม่ได้นำมาถวายวัด
หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ผมจึงได้ร่วมกับผู้ช่วยเหลือวัด จะทอดผ้าป่าช่วยเหลือวัด ก็เลยเจอนักข่าวของทีนิวส์ เค้าก็เลยขอผมสัมภาษณ์ เลยเล่ารายละเอียดให้ฟัง หลังนักข่าวกลับแล้ว ผมมีเรื่องต้องช็อกอีก เมื่อทางเจ้าอาวาสได้เอาซองกฐินเปล่าที่แกะเงินแล้ว เหลือแต่ซองเปล่าๆ เป็นจำนวนมาก มีรายชื่อระบุตัวเงิน ซองเป็นกว่า 200 ซอง ซึ่งผมนี้ได้แต่อึ้ง ไม่เคยเจอการทำบุญแบบนี้มาก่อน ซึ่งทางเจ้าอาวาสไม่อยากให้เป็นข่าวผมก็ได้แต่สลดใจ
ซึ่งผมขอพูดว่า เจตนาของเจ้าภาพในครั้งนี้ไม่ได้บุญ แต่เป็นบาปครั้งใหญ่ในชีวิต
ผมมาทราบภายหลังว่า นายสรทัศ สังข์ทองไปแจ้งความหมิ่นประมาทกับผม ผมก็จะขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ที่ผมพูดให้สัมภาษณ์ไปทั้งหมดนั้น ผมพูดเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ได้ใส่ร้าย พยานยืนยันได้หมด ผมขอบอกไว้เลยว่า ตั้งแต่ผมทำงานรับใช้สังคมมา 19 ปี ผมเจอคนมาหลายชนิด เจอคนดี คนเลวเคยเจอมาหมด แต่ผมไม่เคยเจอคนประเภทนี้เลย ผมไม่อยากให้คนประเภทนี้ยืนอยู่ในสังคมเลย ผมพูดแค่นี้แหละ
ผู้สื่อข่าวถามต่อ เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนกลุ่มนี้ขอผ้าพระกฐินพระราชทานมาแล้ว มาเป็นช่องทางเพื่อหาประโยชน์ในครั้งนี้ นายกตอบว่า ผมว่าเป็นความถนัด เป็นอาชีพที่ดำรงชีวิต
ฉะนั้นก็อย่ามาว่าผมเป็นผู้มีอิทธิพลเลย ถามคณะของนายสรทัศ ดูดีกว่า และให้สัมภาษณ์กับสื่อที่อ้างมาแบบนั้น ก็ให้หาพยานมายืนยันเลย ผมเชื่อว่า ญาติเค้าที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครอยากเป็นพยานให้เค้าหรอก เค้าเองก็ถูกนายสรทัศหลอกเหมือนกัน เอาเงินทำบุญใส่ซอง หวังว่าจะได้ต่อบุญกับกฐินหลวง แต่มารู้ทีหลังว่า นายสรทัศ ไม่ได้เอาเงินบริจาคให้วัดเลย แถมยังมาข่มขู่เอาเงินจากทางวัดอีก 1.7 แสนบาท บอกว่าเป็นค่าดำเนินการนำกฐินพระราชทานมาทอดที่วัด ดีที่คณะทำงานแข็ง เลยไม่ยอมให้ แต่ถ้าวันนั้นเจ้าอาวาสอยู่องค์เดียว อาจจะให้เขาไปแล้ว นี่คือเรื่องจริง เปิดเผยมาภายหลังจากงานเสร็จสิ้นไปแล้ว ปลัดอาวุโสเรียกคุย แต่ละคนโดนเรื่องอะไรบ้างก็พูดหมด
ผมขอบอกเลยว่า แผนนายคนนี้ล้ำลึกมาก ปล่อยไว้ในสังคมอันตราย ผมก็เพิ่งเคยเจอคนประเภทนี้ เขาอาจจะถนัดช้ำชอง เค้าจะมีพี่ชายที่ถนัดรู้เส้นทางนี้เลยเอาเรื่องอย่างนี้มาหาประโยชน์เพื่อเลี้ยงชีพ
หลังจากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปสัมภาษณ์พูดคุยกับ นายมานิตย์ มีศรี ปลัดอำเภอบางปลาม้า(อาวุโส) เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องราวดังกล่าว ซึ่งทางท่านปลัดแจ้งว่า เรื่องทั้งหมดได้ทำรายงานเสนอ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีได้รับทราบ และได้ให้ข้อมูล หลักฐานทั้งหมด รวมถึงเข็มพระราชทานที่นายสรทัศ สังข์ทอง เจ้าภาพผ้าพระกฐินพระราชทาน ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ขอให้สัมภาษณ์ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน จะได้ดำเนินการตามกฎหมายดีกว่า
ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป