สวัสดีค่าชาวพันทิปทุกท่าน
ฤดูฝนกำลังจะผ่านไปแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นมานิดๆ ใครกำลังมองหาที่เที่ยวกางเต็นท์แบบไม่ต้องไปไกลถึงภาคเหนือ เราขอแนะนำอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเลยค่ะ เพราะเดินทางง่าย สะดวกสบาย ไปได้ทั้งรถส่วนตัวและรถสาธารณะ อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ถ้าขับรถไป ก็สามารถไปทางอำเภอไทรโยค แล้วตรงไปเรื่อยๆ ทางสังขละบุรี ถนนค่อนข้างดี ขับง่าย ไม่ซับซ้อนอะไร
เวอร์ชั่น Youtube ก็มีค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=PRdcEKKwuDM
ครั้งนี้พวกเราแบกเป้ไปแบบไม่มีรถเช่นเคย 5555 เริ่มต้นที่หมอชิตเพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ (แต่ถ้าใครสะดวกไปที่สายใต้ใหม่ก็ได้นะคะ) การเดินทางไม่ยากเลย แต่ต้องตื่นเช้านิดนึง เพราะระยะทางค่อนข้างไกล รายละเอียดการเดินเราจะสรุปให้ตอนท้ายนะคะ
พวกเรารีบออกจากบ้านกันตั้งแต่เช้ามืด เราขึ้นรถตู้ที่หมอชิตประมาณตีห้า ถึง บขส กาญจนบุรี ประมาณ 7 โมงเช้า จากนั้นต่อรถตู้ไปทองผาภูมิ ถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ เพื่อไปต่อรถสองแถวเพื่อจะขึ้นไปอุทยาน ที่พวกเราต้องรีบตื่นแต่เช้ากัน ก็ว่าเพราะรถสองแถวที่ขึ้นไปอุทยานจะหมดตอนเที่ยง ถ้าเราไปไม่ทันจะต้องเหมารถอย่างเดียว (ได้ข่าวว่าเป็นพันเลย T^T) ด้วยเหตุนี้เลยต้องยอมตื่นเช้า 555
พอถึงท่ารถตู้ที่ทองผาภูมิแล้ว เราต้องเดินต่อไปนิดหน่อยเพื่อไปขึ้นสองแถวที่ตลาด
รถสองแถวสีเหลืองจอดอยู่หน้าตลาดเลย หาง่ายมากๆ ที่ข้างรถจะเขียนว่า ทองผาภูมิ อุทยาน อีต่อง ต้องอ่านดีๆนะคะ เดี๋ยวขึ้นผิดคันล่ะแย่เลย
พวกเราไปถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ รถเที่ยวถัดไปก็ 11:20 เลย ยังพอมีเวลาเลยเดินทัวร์ตลาดนิดหน่อย
ไก่ย่างน่ากินมาก ปิ้งเด่นเป็นสง่ากลางตลาดเลย หอมมาแต่ไกล
วันนี้โชคดีสุดๆ ท้องฟ้าสดใสมาก ในขณะที่วันนั้นกรุงเทพฝนตกหนักมาก 5555 มองจากตลาดออกไป เห็นภูเขาอยู่ลิบๆ เห็นแค่นี้ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
พอได้เวลา พวกเราก็กลับไปขึ้นรถสองแถว จากที่นี่ไปอุทยานใช้เวลาไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะรถต้องปีนเขาเป็นระยะทาง 65 กิโลเมตร ใครมียาดมก็อย่าลืมเตรียมไปด้วยนะคะ555
ถึงแล้ววว อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่พวกเรานั่งเมื่อยก้นมายาวนาน ดูเขียวสดชื่น ร่มรื่นมากๆเลย
จากนั้นพวกเราก็เสียค่าเข้าอุทยานคนละ 70 บาท ซึ่งตั๋วนี้สามารถเข้าน้ำตกจ๊อกกะดิ่นได้ ไม่ต้องซื้อเสียเงินเพิ่ม แล้วเราก็เข้าไปติดต่อกับอุทยานเพื่อเช่าเต็นท์ ค่าเช่าเต็นท์รวมอุปกรณ์ ที่นอน ผ้าห่มสำหรับ 2 คน ทั้งหมด 420 บาท
ที่นี่ยังมีมอเตอร์ไซค์ให้เช่าด้วยนะคะ คันละ 250 บาท แต่พวกเราไปถึงกันก็เกือบบ่ายสองโมง และต้องเอามอไซค์มาคืน 6 โมงเย็น ก็เลยไม่ได้เช่ากัน
ลานกางเต็นท์จะอยู่ห่างออกไปจากศูนย์บริการ ประมาณ 500 เมตร และไม่ไกลจากศูนย์บริการจะมีร้านอาหารสวัสดิการด้วย ใครที่หิวก็มาทานอาหารที่นี่ได้ ราคาก็ไม่แพง ประมาณ 40-50 บาท จะปิดร้านประมาณ 5 โมงเย็น
เดินมาถึงลานกางเต็นท์แล้วก็หายเหนื่อยเลย วิวสวยมากกกกกก แล้วพวกเราก็จับจองที่ไว้กางเต็นท์ โดยเลือกที่ๆคิดว่าน่าจะเห็นดาวชัดๆ เพราะอยากมาถ่ายรูปดาวกันโดยเฉพาะ
หลังจากกางเต็นท์เสร็จแล้ว (โดยความช่วยเหลือจากพี่ๆที่เต็นท์ข้าง ที่มองพวกเรายืนงงกันอยู่นาน) ก็เดินสำรวจรอบๆ
มองเห็นรุ้งกินน้ำด้วย ฟินสุดๆ ^^
วันที่พวกเราไปเป็นวันหยุดยาวพอดี (13-15 ตค) เลยมีคนมากางเต็นท์เต็มไปหมด หลายเต็นท์ก็เตรียมอุปกรณ์ทำอาหารมาด้วย มีทั้งบาร์บีคิว หมูกะทะ สารพัดปิ้งย่าง หอมกลิ่นอาหารมากก มอบกลับมาที่พวกเรานั้น มีแต่ขนมถุงจากเซเว่น อนาถแท้ 55555 ใครมาที่นี่แนะนำให้มาทำอาหาร หรือก็เตรียมเสบียงมาเยอะๆนะคะ รับรองว่าทานอาหารบนภูเขานี่บรรยากาศดีสุดๆ
หลังจากนั้นพวกเราก็ออกไปน้ำตกจ็อกกะดิ่นด้วยการเดิน แต่ระหว่างที่เดินๆ อยู่นั้น ก็มีรถกะบะใจดีผ่านมาพอดี พี่เค้าเลยชวนขึ้นนั่งกะบะท้าย และส่งพวกเราที่หน้าปากทางเข้าน้ำตก หลังจากนั้นพวกเราต้องเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 2.8 กิโลเมตร แล้วก็มีรถใจดีอีกคันเรียกพวกเราให้ไปด้วยกัน ซึ่งระยะทางจากอุทยานมาถึงน้ำตกรวมๆ แล้วก็ประมาณ 5 กิโลเมตร ไม่ใกล้เลย คิดกันอยู่ว่าถ้าไม่เจอพี่ๆนี่มีหอบแน่ๆ เพราะทางค่อนข้างชัน ฝนก็ตก ทางก็เปียก แต่โชคดีที่พวกเราเจอคนใจดี เลยทำให้พวกเราประทับใจในความมีน้ำใจของคนไทยมากๆ
ถึงแล้ว น้ำตกจ็อกกะดิ่น ยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือจริงๆ เห็นแล้วสดชื่นมาก หลังจากที่ชมน้ำตกสักพักแล้ว ก็ได้เวลากลับ โดยพี่ๆรถกะบะคันเดิมอาสาไปส่งพวกเราที่อุทยาน ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงถึงจะพอ ซาบซึ้งจริงๆ^^
ตอนพวกเรากลับมาถึงเต็นท์ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ลมพัดแรงขึ้น อากาศก็เริ่มหนาวลง พวกเราเลยเตรียมตัวอาบน้ำแปรงฟัน ซึ่งอุทยานได้มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำไว้ แต่น้ำนี่เย็นจับใจสุดๆ แนะนำให้รีบอาบตั้งแต่ตอนเย็นจะดีที่สุด และที่นี่ไฟจะดับลงตอนสองทุ่มเป๊ะๆ
หลังจากไฟดับลง พวกเราก็มองเห็นดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเลย เคล้าคลอไปกับเสียงจักจั่นและแมลงน้อยใหญ่ในป่า โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ไม่มีเมฆมาบังสักนิด พวกเราเลยเห็นดาวตกอยู่เรื่อยๆ ฟินนมากกก โรแมนติกสุดๆ เป็นประสบการณ์ที่เราไม่ได้เจอในเมืองกรุงแน่นอน
นอนหลับฝันดีไปหนึ่งคืน ก็เลยตื่นสายนิดหน่อย แต่ยังมองเห็นทะเลหมอกอยู่ อากาศตอนเช้าของที่นี่บริสุทธิ์สดชื่นมาก หายใจได้เต็มปอด รับโอโซนไปยาวๆเลย
ใครที่อยากมาสัมผัสและใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบนี้ ก็แนะนำที่นี่เลยค่ะ เพราะจริงๆแล้วบริเวณนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อย่างหมู่บ้านอีต่องที่เหมืองปิล็อกที่อยู่ห่างไปอีก 8 กิโลเมตร แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ขี้นไปเพราะที่พักเต็มหมด เพิ่งนึกได้ว่าจะไปก่อนล่วงหน้าแค่ 2 วัน อดเลย 555 แนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนโดยเฉพาะวันหยุดยาวนะคะ เพราะที่นั่นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่พักส่วนใหญ่ก็จะเป็นโฮมสเตย์ของชาวบ้าน และนอกจากหมู่บ้านอีต่องแล้ว ก็ยังสามารถไปสังขละบุรีได้ด้วยการนั่งรถจากตลาดทองผาภูมิ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ตามที่สัญญาไว้ช่วงต้น ขอสรุปรายละเอียดตามนี้นะคะ หวังว่าข้อมูลที่พวกเราเตรียมมาจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย และอย่าลืมติดตามพวกเราในทริปถัดๆไปนะคะ 🙂
การเดินทางด้วยรถสาธารณะไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ+ค่าใช้จ่าย
(ไม่รวมอาหาร)
ขาไป
-ขึ้นรถตู้ที่หมอชิตไป บขส กาญจนบุรี ประมาณตี 5 120บาท/คน (เพราะรถสองแถวจากทองผาภูมิไปอุทยานเที่ยวสุดท้าย คือ 12:00 เลยต้องไปถึงก่อน ถ้าไม่ทันต้องเหมารถขึ้นไปอย่างเดียว)
-ขึ้นรถตู้จาก บขส กาญ ไปทองผาภูมิ 115บาท/คน รถเที่ยวสุดท้าย 16:00 (ถ้าขึ้นรถบัส คนละ 70 บาท/คน)
-ขึ้นรถสองแถวสีเหลืองจากตลาดทองผาภูมิ 70 บาท/คน (ดูข้างรถดีๆนะคะ ต้องเขียนว่า ทองผาภูมิ อุทยาน อีต่อง เท่านั้น) รถเที่ยวแรก 8:20 – 12:00 รถออกทุกๆ 1 ชม
ขากลับ
-รถสองแถวสีเหลืองคันเดิม คันแรกประมาณ 6:30 เที่ยวสุดท้าย (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 8:20) 70 บาท/คน
-รถตู้หรือรถบัสไป บขส กาญ 70 บาท/คน
-รถตู้กลับ กทม มีหลายบริษัทเลยค่ะ ค่ารถ 120 บาทเหมือนเดิม
สำหรับใครที่อยากติดตามทริปของพวกเรา รวมถึงร้านกาแฟน่ารักๆ สามารถติดตามพวกเราได้ที่นี่เลยนะคะ
https://cameteria.com/
ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ และขอบคุณมากๆเลยที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
[CR] แบกเป้ไปกางเต็นท์ชมทะเลหมอกที่ทองผาภูมิ + น้ำตกจ๊อกกะดิ่น แบบไม่มีรถ ในงบไม่ถึง 1,000 บาท
ฤดูฝนกำลังจะผ่านไปแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นมานิดๆ ใครกำลังมองหาที่เที่ยวกางเต็นท์แบบไม่ต้องไปไกลถึงภาคเหนือ เราขอแนะนำอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเลยค่ะ เพราะเดินทางง่าย สะดวกสบาย ไปได้ทั้งรถส่วนตัวและรถสาธารณะ อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ถ้าขับรถไป ก็สามารถไปทางอำเภอไทรโยค แล้วตรงไปเรื่อยๆ ทางสังขละบุรี ถนนค่อนข้างดี ขับง่าย ไม่ซับซ้อนอะไร
เวอร์ชั่น Youtube ก็มีค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=PRdcEKKwuDM
ครั้งนี้พวกเราแบกเป้ไปแบบไม่มีรถเช่นเคย 5555 เริ่มต้นที่หมอชิตเพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ (แต่ถ้าใครสะดวกไปที่สายใต้ใหม่ก็ได้นะคะ) การเดินทางไม่ยากเลย แต่ต้องตื่นเช้านิดนึง เพราะระยะทางค่อนข้างไกล รายละเอียดการเดินเราจะสรุปให้ตอนท้ายนะคะ
พวกเรารีบออกจากบ้านกันตั้งแต่เช้ามืด เราขึ้นรถตู้ที่หมอชิตประมาณตีห้า ถึง บขส กาญจนบุรี ประมาณ 7 โมงเช้า จากนั้นต่อรถตู้ไปทองผาภูมิ ถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ เพื่อไปต่อรถสองแถวเพื่อจะขึ้นไปอุทยาน ที่พวกเราต้องรีบตื่นแต่เช้ากัน ก็ว่าเพราะรถสองแถวที่ขึ้นไปอุทยานจะหมดตอนเที่ยง ถ้าเราไปไม่ทันจะต้องเหมารถอย่างเดียว (ได้ข่าวว่าเป็นพันเลย T^T) ด้วยเหตุนี้เลยต้องยอมตื่นเช้า 555
พอถึงท่ารถตู้ที่ทองผาภูมิแล้ว เราต้องเดินต่อไปนิดหน่อยเพื่อไปขึ้นสองแถวที่ตลาด
รถสองแถวสีเหลืองจอดอยู่หน้าตลาดเลย หาง่ายมากๆ ที่ข้างรถจะเขียนว่า ทองผาภูมิ อุทยาน อีต่อง ต้องอ่านดีๆนะคะ เดี๋ยวขึ้นผิดคันล่ะแย่เลย
พวกเราไปถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ รถเที่ยวถัดไปก็ 11:20 เลย ยังพอมีเวลาเลยเดินทัวร์ตลาดนิดหน่อย
ไก่ย่างน่ากินมาก ปิ้งเด่นเป็นสง่ากลางตลาดเลย หอมมาแต่ไกล
วันนี้โชคดีสุดๆ ท้องฟ้าสดใสมาก ในขณะที่วันนั้นกรุงเทพฝนตกหนักมาก 5555 มองจากตลาดออกไป เห็นภูเขาอยู่ลิบๆ เห็นแค่นี้ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
พอได้เวลา พวกเราก็กลับไปขึ้นรถสองแถว จากที่นี่ไปอุทยานใช้เวลาไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะรถต้องปีนเขาเป็นระยะทาง 65 กิโลเมตร ใครมียาดมก็อย่าลืมเตรียมไปด้วยนะคะ555
ถึงแล้ววว อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่พวกเรานั่งเมื่อยก้นมายาวนาน ดูเขียวสดชื่น ร่มรื่นมากๆเลย
จากนั้นพวกเราก็เสียค่าเข้าอุทยานคนละ 70 บาท ซึ่งตั๋วนี้สามารถเข้าน้ำตกจ๊อกกะดิ่นได้ ไม่ต้องซื้อเสียเงินเพิ่ม แล้วเราก็เข้าไปติดต่อกับอุทยานเพื่อเช่าเต็นท์ ค่าเช่าเต็นท์รวมอุปกรณ์ ที่นอน ผ้าห่มสำหรับ 2 คน ทั้งหมด 420 บาท
ที่นี่ยังมีมอเตอร์ไซค์ให้เช่าด้วยนะคะ คันละ 250 บาท แต่พวกเราไปถึงกันก็เกือบบ่ายสองโมง และต้องเอามอไซค์มาคืน 6 โมงเย็น ก็เลยไม่ได้เช่ากัน
ลานกางเต็นท์จะอยู่ห่างออกไปจากศูนย์บริการ ประมาณ 500 เมตร และไม่ไกลจากศูนย์บริการจะมีร้านอาหารสวัสดิการด้วย ใครที่หิวก็มาทานอาหารที่นี่ได้ ราคาก็ไม่แพง ประมาณ 40-50 บาท จะปิดร้านประมาณ 5 โมงเย็น
เดินมาถึงลานกางเต็นท์แล้วก็หายเหนื่อยเลย วิวสวยมากกกกกก แล้วพวกเราก็จับจองที่ไว้กางเต็นท์ โดยเลือกที่ๆคิดว่าน่าจะเห็นดาวชัดๆ เพราะอยากมาถ่ายรูปดาวกันโดยเฉพาะ
หลังจากกางเต็นท์เสร็จแล้ว (โดยความช่วยเหลือจากพี่ๆที่เต็นท์ข้าง ที่มองพวกเรายืนงงกันอยู่นาน) ก็เดินสำรวจรอบๆ
มองเห็นรุ้งกินน้ำด้วย ฟินสุดๆ ^^
วันที่พวกเราไปเป็นวันหยุดยาวพอดี (13-15 ตค) เลยมีคนมากางเต็นท์เต็มไปหมด หลายเต็นท์ก็เตรียมอุปกรณ์ทำอาหารมาด้วย มีทั้งบาร์บีคิว หมูกะทะ สารพัดปิ้งย่าง หอมกลิ่นอาหารมากก มอบกลับมาที่พวกเรานั้น มีแต่ขนมถุงจากเซเว่น อนาถแท้ 55555 ใครมาที่นี่แนะนำให้มาทำอาหาร หรือก็เตรียมเสบียงมาเยอะๆนะคะ รับรองว่าทานอาหารบนภูเขานี่บรรยากาศดีสุดๆ
หลังจากนั้นพวกเราก็ออกไปน้ำตกจ็อกกะดิ่นด้วยการเดิน แต่ระหว่างที่เดินๆ อยู่นั้น ก็มีรถกะบะใจดีผ่านมาพอดี พี่เค้าเลยชวนขึ้นนั่งกะบะท้าย และส่งพวกเราที่หน้าปากทางเข้าน้ำตก หลังจากนั้นพวกเราต้องเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 2.8 กิโลเมตร แล้วก็มีรถใจดีอีกคันเรียกพวกเราให้ไปด้วยกัน ซึ่งระยะทางจากอุทยานมาถึงน้ำตกรวมๆ แล้วก็ประมาณ 5 กิโลเมตร ไม่ใกล้เลย คิดกันอยู่ว่าถ้าไม่เจอพี่ๆนี่มีหอบแน่ๆ เพราะทางค่อนข้างชัน ฝนก็ตก ทางก็เปียก แต่โชคดีที่พวกเราเจอคนใจดี เลยทำให้พวกเราประทับใจในความมีน้ำใจของคนไทยมากๆ
ถึงแล้ว น้ำตกจ็อกกะดิ่น ยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือจริงๆ เห็นแล้วสดชื่นมาก หลังจากที่ชมน้ำตกสักพักแล้ว ก็ได้เวลากลับ โดยพี่ๆรถกะบะคันเดิมอาสาไปส่งพวกเราที่อุทยาน ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงถึงจะพอ ซาบซึ้งจริงๆ^^
ตอนพวกเรากลับมาถึงเต็นท์ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ลมพัดแรงขึ้น อากาศก็เริ่มหนาวลง พวกเราเลยเตรียมตัวอาบน้ำแปรงฟัน ซึ่งอุทยานได้มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำไว้ แต่น้ำนี่เย็นจับใจสุดๆ แนะนำให้รีบอาบตั้งแต่ตอนเย็นจะดีที่สุด และที่นี่ไฟจะดับลงตอนสองทุ่มเป๊ะๆ
หลังจากไฟดับลง พวกเราก็มองเห็นดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเลย เคล้าคลอไปกับเสียงจักจั่นและแมลงน้อยใหญ่ในป่า โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ไม่มีเมฆมาบังสักนิด พวกเราเลยเห็นดาวตกอยู่เรื่อยๆ ฟินนมากกก โรแมนติกสุดๆ เป็นประสบการณ์ที่เราไม่ได้เจอในเมืองกรุงแน่นอน
นอนหลับฝันดีไปหนึ่งคืน ก็เลยตื่นสายนิดหน่อย แต่ยังมองเห็นทะเลหมอกอยู่ อากาศตอนเช้าของที่นี่บริสุทธิ์สดชื่นมาก หายใจได้เต็มปอด รับโอโซนไปยาวๆเลย
ใครที่อยากมาสัมผัสและใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบนี้ ก็แนะนำที่นี่เลยค่ะ เพราะจริงๆแล้วบริเวณนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อย่างหมู่บ้านอีต่องที่เหมืองปิล็อกที่อยู่ห่างไปอีก 8 กิโลเมตร แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ขี้นไปเพราะที่พักเต็มหมด เพิ่งนึกได้ว่าจะไปก่อนล่วงหน้าแค่ 2 วัน อดเลย 555 แนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนโดยเฉพาะวันหยุดยาวนะคะ เพราะที่นั่นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่พักส่วนใหญ่ก็จะเป็นโฮมสเตย์ของชาวบ้าน และนอกจากหมู่บ้านอีต่องแล้ว ก็ยังสามารถไปสังขละบุรีได้ด้วยการนั่งรถจากตลาดทองผาภูมิ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ตามที่สัญญาไว้ช่วงต้น ขอสรุปรายละเอียดตามนี้นะคะ หวังว่าข้อมูลที่พวกเราเตรียมมาจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย และอย่าลืมติดตามพวกเราในทริปถัดๆไปนะคะ 🙂
การเดินทางด้วยรถสาธารณะไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ+ค่าใช้จ่าย
(ไม่รวมอาหาร)
ขาไป
-ขึ้นรถตู้ที่หมอชิตไป บขส กาญจนบุรี ประมาณตี 5 120บาท/คน (เพราะรถสองแถวจากทองผาภูมิไปอุทยานเที่ยวสุดท้าย คือ 12:00 เลยต้องไปถึงก่อน ถ้าไม่ทันต้องเหมารถขึ้นไปอย่างเดียว)
-ขึ้นรถตู้จาก บขส กาญ ไปทองผาภูมิ 115บาท/คน รถเที่ยวสุดท้าย 16:00 (ถ้าขึ้นรถบัส คนละ 70 บาท/คน)
-ขึ้นรถสองแถวสีเหลืองจากตลาดทองผาภูมิ 70 บาท/คน (ดูข้างรถดีๆนะคะ ต้องเขียนว่า ทองผาภูมิ อุทยาน อีต่อง เท่านั้น) รถเที่ยวแรก 8:20 – 12:00 รถออกทุกๆ 1 ชม
ขากลับ
-รถสองแถวสีเหลืองคันเดิม คันแรกประมาณ 6:30 เที่ยวสุดท้าย (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 8:20) 70 บาท/คน
-รถตู้หรือรถบัสไป บขส กาญ 70 บาท/คน
-รถตู้กลับ กทม มีหลายบริษัทเลยค่ะ ค่ารถ 120 บาทเหมือนเดิม
สำหรับใครที่อยากติดตามทริปของพวกเรา รวมถึงร้านกาแฟน่ารักๆ สามารถติดตามพวกเราได้ที่นี่เลยนะคะ
https://cameteria.com/
ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ และขอบคุณมากๆเลยที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น