คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
คือถ้าเราไปวัดว่าใครเด่นใครด้อย มันก็จะทะเลาะกันนั่นล่ะครับ แตกแยก ก็เลยมีคำว่าทุกคนเท่าเทียมกัน เนื่องด้วยเสีย Vat เหมือนกันทุกคน และคนไทยเรานี่ใครว่า ไม่เจริญ ด้อยพัฒนา โง่ โกรธเอาเป็นเอาตายเลย และยังวิธีคิดแบบท้องถิ่นนิยมจ๋า เห็นไหมคนนั้นน่ะคนบ้านฉันเองนะ บ้านฉันนี่แตะไม่ได้เอาเลย เรื่องพวกนี้ก็เลยละไว้ไม่ให้ทะเลาะกันน่ะครับ เดี๋ยวจะเกทับกันตายเสียก่อน
แต่ถ้าจะถกกันว่า ใครดีกว่าใคร ต้องบอกว่ามีดราม่าแน่นอน รายได้หลักของผู้คนของประเทศเกษตรกรรม ก็ต้องมาจากเกษตรกรรมสินะ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ครับ รายได้รวมหลักๆของผู้คนมาจาก อุตสาหกรรมกับบริการ 80- 90เปอร์เซ็นแน่ะ เกษตรกรรมน่ะที่เหลือ ซึ่งไอ้รายได้ตรงส่วนนี้ ส่วนใหญที่เข้าระบบเป็นรายได้ที่ต้องหักฐานภาษี รายได้ที่ได้มาก็เอามากระจ่ายไปตามภูมิภาคต่างๆ หลายๆจังหวัดเองยังเลี้ยงตัวเองไม่ไหวครับ ยังต้องพึ่งรายได้จากส่วนกลาง เรื่องของเจ้าของกระทู้ เดาว่าคงไม่พ้นดราม่าการเมือง จังหวัดท่องเที่ยว รายได้มหาศาล แต่เอามาใช้เองได้กระจึ๋งเดียว จริงๆจังหวัดใหญ่ๆมีการเคลื่อนไหว พยายามจะเปลี่ยนไปเป็นแบบกรุงเทพกับพัทยาตั้งนานแล้ว มีทั้งเมืองใหญ๋ภาคเหนือ เมืองติดทะเลภาคใต้ เพื่อจะได้จัดการบริหารตัวเองได้แบบเต็มสูบ แต่ก็ติดตรงถ้าถ้าทุกจังหวัดต้องการจะทำแบบนั้นกันหมด แล้วจะเอาเงินที่ไหนมากระจายไปจังหวัดเล็กๆล่ะ
ต่อมาเรื่องเสียภาษีมากหรือน้อย เท่าเทียมกันหรือไม่ ผมมองอย่างนี้ครับ คนที่เสียเยอะๆเขามีสิทธิ์จะคิด ไม่ผิดครับ ก็มันเสียเยอะจริงๆอะ 555 เขาถูกแรงบีดแรงอัดจากสภาวะทางสังคม ให้เขาต้องใช้ข้าวของที่คุณภาพดี ซึ่งของเหล่านี้ไม่ใช้ไม่ได้ มันถูกบีบให้ใช้ของมันเอง ซึ่งไอของเหล่านี้เสียภาษีเต็มอัตราสูบหนักๆกันทั้งนั้น สาวๆทำงานห้องแอร์จะไปใช้น้ำหอมตลาดนัดขวดยาวๆ มันไม่ใช่อะครับ ผมผู้ชายได้กลิ่นยังรู้เลยว่าของแบรนด์หรือของตลาดนัด กลุ่มเหล่านี้ก็มักจะไม่ค่อยจะใช้สวัสดิการของภาครัฐด้วย เนื่องจากมองว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่า โรงเรียนของลูก การเดินทาง ประกันค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เมื่อพวกเขารู้สึกว่าแทบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากการเสียภาษีเลย ทำไมต้องเสียเยอะๆด้วย? 555 อยากบอกว่าธุรกิจในระบบแบบถูกต้องจริงๆ ค่านู่นค่านี่เยอะมากๆ เจอภาษีหลายทบ งง งวย เวียนหัว อีกอย่างผมว่าสินค้าฟุ่มเฟือยบ้านเราแพงไปหน่อยนะ คนชั้นล่างที่พยายามกระกระสนยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อไปสู่การเป็นคนชั้นกลาง เจอน้ำหอมเข้าไปขวดนึง เจ็บเลย ผมมองว่าเทรนด์ของความเจริญมันไปทางยกระดับคุณภาพชีวิต เราก็ควรจะทำให้เขาไปสู่จุดนั้นได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่สโลแกนเก่าแก่ ของฟุ่มเฟือยต้องเสียภาษีหนักๆ แบบนี้คนก็ยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเองได้น้อยลง ช้าลง
และก่อนที่จะออกทะเลไปมากกว่านี้ ขอย้อนกลับไปสู่เนื้อหากระทู้เลยครับ เรื่อง vat มันเป็นเรื่องในระบบ ผมมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ได้เข้าเซเว่นทุกวัน ผมไม่คิดว่าคนส่วนใหญไม่อยู่ในฐานระบบภาษีและไม่ยื่นภาษีกันด่วย จำนวนคนเยอะแบบที่เพื่อนเจ้าของกระทู้บอก ไม่ได้สะท้อนว่าต้องเสียภาษีเยอะ เพราะคนเยอะก็หมายถึงใช้สวัสดิการของรัฐเยอะด้วยเช่นกัน และถ้าเค้าไม่ได้จับจ่ายในระบบอีกล่ะ แน่นอนคนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อขายในระบบอยู่แล้ว
แต่จะให้ตอบว่าเพื่อนคนไหนคิดถูกคิดผิด ผมก็ว่าไม่ควร เมื่อมีผู้แพ้ก็ต้องมีผู้ชนะ ผู้แพ้ก็จะเสียหน้า ผมว่าคุยกันดีๆดีกว่าครับ อย่าทะเลาะกัน การให้ประเทศเดินไปได้มันก็ต้องอาศัยทุกส่วนนั่นล่ะ พื้นที่ๆเจริญก็ยังจำเป็นต้องใช้แรงงาน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือแรงงานจากจังหวัดที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้นี่ล่ะ
ย้ายมาหางานทำกัน มันก็ต้องช่วยๆกันไป พอเงินกระจายไปทั่วในประเทศมากขึ้น คนมีการศึกษาสูงขึ้น ทักษะมากขึ้น ภาพรวมของประเทศก็จะเจริญไปเองละครับ ปล.บางข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนบ้างนะครับ บางอย่างก็ลืมบ้างอะไรบ้าง
แต่ถ้าจะถกกันว่า ใครดีกว่าใคร ต้องบอกว่ามีดราม่าแน่นอน รายได้หลักของผู้คนของประเทศเกษตรกรรม ก็ต้องมาจากเกษตรกรรมสินะ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ครับ รายได้รวมหลักๆของผู้คนมาจาก อุตสาหกรรมกับบริการ 80- 90เปอร์เซ็นแน่ะ เกษตรกรรมน่ะที่เหลือ ซึ่งไอ้รายได้ตรงส่วนนี้ ส่วนใหญที่เข้าระบบเป็นรายได้ที่ต้องหักฐานภาษี รายได้ที่ได้มาก็เอามากระจ่ายไปตามภูมิภาคต่างๆ หลายๆจังหวัดเองยังเลี้ยงตัวเองไม่ไหวครับ ยังต้องพึ่งรายได้จากส่วนกลาง เรื่องของเจ้าของกระทู้ เดาว่าคงไม่พ้นดราม่าการเมือง จังหวัดท่องเที่ยว รายได้มหาศาล แต่เอามาใช้เองได้กระจึ๋งเดียว จริงๆจังหวัดใหญ่ๆมีการเคลื่อนไหว พยายามจะเปลี่ยนไปเป็นแบบกรุงเทพกับพัทยาตั้งนานแล้ว มีทั้งเมืองใหญ๋ภาคเหนือ เมืองติดทะเลภาคใต้ เพื่อจะได้จัดการบริหารตัวเองได้แบบเต็มสูบ แต่ก็ติดตรงถ้าถ้าทุกจังหวัดต้องการจะทำแบบนั้นกันหมด แล้วจะเอาเงินที่ไหนมากระจายไปจังหวัดเล็กๆล่ะ
ต่อมาเรื่องเสียภาษีมากหรือน้อย เท่าเทียมกันหรือไม่ ผมมองอย่างนี้ครับ คนที่เสียเยอะๆเขามีสิทธิ์จะคิด ไม่ผิดครับ ก็มันเสียเยอะจริงๆอะ 555 เขาถูกแรงบีดแรงอัดจากสภาวะทางสังคม ให้เขาต้องใช้ข้าวของที่คุณภาพดี ซึ่งของเหล่านี้ไม่ใช้ไม่ได้ มันถูกบีบให้ใช้ของมันเอง ซึ่งไอของเหล่านี้เสียภาษีเต็มอัตราสูบหนักๆกันทั้งนั้น สาวๆทำงานห้องแอร์จะไปใช้น้ำหอมตลาดนัดขวดยาวๆ มันไม่ใช่อะครับ ผมผู้ชายได้กลิ่นยังรู้เลยว่าของแบรนด์หรือของตลาดนัด กลุ่มเหล่านี้ก็มักจะไม่ค่อยจะใช้สวัสดิการของภาครัฐด้วย เนื่องจากมองว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่า โรงเรียนของลูก การเดินทาง ประกันค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เมื่อพวกเขารู้สึกว่าแทบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากการเสียภาษีเลย ทำไมต้องเสียเยอะๆด้วย? 555 อยากบอกว่าธุรกิจในระบบแบบถูกต้องจริงๆ ค่านู่นค่านี่เยอะมากๆ เจอภาษีหลายทบ งง งวย เวียนหัว อีกอย่างผมว่าสินค้าฟุ่มเฟือยบ้านเราแพงไปหน่อยนะ คนชั้นล่างที่พยายามกระกระสนยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อไปสู่การเป็นคนชั้นกลาง เจอน้ำหอมเข้าไปขวดนึง เจ็บเลย ผมมองว่าเทรนด์ของความเจริญมันไปทางยกระดับคุณภาพชีวิต เราก็ควรจะทำให้เขาไปสู่จุดนั้นได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่สโลแกนเก่าแก่ ของฟุ่มเฟือยต้องเสียภาษีหนักๆ แบบนี้คนก็ยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเองได้น้อยลง ช้าลง
และก่อนที่จะออกทะเลไปมากกว่านี้ ขอย้อนกลับไปสู่เนื้อหากระทู้เลยครับ เรื่อง vat มันเป็นเรื่องในระบบ ผมมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ได้เข้าเซเว่นทุกวัน ผมไม่คิดว่าคนส่วนใหญไม่อยู่ในฐานระบบภาษีและไม่ยื่นภาษีกันด่วย จำนวนคนเยอะแบบที่เพื่อนเจ้าของกระทู้บอก ไม่ได้สะท้อนว่าต้องเสียภาษีเยอะ เพราะคนเยอะก็หมายถึงใช้สวัสดิการของรัฐเยอะด้วยเช่นกัน และถ้าเค้าไม่ได้จับจ่ายในระบบอีกล่ะ แน่นอนคนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อขายในระบบอยู่แล้ว
แต่จะให้ตอบว่าเพื่อนคนไหนคิดถูกคิดผิด ผมก็ว่าไม่ควร เมื่อมีผู้แพ้ก็ต้องมีผู้ชนะ ผู้แพ้ก็จะเสียหน้า ผมว่าคุยกันดีๆดีกว่าครับ อย่าทะเลาะกัน การให้ประเทศเดินไปได้มันก็ต้องอาศัยทุกส่วนนั่นล่ะ พื้นที่ๆเจริญก็ยังจำเป็นต้องใช้แรงงาน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือแรงงานจากจังหวัดที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้นี่ล่ะ
ย้ายมาหางานทำกัน มันก็ต้องช่วยๆกันไป พอเงินกระจายไปทั่วในประเทศมากขึ้น คนมีการศึกษาสูงขึ้น ทักษะมากขึ้น ภาพรวมของประเทศก็จะเจริญไปเองละครับ ปล.บางข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนบ้างนะครับ บางอย่างก็ลืมบ้างอะไรบ้าง
แสดงความคิดเห็น
เพื่อนสองคนเถียงกันเรื่องภาษี หลักการของคนไหนถูกต้องกว่าครับ?
- การบ่นเรื่องใครเสียภาษีมากกว่ากัน ถือว่าใจดำ เพราะทุกคนล้วนเสียภาษีในรูปแบบของ Vat ย่อมมีสิทธิโดยเท่าเทียมกัน
- คนในจังหวัดกรูรวมกันเสียภาษีมากกว่า คนของจังหวัดของ(เพื่อน 2) ทุกคนรวมกัน แต่กรูไม่เคยบ่น และถ้าใช้ตรรกกะของเพื่อน 2 จังหวัดกรูสมควรได้รับการพัฒนามากกว่า ด้วยซ้ำ
- จังหวัดของเพื่อน 2 เป็นจังหวัดท่องเที่ยว สูบทรัพยากรของชาติไปมาก พัฒนาเกินหน้าเกินตาภูมิภาคอื่นๆไปมากแล้ว จะเอางบไปทำไมเยอะแยะมากมาย สมควรแบ่งให้ที่อื่นพัฒนาบ้าง
เพื่อนคนที่ 2
- ทำไมจะบ่นไม่ได้ ทุกคนจ่าย Vat เหมือนกันแต่มีบางคนเท่านั้นที่เสียภาษีรายได้ คนจ่ายเยอะกว่าแต่ไม่ค่อยได้ใช้/ได้สวัดดิการแย่ๆ พอๆกับคนจ่ายน้อย จะบ่นผิดด้วยหรอ? ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน?
- ก็จังหวัด(เพื่อน 1)ใหญ่กว่าประชากรเยอะกว่า จะมาเคลมว่าจ่ายภาษีมากกว่าได้ยังไง ภาษีของจังหวัดกรูเมื่อหารจำนวนประชากรในจังหวัด จะได้จำนวนภาษี/หัวมากกว่า
- ทรัพยากรอยู่ในพื้นที่กรู จะผิดอะไรที่คนท้องที่จะใช้เพื่อพัฒนาท้องที่ของตนเอง ไม่ได้สูบมาจากบ้าน(เพื่อน 1) ซักหน่อย งบประมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับที่แบ่งจ่ายให้ส่วนกลางไป นี่คือการเอาเปรียบ
ก็ดูมีเหตุผลทั้งคู่นะ แต่ผมเอียงไปทางเพื่อน 2 มากกว่า ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์งูๆปลาๆของผม ทำให้ผมนึกเทียบเคียงถึงเรื่องของ
GDP VS GDP per capital ประเทศเพื่อนบ้านเราบางประเทศ ความเจริญและคุณภาพชีวิต แย่กว่าเรามาก แต่เค้ามี GDP มากกว่าเรา
เหตุผลเพราะ ประเทศเค้าใหญ่กว่าและประชากรมากกว่าเรา แต่ถ้าคิดเสมือนหนึ่งให้อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน GDP per cap ของเราจะมากกว่าเค้า สอดคล้องกับสภาพบ้านเมืองของเราที่เจริญกว่าเค้ามากกว่า คงเทียบเคียงกรณีภาษีที่ว่านี้ได้
ลองนึกถึงใจเค้าใจเรา เรารู้สึกเหมือนหลักการเพื่อน 1 มีแต่ได้กับได้ยังไงก็ไม่รุ แต่ถ้าคิดตามหลักการของเพื่อน 2 ก็รู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ใจ ว่าจริงๆแล้วเราคิดถูกหรือไม่? แล้วพวกคุณล่ะ คิดอย่างไร?