“ความยากจน” คืออะไร?
บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่าความยากจนคืออะไร มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน และทำไมจึงแก้ไขได้ยากยิ่ง รวมทั้งยังได้เกริ่นถึงโครงการของช่างภาพคนหนึ่งที่ตระเวนถ่ายภาพทางเลือกของคนจนในแต่ละประเทศมาให้ชมกันด้วย
นิยามของธนาคารโลก ระบุว่า “ความยากจน” คือ “สภาวะที่อัตคัดอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้ (unacceptable deprivation) ของมนุษย์ปุถุชน”
แนวคิดของการพิจารณาความอัตคัดที่ว่ามาทำให้เกิดแนวทางการวัดว่าใครคือคนจนสองแนวทาง หนึ่งคือ วัดคนจนแบบจนอย่างสัมบูรณ์ (absolute poverty) หมายถึง คนที่มีน้อยกว่าที่จําเป็นจะต้องมี จนไม่สามารถมีความมั่นคงในการเสาะหาสินค้าหรือบริการที่ให้พอเพียงแก่ความจําเป็นพื้นฐานในการดํารงชีพ และสองคือ วัดคนจนแบบจนโดยเปรียบเทียบ (relative poverty) หมายถึง คนที่มีน้อยกว่าคนอื่นๆ ในสังคมโดยเปรียบเทียบ
ในปัจจุบัน การพัฒนาเศรษฐกิจทำให้คนจนโดยสัมบูรณ์ ซึ่งไม่มีอันจะกินนั้น มีแนวโน้มลดลง โดยหากพิจารณาจากเส้นความยากจน (poverty line) ซึ่งหมายถึง”รายจ่ายที่ต่ำที่สุดที่เขาสามารถซื้ออาหารให้มีสารอาหารเพียงพอเพื่อประทังชีพได้” แล้วล่ะก็จะพบว่าจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีแนวโน้มลดลง
สาเหตุของความยากจน?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขณะที่สาเหตุที่ก่อให้เกิดความยากจนนั้น สมบูรณ์ นิธินันท์ และศุภชัย (2547) สรุปเอาไว้ 4 ประการ ได้แก่
1. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ หมายถึง การขาดแคลนทรัพย์สินที่จะก่อให้เกิดรายได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ทุน ทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงโอกาสที่จะหามาซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ด้วย ผลก็คือครอบครัวที่ยากจนมักจะต้องเผชิญกับความยากจนถาวร ปัจจัยทางเศรษฐกิจประกอบด้วย
1.1) ขนาดของที่ดินทํากิน จากการศึกษาของธนาคารโลก (2001) พบว่า ถ้าให้ประชากรในชนบทมีที่ดินทํากินเพิ่มขึ้น 1% จะสามารถลดโอกาสที่จะตกอยู่ในภาวะ ยากจนได้ประมาณ 0.1% นอกจากนี้ ยังพบว่าลักษณะการถือครองที่ดินมีความสําคัญมาก หากเป็นผู้เช่า (แทนที่จะเป็นเจ้าของที่ดิน) จะเพิ่มโอกาสของการตกอยู่ในภาวะความยากจนถึง 30%
1.2) โอกาสการศึกษา งานของธนาคารโลก (2001) พบว่า ครัวเรือนที่มีผู้ใหญ่ที่ได้รับการศึกษาจนจบระดับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นอย่างน้อย ความเสี่ยง ของการตกอยู่ในภาวะความยากจนจะลดลงถึง 66-74% เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่ไม่มีการศึกษาเลย และถ้าได้รับการศึกษาไปถึงระดับมหาวิทยาลัย โอกาสจะลดลงไปอีกถึง 90%
1.3) ภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา Warr (2000) พบว่าภายหลังจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรที่จัดว่ายากจนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.15 ในปี 2539 เป็นร้อยละ 8.58 ในปี 2542
2. ปัจจัยเชิงโครงสร้างประชากร ธนาคารโลก (2001) พบว่า ครอบครัวที่มีขนาดใหญ่จะมีโอกาสตกอยู่ในภาวะความยากจนมากกว่าครอบครัวขนาดเล็ก นอกจากนี้ ถ้าครอบครัวมีขนาดเท่ากัน ครอบครัวที่มีสัดส่วนของผู้ใหญ่มากกว่าจะเสี่ยงต่อภาวะความยากจนน้อยกว่า
3. ปัจจัยเชิงภูมิศาสตร์ พบว่า การมีที่พักอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย จะมีความเสี่ยงต่อความยากจนเพิ่มขึ้นถึง 56% ในขณะที่ถ้าที่พักอาศัยตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โอกาสที่จะตกเป็นคนยากจนจะลดลงถึง 80%
4. เหตุปัจจัยเชิงสังคมและวัฒนธรรม ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยฟัง ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุเกี่ยวกับผลการสำรวจทัศนคติของคนไทย คำถามเริ่มต้นว่า คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนจนหรือไม่? ประมาณ 70% คิดว่าตัวเองเป็นคนจน ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อถามต่อว่า ทำไมถึงจน? คนที่คิดว่าตัวเองจน ส่วนใหญ่ตอบว่า จนเพราะขาดโอกาส แต่คนที่คิดว่าตัวเองไม่จน ส่วนใหญ่ตอบว่า จนเพราะขี้เกียจ ทัศนคติที่แตกต่างเช่นนี้ทำให้คนจนที่คิดว่าตนเองจนไม่อาจได้รับโอกาสที่ดีพอจากคนที่คิดว่าตนเองไม่จนได้เลย
ความยากจนที่เห็นภาพ
ที่ประเทศจีน ช่างภาพมืออาชีพ Stefen Chow ได้ตอบคำถามเรื่องความยากจนผ่านโครงการที่มีชื่อว่า “Poverty line” โดยเขาเล่าว่า เขาเกิดในครอบครัวที่พอมีอันจะกิน ในระดับที่มีสวนกว้างพอจะสามารถขว้างบูมเมอแรงได้ แต่เมื่อโตพอที่จะเข้าโรงเรียน ครอบครัวของเขากลับถังแตกถึงขนาดเกือบไม่มีจะกิน คำถามเรื่องความรวยความจนจึงเกิดในหัวของเขาหลังจากนั้น
โครงการ “Poverty line” ค้นหาความหมายของความยากจนผ่านภาพถ่ายที่ตั้งเส้นแบ่งของความยากจนจากประเทศต่างๆ ผ่านแนวคิดที่ว่า One frame, one day, one person โดยเขาสนใจปริมาณแคลอรี่ในอาหารต่อหนึ่งวันที่คนยากจนในท้องถิ่นนั้นจะหาทานได้ และถ่ายภาพนั้นจะใช้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเป็นพื้นหลัง เพราะความยากจนสำหรับเขา คือ การที่คนมีทางเลือกในการเข้าถึงอาหารที่จำกัด มันใช้ชีวิตยากลำบากกว่าคนอื่น และในแต่ละที่ก็มีทางเลือกที่จำกัดแตกต่างกันหลากรูปแบบ การถ่ายภาพอาหารของเขาที่ได้จากการลงไปสัมผัสพื้นที่ต่างๆ และนี่คือส่วนหนึ่งของภาพจากโครงการ “Poverty line”
“ไทย ความยากจนอยู่ที่ THB 52.87 = USD 1.71″
ฝรั่งเศส ความยากจนอยู่ที่ EUR 5.60 = USD 7.68″
“ญี่ปุ่น ความยากจนอยู่ที่ 394 Yen = 4.88 USD”
จีน ความยากจนอยู่ที่ CNY 6.30 = USD 1.00″
“USA ความยากจนอยู่ที่ USD 4.91 = EUR 3.60″
กล่าวโดยสรุปก็คือ ความยากจนเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน เป็นที่สงสัยและถูกตั้งคำถามได้ง่าย แต่แก้ไขได้ยาก อย่างไรก็ตาม หลายประเทศเริ่มยอมรับแนวคิดของกลุ่มที่สามมากขึ้น คือเริ่มจากการนิยามความหมายของคำว่าคนจนให้ตรงกันในทุกหน่วยงานและจัดสรรงบประมาณอย่างมียุทธศาสตร์ตรงเข้าไปแก้ไขคนจนที่ถูกนิยามเหมือนกันก่อน ซึ่งจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าให้นโยบายกว้างๆ และทุกหน่วยงานเข้าไปแก้ไขกันเอง ซึ่ง [เสด-ถะ-สาด].com ก็หวังว่าวันหนึ่งจะเห็นยุทธศาสตร์เช่นนี้เกิดขึ้นกับรัฐไทยและเห็นภาพของคนจนในประเทศไทยลดลงให้เหลือน้อยที่สุดให้ได้
อีกเรื่องหนึ่งคือ พอเห็นอาหารที่พอจะเลือกได้สำหรับคนจนแล้วล่ะก็ลองเลือกกันดูนะครับว่าเป็นคนจนที่ไหนดี สำหรับผมแล้ว ประเทศไทยดีที่สุดครับ ^^
ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ค่ะ
http://setthasat.com/2012/08/15/what-is-poverty/
ความยากจนเป็นปัญหาที่ถูกตั้งคำถามมานานยังไม่มีรัฐบาลไหนแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ความยากจนก็ยังคงมีต่อไป
อ่านบทความนี้แล้วเริ่มเห็นภาพของการแก้ปัญหาของลุงสมคิดในเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่รัฐบาลลุงตู่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในการยังชีพนะคะ
เมื่อคนจนที่มีรายได้น้อยในประเทศ...
ไม่สามารถมีความมั่นคงในการเสาะหาสินค้าหรือบริการที่ให้พอเพียงแก่ความจําเป็นพื้นฐานในการดํารงชีพได้ การที่รัฐเข้าช่วยเหลือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงเป้าหมาย
เพื่อแก้ไขปัญหาของคนจนและยกระดับมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
และติดตามมาด้วยการช่วยเหลือด้านอื่นๆอย่างยั่งยืน
ถ้าแก้ปัญหาครั้งนี้ตรงจุด..เป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศไทยที่ประชาชนจะค่อยๆยกระดับคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีความหวังที่จะได้เข้าถึงโอกาสที่ดีในการทำมาหากิน หลุดพ้นจากความยากจนกันไปบ้างเสียที
~มาลาริน~** แก้ไขความยากจน..ต้องให้ประชาชนเข้าถึงอาหาร ปัจจัยพื้นฐาน..ลุงสมคิดลุงตู่มาถูกทางแล้วค่ะ 🍞🥗🍜🍝🥛🍶🥚
“ความยากจน” คืออะไร?
บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่าความยากจนคืออะไร มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน และทำไมจึงแก้ไขได้ยากยิ่ง รวมทั้งยังได้เกริ่นถึงโครงการของช่างภาพคนหนึ่งที่ตระเวนถ่ายภาพทางเลือกของคนจนในแต่ละประเทศมาให้ชมกันด้วย
นิยามของธนาคารโลก ระบุว่า “ความยากจน” คือ “สภาวะที่อัตคัดอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้ (unacceptable deprivation) ของมนุษย์ปุถุชน”
แนวคิดของการพิจารณาความอัตคัดที่ว่ามาทำให้เกิดแนวทางการวัดว่าใครคือคนจนสองแนวทาง หนึ่งคือ วัดคนจนแบบจนอย่างสัมบูรณ์ (absolute poverty) หมายถึง คนที่มีน้อยกว่าที่จําเป็นจะต้องมี จนไม่สามารถมีความมั่นคงในการเสาะหาสินค้าหรือบริการที่ให้พอเพียงแก่ความจําเป็นพื้นฐานในการดํารงชีพ และสองคือ วัดคนจนแบบจนโดยเปรียบเทียบ (relative poverty) หมายถึง คนที่มีน้อยกว่าคนอื่นๆ ในสังคมโดยเปรียบเทียบ
ในปัจจุบัน การพัฒนาเศรษฐกิจทำให้คนจนโดยสัมบูรณ์ ซึ่งไม่มีอันจะกินนั้น มีแนวโน้มลดลง โดยหากพิจารณาจากเส้นความยากจน (poverty line) ซึ่งหมายถึง”รายจ่ายที่ต่ำที่สุดที่เขาสามารถซื้ออาหารให้มีสารอาหารเพียงพอเพื่อประทังชีพได้” แล้วล่ะก็จะพบว่าจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีแนวโน้มลดลง
สาเหตุของความยากจน?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความยากจนที่เห็นภาพ
ที่ประเทศจีน ช่างภาพมืออาชีพ Stefen Chow ได้ตอบคำถามเรื่องความยากจนผ่านโครงการที่มีชื่อว่า “Poverty line” โดยเขาเล่าว่า เขาเกิดในครอบครัวที่พอมีอันจะกิน ในระดับที่มีสวนกว้างพอจะสามารถขว้างบูมเมอแรงได้ แต่เมื่อโตพอที่จะเข้าโรงเรียน ครอบครัวของเขากลับถังแตกถึงขนาดเกือบไม่มีจะกิน คำถามเรื่องความรวยความจนจึงเกิดในหัวของเขาหลังจากนั้น
โครงการ “Poverty line” ค้นหาความหมายของความยากจนผ่านภาพถ่ายที่ตั้งเส้นแบ่งของความยากจนจากประเทศต่างๆ ผ่านแนวคิดที่ว่า One frame, one day, one person โดยเขาสนใจปริมาณแคลอรี่ในอาหารต่อหนึ่งวันที่คนยากจนในท้องถิ่นนั้นจะหาทานได้ และถ่ายภาพนั้นจะใช้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเป็นพื้นหลัง เพราะความยากจนสำหรับเขา คือ การที่คนมีทางเลือกในการเข้าถึงอาหารที่จำกัด มันใช้ชีวิตยากลำบากกว่าคนอื่น และในแต่ละที่ก็มีทางเลือกที่จำกัดแตกต่างกันหลากรูปแบบ การถ่ายภาพอาหารของเขาที่ได้จากการลงไปสัมผัสพื้นที่ต่างๆ และนี่คือส่วนหนึ่งของภาพจากโครงการ “Poverty line”
“ไทย ความยากจนอยู่ที่ THB 52.87 = USD 1.71″
ฝรั่งเศส ความยากจนอยู่ที่ EUR 5.60 = USD 7.68″
“ญี่ปุ่น ความยากจนอยู่ที่ 394 Yen = 4.88 USD”
จีน ความยากจนอยู่ที่ CNY 6.30 = USD 1.00″
“USA ความยากจนอยู่ที่ USD 4.91 = EUR 3.60″
กล่าวโดยสรุปก็คือ ความยากจนเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน เป็นที่สงสัยและถูกตั้งคำถามได้ง่าย แต่แก้ไขได้ยาก อย่างไรก็ตาม หลายประเทศเริ่มยอมรับแนวคิดของกลุ่มที่สามมากขึ้น คือเริ่มจากการนิยามความหมายของคำว่าคนจนให้ตรงกันในทุกหน่วยงานและจัดสรรงบประมาณอย่างมียุทธศาสตร์ตรงเข้าไปแก้ไขคนจนที่ถูกนิยามเหมือนกันก่อน ซึ่งจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าให้นโยบายกว้างๆ และทุกหน่วยงานเข้าไปแก้ไขกันเอง ซึ่ง [เสด-ถะ-สาด].com ก็หวังว่าวันหนึ่งจะเห็นยุทธศาสตร์เช่นนี้เกิดขึ้นกับรัฐไทยและเห็นภาพของคนจนในประเทศไทยลดลงให้เหลือน้อยที่สุดให้ได้
อีกเรื่องหนึ่งคือ พอเห็นอาหารที่พอจะเลือกได้สำหรับคนจนแล้วล่ะก็ลองเลือกกันดูนะครับว่าเป็นคนจนที่ไหนดี สำหรับผมแล้ว ประเทศไทยดีที่สุดครับ ^^
ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ค่ะ
http://setthasat.com/2012/08/15/what-is-poverty/
ความยากจนเป็นปัญหาที่ถูกตั้งคำถามมานานยังไม่มีรัฐบาลไหนแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ความยากจนก็ยังคงมีต่อไป
อ่านบทความนี้แล้วเริ่มเห็นภาพของการแก้ปัญหาของลุงสมคิดในเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่รัฐบาลลุงตู่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในการยังชีพนะคะ
เมื่อคนจนที่มีรายได้น้อยในประเทศ...
ไม่สามารถมีความมั่นคงในการเสาะหาสินค้าหรือบริการที่ให้พอเพียงแก่ความจําเป็นพื้นฐานในการดํารงชีพได้ การที่รัฐเข้าช่วยเหลือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงเป้าหมาย
เพื่อแก้ไขปัญหาของคนจนและยกระดับมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
และติดตามมาด้วยการช่วยเหลือด้านอื่นๆอย่างยั่งยืน
ถ้าแก้ปัญหาครั้งนี้ตรงจุด..เป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศไทยที่ประชาชนจะค่อยๆยกระดับคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีความหวังที่จะได้เข้าถึงโอกาสที่ดีในการทำมาหากิน หลุดพ้นจากความยากจนกันไปบ้างเสียที