ผมเป็นคนไม่เชื่อในรักแรกพบ เพราะก่อนผมจะคบใครหรือซื้ออะไรผมจะคิดล่วงหน้าไปอีก5ถึง10ปีว่าเราจะอยู่กับเธอคนนั้นหรือของสิ่งนั้นได้ไหม ถ้าผมมองว่ามันลำบากกับตัวเองในอนาคตแน่ๆผมก็ไม่เอาไปดูตัวเลือกอื่นแทน แต่กับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ผมเห็นครั้งแรกสามารถเรียกได้ว่ารักแรกพบได้เลย และยิ่งได้รู้จัก(ผ่านรีวิว) และได้ลองขี่(รถdemo)จนกระทั่งได้ครอบครอง ผมไม่รู้สึกว่าผมรักรถคันนี้น้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆที่ตอนซื้อไม่ได้มีความพร้อมสักเท่าไรด้วยเนื่องจากมีโควตามอเตอร์ไซค์ได้แค่คันเดียว(ไม่ซื้อของที่ลูกเมียใช้ร่วมกันไม่ได้) แต่สุดท้ายก็เอามาจนได้
เป็นรถที่หาดูตัวจริงได้ยากมากเพราะจำกัดจำนวนการผลิตแค่1000คัน (โควตาเมืองไทย10คัน) แถมรีวิวเมืองนอกภาษาอังกฤษก็หายาก ที่รีวิวละเอียดจริงๆจะเป็นภาษาอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และเยอรมันซะมากกว่า คนไทยที่ซื้อไปมีบางคนไม่ขี่แต่เอาไปแปะผนังไว้แต่งบ้านซะงั้น ที่เหลือก็ฝรั่งมาช้อนไปกันหมด เรียกว่าชนกลุ่มน้อยจริงๆ
น่าจะมีผมคนเดียวที่ซื้อมาไว้ใช้จริงๆจึงคิดว่าน่าจะมีประสบการณ์กับมันพอที่จะเอามาแบ่งปันกันได้ ขอออกตัวก่อนว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้เอาไปเทียบกับรถคันไหนเป็นพิเศษ และผมก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากพอที่จะฟันธงว่าคันไหนดีกว่ากัน
มอเตอร์ไซค์ได้เปรียบรถยนต์ตรงที่การออกแบบนั้นยังไม่มีกฎความปลอดภัยมาวุ่นวาย ในขณะที่รถเก๋งที่ทุกวันนี้มีมาตรฐานต่างๆที่กำหนดไว้ ทำให้การนำรถเก๋งคลาสสิคมาทำตลาดใหม่นั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง อย่างเช่นไฟPop-Upในรถสปอร์ตรุ่นเก่าๆ และกันชนโครเมี่ยม กลายเป็นความคลาสสิคที่คนสมัยนี้ถวิลหากัน แต่ด้วยกฎการออกแบบที่ต้องให้ความปลอดภัยกับคนเดินถนนด้วย สองสิ่งนี้จึงไม่สามารถติดตั้งในรถใหม่ได้
แต่เงื่อนไขนี้ยังไม่ได้ใช้กับการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ ยังไม่มีกฎใดๆออกมาห้าม ไฟกลม ห้ามบังโคลนเหล็ก หรือขอบโครเมี่ยม สิ่งที่บังคับเป็นเพียงเรื่องของระบบเบรก ABS / Traction control และข้อจำกัดแรงม้าของระดับใบขับขี่(ในต่างประเทศ) ดังนั้นตลาดมอเตอร์ไซค์ทรงคลาสสิคจึงยังมีรถใหม่ชื่อเก่าหรือรถใหม่ทั้งชื่อทั้งตัวรถให้เลือกซื้อกันอยู่ ปรับเปลี่ยนกันไปนิดหน่อยตามมาตรฐานมลภาวะ เช่น Euro4ในปัจจุบัน
MotoGuzzi รถอิตาลีแท้ๆยี่ห้อที่วัยรุ่นไทยไม่ค่อยได้ยินชื่อสักเท่าไร แต่วัยรุ่นและวัยดึกที่ยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่นมีคนเล่นอยู่เยอะเหนียวแน่น เอกลักษณ์ปัจจุบันเป็นสูบVแบบวางขวาง คลัตช์แห้งแผ่นเดียว ขับเพลาแบบรถเก๋งและ (มอไซค์ BMW ตระกูล R) ตัวรถมีหลายรูปแบบให้เลือกทั้งแบบ Cruiser รุ่น Audace, Touring รุ่น MG-X21, Adventure รุ่น NTX, Bobbler รุ่น V9 และ Classic รุ่น V7ที่รูปทรงไม่เปลี่ยนมาเป็นระยะเวลา50ปี จนออกรุ่นพิเศษ V7 iii 50th Anniversario
MotoGuzzi เกิดจากกลุ่มวิศวกรที่คลั่งใคล้มอเตอร์ไซค์ และมีสมาชิกท่านหนึ่งเป็นนักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงได้ตรานกเหยี่ยว(หรือนกอินทรีย์)มาเป็น Logo ค่ายที่บ้าแข่งรถเหมือน Ferrari รถที่ขายตอนนั้นมีเทคโนโลยีใหม่คิดอะไรได้ก็ยัดมาเต็มที่ สูบเรียงสูบวีทำมาหมด เป็นเจ้าแรกๆที่มีอุโมงค์ลมและทำรถแข่งใช้แฟริ่งตามหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆหลายชิ้น เช่นสวิงอาร์มหลังแบบทุกวันนี้ หรือจะเป็นCombine brakeก็ทำมาก่อนHondaหลายสิบปี สร้างชื่อเรื่องการแข่งรถไว้เยอะมากแต่นั่นมันก็ผ่านมานานแล้ว บางช่วงโดนค่ายญี่ปุ่นโจมตีจนโงนเงนไปบ้างแต่ก็ยืนหยัดได้ มาปังเอารุ่น V7 ที่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงและบริษัทจนทุกวันนี้
ประวัติคร่าวๆ
รถรุ่นนี้มีที่มาคร่าวๆคือ Fiat อยากได้เครื่องยนต์ใหม่สำหรับ Fiat 500 ซึ่ง Moto Guzziในตอนนั้นยังทำมอไซค์สูบตั้งธรรมดา ได้รับการว่าจ้างออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ Moto Guzzi จึงออกแบบเครื่องสองสูบ V ระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งจะต้องไปวางท้ายรถ Fiat 500 คันนี้ แต่ด้วยการเจรจาไม่เป็นผลเพราะกำลังการผลิตของโรงงาน Moto Guzziไม่พอกับปริมาณที่ Fiatต้องการ โปรเจคนี้จึงล่มไป Moto Guzziจึงเอาไปติดตั้งกับมอเตอร์ไซค์สามล้อ(รถอีแต๋นบ้านเค้า)แล้วขายดีมากๆจากความทนทานและสมรรถนะของมัน ต่อมากรมตำรวจของอเมริกาต้องการรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ว่าต้องมีค่าบำรุงรักษาต่ำที่สุด Moto Guzziจึงติดตั้งเครื่องยนต์ตัวนี้กับเฟรมรถทรงมอเตอร์ไซค์จริงๆ แล้วตั้งชื่อให้ว่า Moto Guzzi V7ซึ่งสามารถชนะการประกวดราคาไปในปี 1967 จากนั้นก็ได้รับออเดอร์จากกรมตำรวจอีกหลายประเทศทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกา และด้วยความนิยมอย่างสูงก็แตกรุ่นย่อยใหม่ๆมาให้กับลูกค้าทั่วไปได้เลือกซื้อกัน
สำหรับ V7 รุ่นก่อนๆจะเน้นความแรงมากขึ้นๆ จนกระทั่ง MotoGuzzi มาคิดได้ว่าน่าจะเอารุ่น V7 ไว้จับตลาดลูกค้ามือใหม่ที่ต้องการรถที่ขี่ง่ายบำรุงรักษาง่าย ประหยัดน้ำมัน จึงลดความแรงลงมาเหลือไม่เกิน50แรงม้าเพื่อให้นักบิดหน้าใหม่ใช้ใบขับขี่ตัวล่างได้ และด้วยแนวคิดที่ว่า Custom bike from factory ลูกค้าสามารถเลือกของแต่งที่ต้องการจากโรงงานได้เลย มีให้เปลี่ยนทุกชิ้น เรียกได้ว่าถูกใจทั้งนักบิดหน้าใหม่และวัยเก๋า(ในต่างประเทศ)เอามากๆ แถมราคาก็สบายๆไม่แพงมาก ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง
ซึ่งในวัยครบ50ขวบ V7 iii ก็จะมีการพัฒนาจากรุ่น V7 ii ในหลายๆจุด ขุมกำลัง สูบ V วางขวาง 90องศา ความจุเท่าเดิม แรงขึ้นกว่าเดิมอีก10% กลายเป็น52แรงม้า(เมืองนอกมีต่ำกว่า 50 แรงม้าให้เลือก) ผ่าน Euro4 ไปอย่างสบายๆ ปรับองศาคอและพักเท้าใหม่ให้การควบคุมและขับขี่ที่ดีกว่าเดิม
ในเมืองนอกมีมาให้เลือก 3 รุ่น คือ Stone, Special, Racer และสุดท้ายSpecial 50th Anniversario ซึ่งตัวแทนจำหน่าย MotoPlexเอามาขายเพียงรุ่นเดียวในตระกูล V7 iii
และล่าสุดเพิ่งเพิ่มรุ่นพิเศษมาอีก3รุ่นคือ Carbon, Rouge, และMilano(เห็นแล้วน่าเก็บให้ครบชะมัด)
ตัวรถนั้นพื้นฐานจะคล้ายกับกับ V7 ii Stone ที่พี่โอมเคยรีวิวไว้
https://ppantip.com/topic/36571041 แต่ที่ผมเอามารีวิวครั้งนี้เป็น V7 iii 50th Anniversary ที่มีการปรับปรุงไปอีกเยอะ
ตัวรถ
ตัวรถเป็นมอเตอร์ไซค์ทรง Classic ดั้งเดิมเมื่อ 50ปีที่แล้ว แต่รุ่น Anniversario นี้ จะเป็นการนำ V7 iii Special มาใส่ชุดแต่งให้ครบทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นบังโคลนหน้าหลังอลูมิเนียมเคาะมือ ถังน้ำมันชุบโครเมี่ยม21ลิตร ตุ๊กตาแฮนด์CNC พร้อมประทับลำดับของรถคันนั้น ฝาถังน้ำมันอลูมิเนียมCNC มือจับด้านหลังโครเมี่ยม โคมไฟท้ายโครเมี่ยม และราวยึดไฟท้ายแยก
ตัวรถเน้นโลหะทั้งคัน ปิดท้ายด้วยคาดถังและเบาะนั่งทำจากหนังแท้ๆเกรดเอนั่งสบายมากๆ (มีผ้าใบคลุมเบาะพับไว้ใต้เบาะเผื่อฝนตก)
ส่วนอื่นที่เหมือนกันคือใช้ล้อซี่ลวดแบบมียางใน ระบบเบรกเหมือนกันกับรุ่น V7 ii Brembo 4potหน้า และ2pot หลัง(ไม่เห็นยี่ห้อ)พร้อม ABSที่ตั้งค่ามาเป็นอย่างดี มีระบบTraction controlให้เลือก2ระดับและสามารถปิดได้ด้วย
เครื่องยนต์
เครื่องเป็นพิมพ์นิยมของตระกูลคือสูบVวางขวาง90องศา OHVตะเกียบสองวาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ไม่มีoil cooler และไม่มีที่ติดตั้งด้วย พัฒนาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ผ่านมาตรฐานมลภาวะ Euro4 โดยใช้ครั้งแรกกับรุ่น V9 850cc และลดความจุลงมาใช้กับ V7iii 744cc มีการจัดการความร้อนดีขึ้นด้วย Oil jet spray ฉีดน้ำมันเครื่องใต้ลูกสูบ และออกแบบทางวิ่งน้ำมันเครื่องให้ทำหน้าที่ระบายความร้อนจากห้องเผาไหม้ลงไปสู่แครงค์ล่าง(มีครีบที่แครงค์ล่าง) ลดความระอุที่เสื้อสูบและฝาสูบได้ดีมาก มีรูให้ลมลอดผ่านฝาวาล์วและบังคับให้ออกโดยไม่โดนขาผู้ขี่ ท่อไอเสียเป็นท่อสองชั้นเพื่อรักษาไอร้อนให้สูงก่อนเข้าแคตฯ และยังทำให้โครเมี่ยมที่ผิวด้านนอกมีความทนทานสูงขึ้นอีกด้วยดับเครื่องเพียงไม่นานก็สามารถใช้มือเปล่าสัมผัสกับคอท่อได้(อันนี้ชอบมากเพราะกลัวมือเด็กไปโดน) การสตาร์ทก็เหมือนรถหัวฉีดยุคใหม่ทีเดียวติดและก็ออกตัวได้เลยไม่ต้องรอวอร์ม แต่ควรจะรักษารอบเครื่องต่ำๆไว้ก่อน(แรงบิดมาตั้งแต่1500รอบ)เพื่อรอให้โลหะชิ้นต่างๆร้อนเข้าที่พร้อมใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
จากการขับขี่จริงก็สมกับความพยายามของวิศวกร เพราะไม่รู้สึกถึงความร้อนมาโดนตัวคนขี่เลยแม้แต่นิดเดียว ผมเอาลูกซ้อนขี่รถเล่นแถวบ้านแล้วเค้าหลับเลยจับมานั่งหน้าขี่กลับยังหลับต่อได้ไม่สะดุ้งตื่น และผมขี่ลุยรถติดระดับวันลอยกระทงผ่านอโศกตอนทุ่มนึง ขี่ได้สบายไม่ร้อนเลย ช่วงรอบเดินเบาสั่นกว่ารถทั่วไปแถมสั่นด้านข้างแปลกๆดี แต่รอบยิ่งสูงยิ่งนิ่งจนShift lightเตือนกล่องตัดถึงรู้ว่า red lineแล้ว ขี่ทางไกลความเร็ว 110-130รอบตั้งแต่ 3500รอบขึ้นไปกำลังสบายไม่เหนื่อย ไม่สะท้าน ตีนปลายลองคร่าวๆ170โต้ลมมากเลยพอก่อนและผมไม่เน้น อัตราเร่งพอไหว้วานได้ไม่จี๊ดมากแต่ก็ไม่อืด แรงบิดพอมือและมาแบบราบสูง 1500รอบก็มีแรงพอแล้ว ขี่ไหลๆในเมืองเกียร์เดียววิ่งได้ยาวๆ และลากรอบหวานๆไปถึงเกือบ6500สบายๆ ทุกครั้งที่เปิดคันเร่งเครื่องจะมีอาการสะท้านนิดๆให้รู้ว่าเรากำลังเร่งและพอยกหรือกรอคันเร่งก็จะเป็นความนิ่งสบาย ยิ่งขี่ยิ่งรู้สึกว่ามันมีการสื่อสารระหว่างคนกับรถตลอดเวลา อาการที่เตรียมใจไว้ว่ามันดิบเราเหนื่อยแน่นอนกลายเป็นความสนุกแทน
อัตราความสิ้นเปลืองอยู่ที่20+กม./ลิตร ไฟจะเตือนเมื่อเหลือน้ำมัน5.5ลิตร ด้วยน้ำมัน15.5ลิตร สามารถขี่รวดเดียวเกิน300กม.สบายๆ
คลัตช์แห้งแผ่นเดียวควบคุมด้วยสายสลิงยังไม่ใช้คลัตช์น้ำมันพร้อมFly wheelแบบรถเก๋ง เกียร์ธรรมดาแบบรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป 6จังหวะนิ่มเท้าและแม่นมากไม่มีหลุด ปรับตั้งคลัตช์ดีๆสามารถหาเกียร์ว่างง่ายไม่ว่าหยุดนิ่งหรือจะกำลังจะจอด วิ่งมาเร็วๆใส่เกียร์ว่างปล่อยไหลได้เลย(ทำบ่อยไม่ดี) แถมไปแบบเงียบๆเพราะไม่มีเสียงโซ่ด้วย ข้างบ้านผมชมกันใหญ่ว่ารถสวยและเงียบดีมาก กลับเข้าบ้านดับเครื่องปล่อยไหลไม่มีใครได้ยินเลยเงียบกว่าจักรยานอีก
ลูกเล่นต่างๆ
ระบบอิเลคโทรนิคให้มาพอสมควร สามารถเลือกแสดงผลระยะทางวิ่งรวม(ODO meter) อัตราสิ้นเปลือง ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางวิ่ง(Trip) ระยะทางวิ่งต่อวัน(จอด8ชม.ถึงจะตั้งใหม่ให้เอง) อุณหภูมิภายนอก ระดับ traction control นาฬิกา ระยะเวลาที่ขี่ และเมื่อไฟเตือนน้ำมันหมดถังโชว์ หน้าจอจะแสดงระยะทางที่เหลือโดยคำนวณจากระดับน้ำมันในถังโดยอัตโนมัติ และสามารถปรับได้ทั้ง km/L, L/100km, mpg ทั้งหน่วยUSและEUอีก
มีตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ที่ได้จากการคำนวณความเร็วกับรอบเครื่องไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ที่ราวเกียร์(กำคลัตช์ไม่โชว์เกียร์) และOptionสุดเจ๋งคือ Bluetooth OBD ที่ชื่อว่า MGMP เป็นอุปกรณ์เสริมสามารถใช้มือถือเราแสดงค่า realtime ได้เลย สามารถใช้App ของ Google mapจดจำตำแหน่งที่จอดรถได้ด้วย(สั่งไปละของมาจะรีวิวให้ดู)
เพิ่มเติม : ระบบ Traction Control และ ABS สามารถ re-calibrateได้ ดังนั้นใครจะเอาไปทำCustom เปลี่ยนล้อโตขนาดไหนก็เต็มที่เลยไม่ต้องตัดระบบ สวิงอาร์มเดิมแคบไม่สามารถเพิ่มขนาดยางหลังได้ แต่สามารถเบิกสวิงอาร์มของ V9 ที่ให้ล้อโตจากโรงงานมาใส่ได้พอดี
[CR] Moto Guzzi V7 III Anniversario คุณเชื่อในรักแรกพบไหม?
เป็นรถที่หาดูตัวจริงได้ยากมากเพราะจำกัดจำนวนการผลิตแค่1000คัน (โควตาเมืองไทย10คัน) แถมรีวิวเมืองนอกภาษาอังกฤษก็หายาก ที่รีวิวละเอียดจริงๆจะเป็นภาษาอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และเยอรมันซะมากกว่า คนไทยที่ซื้อไปมีบางคนไม่ขี่แต่เอาไปแปะผนังไว้แต่งบ้านซะงั้น ที่เหลือก็ฝรั่งมาช้อนไปกันหมด เรียกว่าชนกลุ่มน้อยจริงๆ
น่าจะมีผมคนเดียวที่ซื้อมาไว้ใช้จริงๆจึงคิดว่าน่าจะมีประสบการณ์กับมันพอที่จะเอามาแบ่งปันกันได้ ขอออกตัวก่อนว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้เอาไปเทียบกับรถคันไหนเป็นพิเศษ และผมก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากพอที่จะฟันธงว่าคันไหนดีกว่ากัน
มอเตอร์ไซค์ได้เปรียบรถยนต์ตรงที่การออกแบบนั้นยังไม่มีกฎความปลอดภัยมาวุ่นวาย ในขณะที่รถเก๋งที่ทุกวันนี้มีมาตรฐานต่างๆที่กำหนดไว้ ทำให้การนำรถเก๋งคลาสสิคมาทำตลาดใหม่นั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง อย่างเช่นไฟPop-Upในรถสปอร์ตรุ่นเก่าๆ และกันชนโครเมี่ยม กลายเป็นความคลาสสิคที่คนสมัยนี้ถวิลหากัน แต่ด้วยกฎการออกแบบที่ต้องให้ความปลอดภัยกับคนเดินถนนด้วย สองสิ่งนี้จึงไม่สามารถติดตั้งในรถใหม่ได้
แต่เงื่อนไขนี้ยังไม่ได้ใช้กับการออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ ยังไม่มีกฎใดๆออกมาห้าม ไฟกลม ห้ามบังโคลนเหล็ก หรือขอบโครเมี่ยม สิ่งที่บังคับเป็นเพียงเรื่องของระบบเบรก ABS / Traction control และข้อจำกัดแรงม้าของระดับใบขับขี่(ในต่างประเทศ) ดังนั้นตลาดมอเตอร์ไซค์ทรงคลาสสิคจึงยังมีรถใหม่ชื่อเก่าหรือรถใหม่ทั้งชื่อทั้งตัวรถให้เลือกซื้อกันอยู่ ปรับเปลี่ยนกันไปนิดหน่อยตามมาตรฐานมลภาวะ เช่น Euro4ในปัจจุบัน
MotoGuzzi รถอิตาลีแท้ๆยี่ห้อที่วัยรุ่นไทยไม่ค่อยได้ยินชื่อสักเท่าไร แต่วัยรุ่นและวัยดึกที่ยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่นมีคนเล่นอยู่เยอะเหนียวแน่น เอกลักษณ์ปัจจุบันเป็นสูบVแบบวางขวาง คลัตช์แห้งแผ่นเดียว ขับเพลาแบบรถเก๋งและ (มอไซค์ BMW ตระกูล R) ตัวรถมีหลายรูปแบบให้เลือกทั้งแบบ Cruiser รุ่น Audace, Touring รุ่น MG-X21, Adventure รุ่น NTX, Bobbler รุ่น V9 และ Classic รุ่น V7ที่รูปทรงไม่เปลี่ยนมาเป็นระยะเวลา50ปี จนออกรุ่นพิเศษ V7 iii 50th Anniversario
MotoGuzzi เกิดจากกลุ่มวิศวกรที่คลั่งใคล้มอเตอร์ไซค์ และมีสมาชิกท่านหนึ่งเป็นนักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงได้ตรานกเหยี่ยว(หรือนกอินทรีย์)มาเป็น Logo ค่ายที่บ้าแข่งรถเหมือน Ferrari รถที่ขายตอนนั้นมีเทคโนโลยีใหม่คิดอะไรได้ก็ยัดมาเต็มที่ สูบเรียงสูบวีทำมาหมด เป็นเจ้าแรกๆที่มีอุโมงค์ลมและทำรถแข่งใช้แฟริ่งตามหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆหลายชิ้น เช่นสวิงอาร์มหลังแบบทุกวันนี้ หรือจะเป็นCombine brakeก็ทำมาก่อนHondaหลายสิบปี สร้างชื่อเรื่องการแข่งรถไว้เยอะมากแต่นั่นมันก็ผ่านมานานแล้ว บางช่วงโดนค่ายญี่ปุ่นโจมตีจนโงนเงนไปบ้างแต่ก็ยืนหยัดได้ มาปังเอารุ่น V7 ที่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงและบริษัทจนทุกวันนี้
ประวัติคร่าวๆ
รถรุ่นนี้มีที่มาคร่าวๆคือ Fiat อยากได้เครื่องยนต์ใหม่สำหรับ Fiat 500 ซึ่ง Moto Guzziในตอนนั้นยังทำมอไซค์สูบตั้งธรรมดา ได้รับการว่าจ้างออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ Moto Guzzi จึงออกแบบเครื่องสองสูบ V ระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งจะต้องไปวางท้ายรถ Fiat 500 คันนี้ แต่ด้วยการเจรจาไม่เป็นผลเพราะกำลังการผลิตของโรงงาน Moto Guzziไม่พอกับปริมาณที่ Fiatต้องการ โปรเจคนี้จึงล่มไป Moto Guzziจึงเอาไปติดตั้งกับมอเตอร์ไซค์สามล้อ(รถอีแต๋นบ้านเค้า)แล้วขายดีมากๆจากความทนทานและสมรรถนะของมัน ต่อมากรมตำรวจของอเมริกาต้องการรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ว่าต้องมีค่าบำรุงรักษาต่ำที่สุด Moto Guzziจึงติดตั้งเครื่องยนต์ตัวนี้กับเฟรมรถทรงมอเตอร์ไซค์จริงๆ แล้วตั้งชื่อให้ว่า Moto Guzzi V7ซึ่งสามารถชนะการประกวดราคาไปในปี 1967 จากนั้นก็ได้รับออเดอร์จากกรมตำรวจอีกหลายประเทศทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกา และด้วยความนิยมอย่างสูงก็แตกรุ่นย่อยใหม่ๆมาให้กับลูกค้าทั่วไปได้เลือกซื้อกัน
สำหรับ V7 รุ่นก่อนๆจะเน้นความแรงมากขึ้นๆ จนกระทั่ง MotoGuzzi มาคิดได้ว่าน่าจะเอารุ่น V7 ไว้จับตลาดลูกค้ามือใหม่ที่ต้องการรถที่ขี่ง่ายบำรุงรักษาง่าย ประหยัดน้ำมัน จึงลดความแรงลงมาเหลือไม่เกิน50แรงม้าเพื่อให้นักบิดหน้าใหม่ใช้ใบขับขี่ตัวล่างได้ และด้วยแนวคิดที่ว่า Custom bike from factory ลูกค้าสามารถเลือกของแต่งที่ต้องการจากโรงงานได้เลย มีให้เปลี่ยนทุกชิ้น เรียกได้ว่าถูกใจทั้งนักบิดหน้าใหม่และวัยเก๋า(ในต่างประเทศ)เอามากๆ แถมราคาก็สบายๆไม่แพงมาก ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง
ซึ่งในวัยครบ50ขวบ V7 iii ก็จะมีการพัฒนาจากรุ่น V7 ii ในหลายๆจุด ขุมกำลัง สูบ V วางขวาง 90องศา ความจุเท่าเดิม แรงขึ้นกว่าเดิมอีก10% กลายเป็น52แรงม้า(เมืองนอกมีต่ำกว่า 50 แรงม้าให้เลือก) ผ่าน Euro4 ไปอย่างสบายๆ ปรับองศาคอและพักเท้าใหม่ให้การควบคุมและขับขี่ที่ดีกว่าเดิม
ในเมืองนอกมีมาให้เลือก 3 รุ่น คือ Stone, Special, Racer และสุดท้ายSpecial 50th Anniversario ซึ่งตัวแทนจำหน่าย MotoPlexเอามาขายเพียงรุ่นเดียวในตระกูล V7 iii
และล่าสุดเพิ่งเพิ่มรุ่นพิเศษมาอีก3รุ่นคือ Carbon, Rouge, และMilano(เห็นแล้วน่าเก็บให้ครบชะมัด)
ตัวรถนั้นพื้นฐานจะคล้ายกับกับ V7 ii Stone ที่พี่โอมเคยรีวิวไว้ https://ppantip.com/topic/36571041 แต่ที่ผมเอามารีวิวครั้งนี้เป็น V7 iii 50th Anniversary ที่มีการปรับปรุงไปอีกเยอะ
ตัวรถ
ตัวรถเป็นมอเตอร์ไซค์ทรง Classic ดั้งเดิมเมื่อ 50ปีที่แล้ว แต่รุ่น Anniversario นี้ จะเป็นการนำ V7 iii Special มาใส่ชุดแต่งให้ครบทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นบังโคลนหน้าหลังอลูมิเนียมเคาะมือ ถังน้ำมันชุบโครเมี่ยม21ลิตร ตุ๊กตาแฮนด์CNC พร้อมประทับลำดับของรถคันนั้น ฝาถังน้ำมันอลูมิเนียมCNC มือจับด้านหลังโครเมี่ยม โคมไฟท้ายโครเมี่ยม และราวยึดไฟท้ายแยกตัวรถเน้นโลหะทั้งคัน ปิดท้ายด้วยคาดถังและเบาะนั่งทำจากหนังแท้ๆเกรดเอนั่งสบายมากๆ (มีผ้าใบคลุมเบาะพับไว้ใต้เบาะเผื่อฝนตก)
ส่วนอื่นที่เหมือนกันคือใช้ล้อซี่ลวดแบบมียางใน ระบบเบรกเหมือนกันกับรุ่น V7 ii Brembo 4potหน้า และ2pot หลัง(ไม่เห็นยี่ห้อ)พร้อม ABSที่ตั้งค่ามาเป็นอย่างดี มีระบบTraction controlให้เลือก2ระดับและสามารถปิดได้ด้วย
เครื่องยนต์
เครื่องเป็นพิมพ์นิยมของตระกูลคือสูบVวางขวาง90องศา OHVตะเกียบสองวาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ไม่มีoil cooler และไม่มีที่ติดตั้งด้วย พัฒนาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ผ่านมาตรฐานมลภาวะ Euro4 โดยใช้ครั้งแรกกับรุ่น V9 850cc และลดความจุลงมาใช้กับ V7iii 744cc มีการจัดการความร้อนดีขึ้นด้วย Oil jet spray ฉีดน้ำมันเครื่องใต้ลูกสูบ และออกแบบทางวิ่งน้ำมันเครื่องให้ทำหน้าที่ระบายความร้อนจากห้องเผาไหม้ลงไปสู่แครงค์ล่าง(มีครีบที่แครงค์ล่าง) ลดความระอุที่เสื้อสูบและฝาสูบได้ดีมาก มีรูให้ลมลอดผ่านฝาวาล์วและบังคับให้ออกโดยไม่โดนขาผู้ขี่ ท่อไอเสียเป็นท่อสองชั้นเพื่อรักษาไอร้อนให้สูงก่อนเข้าแคตฯ และยังทำให้โครเมี่ยมที่ผิวด้านนอกมีความทนทานสูงขึ้นอีกด้วยดับเครื่องเพียงไม่นานก็สามารถใช้มือเปล่าสัมผัสกับคอท่อได้(อันนี้ชอบมากเพราะกลัวมือเด็กไปโดน) การสตาร์ทก็เหมือนรถหัวฉีดยุคใหม่ทีเดียวติดและก็ออกตัวได้เลยไม่ต้องรอวอร์ม แต่ควรจะรักษารอบเครื่องต่ำๆไว้ก่อน(แรงบิดมาตั้งแต่1500รอบ)เพื่อรอให้โลหะชิ้นต่างๆร้อนเข้าที่พร้อมใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
จากการขับขี่จริงก็สมกับความพยายามของวิศวกร เพราะไม่รู้สึกถึงความร้อนมาโดนตัวคนขี่เลยแม้แต่นิดเดียว ผมเอาลูกซ้อนขี่รถเล่นแถวบ้านแล้วเค้าหลับเลยจับมานั่งหน้าขี่กลับยังหลับต่อได้ไม่สะดุ้งตื่น และผมขี่ลุยรถติดระดับวันลอยกระทงผ่านอโศกตอนทุ่มนึง ขี่ได้สบายไม่ร้อนเลย ช่วงรอบเดินเบาสั่นกว่ารถทั่วไปแถมสั่นด้านข้างแปลกๆดี แต่รอบยิ่งสูงยิ่งนิ่งจนShift lightเตือนกล่องตัดถึงรู้ว่า red lineแล้ว ขี่ทางไกลความเร็ว 110-130รอบตั้งแต่ 3500รอบขึ้นไปกำลังสบายไม่เหนื่อย ไม่สะท้าน ตีนปลายลองคร่าวๆ170โต้ลมมากเลยพอก่อนและผมไม่เน้น อัตราเร่งพอไหว้วานได้ไม่จี๊ดมากแต่ก็ไม่อืด แรงบิดพอมือและมาแบบราบสูง 1500รอบก็มีแรงพอแล้ว ขี่ไหลๆในเมืองเกียร์เดียววิ่งได้ยาวๆ และลากรอบหวานๆไปถึงเกือบ6500สบายๆ ทุกครั้งที่เปิดคันเร่งเครื่องจะมีอาการสะท้านนิดๆให้รู้ว่าเรากำลังเร่งและพอยกหรือกรอคันเร่งก็จะเป็นความนิ่งสบาย ยิ่งขี่ยิ่งรู้สึกว่ามันมีการสื่อสารระหว่างคนกับรถตลอดเวลา อาการที่เตรียมใจไว้ว่ามันดิบเราเหนื่อยแน่นอนกลายเป็นความสนุกแทน
อัตราความสิ้นเปลืองอยู่ที่20+กม./ลิตร ไฟจะเตือนเมื่อเหลือน้ำมัน5.5ลิตร ด้วยน้ำมัน15.5ลิตร สามารถขี่รวดเดียวเกิน300กม.สบายๆ
คลัตช์แห้งแผ่นเดียวควบคุมด้วยสายสลิงยังไม่ใช้คลัตช์น้ำมันพร้อมFly wheelแบบรถเก๋ง เกียร์ธรรมดาแบบรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป 6จังหวะนิ่มเท้าและแม่นมากไม่มีหลุด ปรับตั้งคลัตช์ดีๆสามารถหาเกียร์ว่างง่ายไม่ว่าหยุดนิ่งหรือจะกำลังจะจอด วิ่งมาเร็วๆใส่เกียร์ว่างปล่อยไหลได้เลย(ทำบ่อยไม่ดี) แถมไปแบบเงียบๆเพราะไม่มีเสียงโซ่ด้วย ข้างบ้านผมชมกันใหญ่ว่ารถสวยและเงียบดีมาก กลับเข้าบ้านดับเครื่องปล่อยไหลไม่มีใครได้ยินเลยเงียบกว่าจักรยานอีก
ลูกเล่นต่างๆ
ระบบอิเลคโทรนิคให้มาพอสมควร สามารถเลือกแสดงผลระยะทางวิ่งรวม(ODO meter) อัตราสิ้นเปลือง ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางวิ่ง(Trip) ระยะทางวิ่งต่อวัน(จอด8ชม.ถึงจะตั้งใหม่ให้เอง) อุณหภูมิภายนอก ระดับ traction control นาฬิกา ระยะเวลาที่ขี่ และเมื่อไฟเตือนน้ำมันหมดถังโชว์ หน้าจอจะแสดงระยะทางที่เหลือโดยคำนวณจากระดับน้ำมันในถังโดยอัตโนมัติ และสามารถปรับได้ทั้ง km/L, L/100km, mpg ทั้งหน่วยUSและEUอีก
มีตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ที่ได้จากการคำนวณความเร็วกับรอบเครื่องไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ที่ราวเกียร์(กำคลัตช์ไม่โชว์เกียร์) และOptionสุดเจ๋งคือ Bluetooth OBD ที่ชื่อว่า MGMP เป็นอุปกรณ์เสริมสามารถใช้มือถือเราแสดงค่า realtime ได้เลย สามารถใช้App ของ Google mapจดจำตำแหน่งที่จอดรถได้ด้วย(สั่งไปละของมาจะรีวิวให้ดู)
เพิ่มเติม : ระบบ Traction Control และ ABS สามารถ re-calibrateได้ ดังนั้นใครจะเอาไปทำCustom เปลี่ยนล้อโตขนาดไหนก็เต็มที่เลยไม่ต้องตัดระบบ สวิงอาร์มเดิมแคบไม่สามารถเพิ่มขนาดยางหลังได้ แต่สามารถเบิกสวิงอาร์มของ V9 ที่ให้ล้อโตจากโรงงานมาใส่ได้พอดี