สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
เสียงเพลง เรือนแพ เพลงแรกบนเรืออันเป็นเพลงโปรดของท่านอาจารย์ยิ้ม ดังขึ้นพร้อมดึงความครุ่นคิดคำนึงไปสู่ความหลังอันเราเรียกว่า อดีต
อดีตที่สวยงามกระไรปานนั้น เพริศแพร้วกระไรปานนั้น
การหวนทวนย้อนของจิตท่านใด จะคิดไปถึงไกลเพียงไหน ก็ย่อมแล้วแต่ความทรงจำของแต่ละท่าน
แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อเสียงเพลงร้องถึงท่อนที่ว่า
..หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน..
ผมคิดเห็นภาพบุรุษท่านหนึ่งขึ้นมาทันที
ท่านอาจารย์ยิ้ม คงเห็นถึงสัจธรรมบางอย่างที่ซ่อนในเนื้อหาเพลงท่อนนี้ อันบ่งบอกถึงธาตุแท้ทรนง บุรุษผู้ให้คำนิยามตนเองว่า " ราษฏรบัณฑิต " ราวจะยิ้มเย้ยยุทธจักรอย่างผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านฝนมาว่า
หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน .....
เมื่อฟังเพลงนี้จบ ขณะที่กระบวนการความคิดดำเนินไปยามที่เสียงเพลง " My Way " ดังขึ้นกระหึ่มหัวใจ พร้อมความหมายเนื้อหาเพลงอันว่ากันถึงวิถีชีวิตลูกผู้ชายแทบทุกคน ที่ค้นพบทางเดินของตนเอง เนื้อหาเพลง มาย เวย์ มันเข้ากับทุกยุคทุกสมัยของวัยหนุ่มวัยสาว บุรุษสตรีที่กล้าตั้งคำถามกับตนเองว่า
คนเราเกิดมาทำไมกัน กินอยู่สืบพันธ์ เท่านั้นหรือ ?
เมื่อเพลงดังขึ้น ความหมายเพลงก็ก้องสะท้อนยาวไกลถึงจิตวิญญาณการแสวงหา ความคิดผมก็ย้อนโบยบินสู่บ้านเกิด
บ้านเกิดอันเรียกชื่อจริงได้หลายชื่อว่า เด็กชายชนบท นายไกลปืนเที่ยง หรือชื่อเล่นว่า บ้านนอก ภาพของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ชื่อพล เพื่อนร่วมบอร์ด ที่กลับบ้านไปบริจาครถโดยสารให้โรงเรียนเก่าในบ้านเกิด ในราคาเกือบครึ่งล้าน ก็ผุดแทรกเป็นภาพซ้อนขึ้นมา ราวจะตอกย้ำว่า คนเราทุกคนย่อมมีราก
ไม่ใช่ใบไม้ในสายลม หรือจอกแหน ในสายน้ำ...
...เสียงเพลง My Way จบลงตามด้วยบทกลอนจากปลายปากกาของท่านสุขุม ที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับบทกลอนที่ชื่อว่า
ศรัทธาคารวะ
ลอยเรือเพื่อยิ้ม อิ่มอาหาร
สำราญเพลงกล่อม ล้อมสหาย
ส่งใจถึงเพื่อน มิเลือนคลาย
ถักข่ายทรงจำ ทั่วลำเรือ
ใช่ยิ้มยศรุ่ง หรือสูงศักดิ์
แรงรักผองชน จึงล้นเหลือ
แม้ชีพวายวาง มิจางเจือ
ล้วนเชื่อในจิต อุทิศประชา
ลอยเรือเพื่อเพื่อน เข้าเคลื่อนแถว
ตามแนวมั่นคง ทะนงกล้า
คารวะเจตวัตร ด้วยศรัทธา
ร่วมเลียบเทียบท่า ประชาชน
................
( ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ และท่านสุขุม เจ้าของบทกลอนในคืนวานนี้ครับ )
อาร์ต
อดีตที่สวยงามกระไรปานนั้น เพริศแพร้วกระไรปานนั้น
การหวนทวนย้อนของจิตท่านใด จะคิดไปถึงไกลเพียงไหน ก็ย่อมแล้วแต่ความทรงจำของแต่ละท่าน
แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อเสียงเพลงร้องถึงท่อนที่ว่า
..หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน..
ผมคิดเห็นภาพบุรุษท่านหนึ่งขึ้นมาทันที
ท่านอาจารย์ยิ้ม คงเห็นถึงสัจธรรมบางอย่างที่ซ่อนในเนื้อหาเพลงท่อนนี้ อันบ่งบอกถึงธาตุแท้ทรนง บุรุษผู้ให้คำนิยามตนเองว่า " ราษฏรบัณฑิต " ราวจะยิ้มเย้ยยุทธจักรอย่างผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านฝนมาว่า
หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน .....
เมื่อฟังเพลงนี้จบ ขณะที่กระบวนการความคิดดำเนินไปยามที่เสียงเพลง " My Way " ดังขึ้นกระหึ่มหัวใจ พร้อมความหมายเนื้อหาเพลงอันว่ากันถึงวิถีชีวิตลูกผู้ชายแทบทุกคน ที่ค้นพบทางเดินของตนเอง เนื้อหาเพลง มาย เวย์ มันเข้ากับทุกยุคทุกสมัยของวัยหนุ่มวัยสาว บุรุษสตรีที่กล้าตั้งคำถามกับตนเองว่า
คนเราเกิดมาทำไมกัน กินอยู่สืบพันธ์ เท่านั้นหรือ ?
เมื่อเพลงดังขึ้น ความหมายเพลงก็ก้องสะท้อนยาวไกลถึงจิตวิญญาณการแสวงหา ความคิดผมก็ย้อนโบยบินสู่บ้านเกิด
บ้านเกิดอันเรียกชื่อจริงได้หลายชื่อว่า เด็กชายชนบท นายไกลปืนเที่ยง หรือชื่อเล่นว่า บ้านนอก ภาพของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ชื่อพล เพื่อนร่วมบอร์ด ที่กลับบ้านไปบริจาครถโดยสารให้โรงเรียนเก่าในบ้านเกิด ในราคาเกือบครึ่งล้าน ก็ผุดแทรกเป็นภาพซ้อนขึ้นมา ราวจะตอกย้ำว่า คนเราทุกคนย่อมมีราก
ไม่ใช่ใบไม้ในสายลม หรือจอกแหน ในสายน้ำ...
...เสียงเพลง My Way จบลงตามด้วยบทกลอนจากปลายปากกาของท่านสุขุม ที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับบทกลอนที่ชื่อว่า
ศรัทธาคารวะ
ลอยเรือเพื่อยิ้ม อิ่มอาหาร
สำราญเพลงกล่อม ล้อมสหาย
ส่งใจถึงเพื่อน มิเลือนคลาย
ถักข่ายทรงจำ ทั่วลำเรือ
ใช่ยิ้มยศรุ่ง หรือสูงศักดิ์
แรงรักผองชน จึงล้นเหลือ
แม้ชีพวายวาง มิจางเจือ
ล้วนเชื่อในจิต อุทิศประชา
ลอยเรือเพื่อเพื่อน เข้าเคลื่อนแถว
ตามแนวมั่นคง ทะนงกล้า
คารวะเจตวัตร ด้วยศรัทธา
ร่วมเลียบเทียบท่า ประชาชน
................
( ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ และท่านสุขุม เจ้าของบทกลอนในคืนวานนี้ครับ )
อาร์ต
แสดงความคิดเห็น
#ล่องเรือเพื่อยิ้ม...กิจกรรมรวมน้ำใจของผู้นิยมประชาธิปไตย...ด้วยศรัทธาคารวะ#
เมื่อคราวที่เหล่าเพื่อนมิตรหัวใจประชาธิปไตย...ได้ทราบข่าวอาการเจ็บป่วยของท่านอาจารย์ยิ้ม
...สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ...
เหล่าเพื่อนมิตร...ผู้ร่วมรุ่น ร่วมประสบการณ์ ร่วมอุดมการณ์...ก็ได้มีดำริที่จะจัดกิจกรรม...
เพื่อแสดงออกซึ่งความรักและความปรารถนาดีอย่างจริงใจสู่ท่านอาจารย์ยิ้มและครอบครัว
ข้าพเจ้า...ในฐานะผู้น้อยที่โชคดีมีวาสนา...ได้สัมผัสความเมตตาและไมตรีอันเอื้อเฟื้อ จากท่านอาจารย์ยิ้มอยู่บ่อยครั้ง
จึงไม่อาจละเลยที่จะเข้าร่วมกิจกรรมงานสำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับท่านอาจารย์ในครั้งนี้ได้
ข้าพเจ้า...ปรารถนาได้ร่วมเฮฮาในงานเลี้ยงสังสรรค์พร้อมหน้าเพื่อนฝูงมิตรสหายผู้รักประชาธิปไตยพร้อมกับท่านอาจารย์ยิ้มอีกครั้ง
เฉกเช่นในงานเลี้ยงครบรอบ 60 ปีของท่านอาจารย์ยิ้มเมื่อปีก่อน
แม้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจะไม่เป็นดั่งหวัง...ด้วยท่านอาจารย์ยิ้มได้ด่วนจากพวกเราไปเสียก่อน
แต่อย่างไร...ข้าพเจ้าและผองเพื่อนก็มิได้ประหวั่น พวกเรายังเดินหน้าต่อไป...ยังคงรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
เมื่อถึงวันนัดหมาย...วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2560 เลยเวลาบ่ายคล้อย
ข้าพเจ้าก็มุ่งหน้าเดินทางสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ปลายทางคือท่าเรือเอเชียทีค...
ที่นั่น...มีเรือลำใหญ่ ขนาด 3 ชั้น บรรจุคนได้มากถึง 450 คน จอดรอ
พร้อมให้ข้าพเจ้าและมิตรสหายปัจเจกชนอีกหลายร้อยชีวิตร่วมสังสรรค์ตามประสาคนคอเดียวกัน
เรือพาพวกเราล่องลอยไปตามธารเจ้าพระยา...
แต่บรรยากาศอันสุนทรีรอบข้างสองฝั่งแม่น้ำ...ก็หาได้ดึงดูดความสนใจได้มากไปกว่า
การส่งรอยยิ้มสื่อสาร ที่มองตาก็สื่อความหมายได้ไปถึงหัวใจ
การได้พบปะพูดคุยแบบใกล้ชิด ระหว่างเพื่อนพี่น้องนักกิจกรรมตัวจริงเสียงจริง
แม้ท่านอาจารย์ยิ้มจะจากไป แต่คนที่รักและนับถือท่านอาจารย์ก็ยังได้ถือเอาวาระนี้เป็นประโยชน์
ได้ปรับทุกข์ ได้ส่งกำลังใจ ได้กระชับไมตรีดีต่อกัน
ถือได้ว่าท่านอาจารย์ยิ้มเป็นบุคคลผู้ทรงคุณประโยชน์แก่โลกตั้งแต่เกิดจนวายชนม์
ข้าพเจ้าขอน้อมคารวะด้วยศรัทธา