ก็ไม่ค่อยได้ทำรีวิวทริปสักเท่าไรเพราะเป็นคนไม่ได้เก็บรายละเอียดเยอะขนาดนั้น ปรกติจะเป็นแต่คนรับรีวิวรองเท้าและรีวิวสินค้าทั่วๆไปนะครับ ซึ่งสามารถเข้าไปติดตามได้เลยที่
https://www.instagram.com/bobvac/ และเพจเฟซบุ๊คของผมได้ที่
https://www.facebook.com/bobvarakrit ก็สำหรับการรีวิวนี้ คงไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราคาสักเท่าไร แต่คงมาแชร์รูปและประสบการณ์ที่ได้ไปเจอมาจากการไปเที่ยวกับครอบครัวเล็กๆของผมซึ่งในทริปนี้ก็จะประกอบไปด้วย ผม ลูกชายผม (ห้าขวบ) พี่ชายและพี่สะใภ้และลูกสองคน (หกกับสองขวบ) คุณแม่ผม น้องสาวและก็แฟน ก็รวมๆ 9 คน
ซึ่งทริปนี้ก็เกิดขึ้นเพราะพี่ชายอยากพาแม่ไปเที่ยวกับครอบครัวกันบ้างเพราะไม่อยากให้แม่เหงา และอยากทำอะไรเป็นครอบครัวกันบ้าง ซึ่งทุกคนก็ไปติดอะไร แต่พอเป็นทริปที่มีเด็กหลายคนและยังมีเด็กเล็กอยู่ ก็เลยค่อนข้างจำกัดในเรื่องของประเทศและเมืองที่เราจะไปกันได้ ก็เลยมาลงที่ญี่ปุ่น ประเทศที่ถึงแท้ว่าครอบครัวผมจะไปกันมาหลายครั้งแล้วก็ยังชอบที่จะกลับไป ก็เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศเย็นๆ ความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง และ สถานที่ที่จะพาเด็กๆไปเที่ยวได้ และที่ไปในช่วงนี้ (ปลายเดือนตุลาคม) ก็เพราะว่าอยากไปดูช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง และยังไม่เคยไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ ซึ่งเมืองที่จะสามารถไปดูได้ก็จะเป็น Nikko ที่เป็นเมืองเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่มีสิ่งก่อร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ค่อนข้างเยอะ และ Tokyo เพราะอยากพาเด็กๆไป Disneyland ส่วน Gunma เพราะรู้สึกว่าอยากไปเมืองแปลกๆที่พอจะมีที่เที่ยวอยู่บ้างและอยู่ไม่ไกลจาก Nikko และ Tokyo ก็เลยมาจบที่ Gunma เพราะอยากได้ที่แบบเป็นธรรมชาติบ้าง พอคุยกันเสร็จทางน้องสาวก็จัดการเรื่องที่พักและอื่นๆให้ ผมก็มีหน้าที่แค่รอวันเดินทางอย่างเดียว อิอิ
สำหรับทริปนี้ทางแม่ น้องสาวและแฟนเค้า ก็ได้เดินทางกันไปก่อนสักสามวันเพื่อไปเมืองอื่นๆก่อน ซึ่งก็ดีตรงที่ว่าเค้าก็ได้บอกว่าสภาพอากาศมันเป็นอย่างไรและก็ทำให้ผมสามารถเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ไปได้ถูก ซึ่งช่วงที่ผมไปดันมีมรสุมเข้าประเทศญี่ปุ่น ทำให้ช่วงสามวันแรกเต็มไปด้วยความเปียกและฝน (แงๆ) แต่ก็ทำให้เราได้บรรยากาศที่แปลกดีเหมือนกัน ก่อนที่จะเข้าไปรีวิวทริปวันแรกผมก็จะขอสรุปตารางเที่ยวให้ทุกคนดูก่อนละกันนะครับ
วันที่หนึ่ง บินกลางคืนและไปถึงโตเกียว ฮาเนดะ ในตอนเช้า ขับรถไปเจอน้องสาวและแม่ที่ Nikko
วันที่สอง อยู่ Nikko
วันที่สาม อยู่ Nikko ช่วงเช้าและขับรถไป Gunma ช่วงบ่าย
วันที่สี่ อยู่ Gunma
วันที่ห้า ขับรถมาโตเกียวและไป Disneyland
วันที่หก ฟรี ไปไหนก็ได้
วันที่เจ็ด ฟรี ไปไหนก็ได้ บินกลับไฟลท์กลางคืน
ซึ่งผมก็เดินทางด้วยสารการบินไทยนะครับ เพราะไม่ได้เน้นเรื่องราคามาก เน้นเรื่องความปลอดภัยและความสบายใจมากกว่า (คือตัวเองเป็นคนที่กลัวความสูงและนอยเรื่องการขึ้นเครื่องบินมาก ปรกติก็จะบินแต่สายการบินปรกติ จะไม่บิน Low Cost) โอเค ก็หลักๆก็ประมาณนี้นะครับ ซึ่งนี่คือแพลนที่พวกเราได้คุยกันไว้ก่อนที่จะไป ซึ่งพอถึงเวลาจริงๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างเยอะ เพราะฝนตกตลอดเลย และก็รู้สึกโชคดีที่น้องสาวไปก่อน ก็เลยได้รู้และจัดเสื้อผ้าใหม่ให้เหมาะกับสภาพอากาศมากขึ้น (แตสุดท้ายแล้วก็จัดเสื้อผ้าผิดอยู่ดี T_T) ส่วนใครจะมีคำถามอะไรเกี่ยวกับทริปก็ถามมาได้เลยนะครับในนี้ หรือ ในเฟซหรือไอจีก็ได้นะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเที่ยวกันเลยดีกว่าครับ
ทริปนี้เนื่องจากไปกับลูกชายก็เลยจัดเอากระเป๋าใบใหญ่และใบเล็กอย่างละหนึ่งพอ รองเท้าผมเอาไปแค่สองคู่และเป้ใบใหญ่ไปหนึ่งใบ เนื่องจากเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปก็เลยพกกล้องไปดังนี้
Fuji X100F
Fuji X-Pro 2
Lens 14MM
Lens 56MM
Leica M2
Leica 35MM 2.8
Leica 50MM 1.4
Fuji Instax 90
ฮาาา เหมือนไปถ่ายงานเนาะ กระเป๋าเป้ที่ผมเอาไปก็เป็นกระเป๋า Incase Camera Sling Bag ซึ่งใส่ได้หมดแต่จบทริปก็เล่นเอาปวดหลังเหมือนกัน อะ ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปเดินทางกันได้เลยดีกว่าครับ
ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่อง ไม่ชอบเลยเพราะมีเด็กๆเล็กๆไปด้วยทำให้ลำบากขึ้นอีกนิดนึง
อยู่บนเครื่องละ เที่ยวคืนกว่าแล้วยังไม่ยอมนอน ห้าขวบแล้วยังไม่ยอมเลิกดูดนิ้วอีก
ก็ก่อนลงเครื่องเค้าก็มาปลุกให้กรอกฟอร์ม คืนนั้นตัวผมเองก็ไม่ค่อยได้นอนเพราะลูกชายตัวดีมาจิ้มตลอดแล้วถามว่า ป๊า ปุ่มนี้กดยังไง จะดูหนังยังไง จะกดออกยังไง สรุปได้นอนไปประมาณสามชั่วโมงเองมั้งครับ
น้องคนสุดท้องนอนสบายมาก ดีที่ไม่ค่อยงอแง ไม่รบกวนคนอื่นเท่าไร
ก็มาญี่ปุ่นจะสิบครั้งละ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ต้องมาลงที่ Haneda
นี่ก็เป็นกระเป๋าใบเล็กที่บอกว่าเอามานะครับ และก็สภาพสนามบินก็อย่างที่บอกไปว่าอากาศแบบขมุกขมัวมาก ฝนตกปรอยๆตลอด ซึ่งฝนตกแบบนี้ก็จะรู้กันว่าไม่หยุดง่ายๆแน่นอน เอาจริงๆตอนนั้นก็แอบเซ็งนิดนึงนะ เพราะอุตส่าห์ขนกล้องมาตั้งเยอะ แต่ก็หวังว่าช่วงบ่ายจะแดดออก
หลังจากที่ได้กระเป๋ามาเรียบร้อยละ ซึ่งครั้งนี้ก็ถือว่ารอนานกว่าปรกติสำหรับมาตรฐานของที่ญี่ปุ่น ก็เดินทางไปยังจุดที่ต้องขึ้นรถตู้เพื่อไปจัดการเช่ารถ ซึ่งก็รอนานอยู่ (ประมาณครึ่งชั่วโมง) ซึ่งเค้าน่าจะเรียกตามคิว ตอนที่อยู่บนรถเด็กๆก็ถือโอกาสนอนกันอีกรอบ
ก็รูปที่อยู่ที่ที่เช่ารถซึ่งเสียเวลาไปกับตรงนี้ประมาณชั่วโมงนึงซึ่งถือว่านานมาก เอาจริงๆก็เป็นความผิดของเราเองเพราะว่าเรามี 6 คน แต่เราไปเช่ารถ SUV ที่นั่งได้แค่ 5 คน ซึ่งที่ญี่ปุ่นเค้าเคร่งเรื่องกฎหมายมาก ต่อให้เป็นเด็กเล็กๆเค้าก็นับว่าเป็น 1 คน ทางเค้าก็เลยต้องเสียเวลาหารถคันใหม่ที่นั่งได้ขั้นต่ำ 6 คนและยังใหญ่พอที่จะใส่กระเป๋าใหญ่ประมาณ 4 ใบพร้อมกับรถเข็นเด็กได้อีก ซึ่งก็โชคดีที่เค้ายังพอมีอยู่ ตอนแรกจะให้ Lexus มา แต่ขอบอกว่ากระบะหลังเล็กมาก ใส่ได้แค่กระเป๋าใหญ่ใบเดียวเองมั้ง
ระหว่างที่รอ ก็ออกมาเดินเล่นแถวนั้น มาดูอากาศซึ่งก็ยังฝนตกตลอดเวลา อากาศในตอนนั้นอยู่ที่ 15 องศา
หลังจากที่ได้รถมาละ ก็ได้เวลาขับรถไป Nikko ซึ่งแม่และน้องสาวกำลังจะมาหา อยากจะบอกว่าพวก Navigator ในรถที่ญี่ปุ่นมันล้ำมากกกกกกก เพียงแค่ใส่เบอร์มือถือก็ขึ้นมาละว่าเราจะไปที่ไหน นอกจากนั้นระบบยังลิงค์กับพวกจานดาวเทียมแบบ real time ทำให้เค้าบอกได้ว่าเส้นทางไหนรถติดหรือรถไม่ติด และยังจะบอกด้วยว่าทางไหนจะใช้เงินค่าทางด่วนเท่าไร คือมันละเอียดมากจริงๆ ที่จอดรถนี้ก็เป็นที่จอดรถตรงปั๊มที่เป็นที่แวะกินข้าว ซึ่งทำได้ดีมากจริงๆ คือขนาดแค่เป็นที่แวะแบบเล็กๆแต่ก็ออกแบบมาและสร้างมาให้ดูน่าเดิน มีทั้ง Supermarket เล็กๆ ร้าานขายของ และ อาหารหลายๆแบบ
อุด้งอร่อยๆที่ซื้อให้ลูกกิน
อยากจะบอกว่าขนาดป้ายโง่ๆในห้องน้ำเค้ายังออกแบบมาให้ดูดี ดูน่ารักน่าอ่าน ถ้าเป็นที่ปั๊มเมืองไทยนะ ไม่อยากจะพูดจริงๆ
พี่ชายก็เป็นคนทำหน้าที่ขับรถในทริปนี้นะครับ เพราะผมไปทำใบขับขี่ไม่ทัน ต้องจองล่วงหน้าตั้ง 1 เดือนแน่ะ นี่ก็เป็นรูประหว่างทางที่ได้แวะห้องน้ำอีกรอบหนึ่ง ฝนก็ยังคงตกปรอยๆมาตลอด
สักช่วงบ่ายต้นๆก็ได้เดินทางมาถึงโรงแรมใน Nikko แต่โรงแรมนี้ให้เช็คอินช้ามาก (ประมาณบ่ายสาม) ทางเราก็เลยขอเช็คอินก่อนและฝากให้เค้าเอากระเป๋าเข้าห้องตอนที่เข้าไปได้ หลังจากนั้นก็มาคุยว่าจะเอายังไงเพราะแพลนเราก็กะจะทำอะไรหลายๆอย่าง แต่พอฝนตกและมีเด็กบวกกับเข้าห้องไม่ได้ก็เลยยังไม่รู้ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วก็ตกลงว่าจะขับไปที่ทะเลสาบ Chuzenji ที่อยู่แถวๆนั้นแล้วรอลุ้นดูว่าฝนจะหยุดตกมั้ย
เส้นทางไปโหดมาก ฝนก็ตก เขาก็ต้องขึ้น
ก็ข้อดีของการเป็นคนนั่งข้างๆคนขับ นอกเหนือจากความสบายแล้ว ก็ยังสามารถเก็บภาพบรรยากาศมาได้เรื่อยๆด้วย ถึงแม้ว่าฟ้าฝนจะไม่เป็นใจก็ตาม ระหว่างทางที่ขับมาเด็กๆก็ดันหลับอีก พอถึงสถานที่พ่อๆก็เลยขอลงจากรถไปถ่ายรูปเล่น โดยให้พี่สะใภ้นั่งดูเด็กๆหลับอยู่ในรถ
โชคดีมากที่เอา Timberland มาใส่ ฝนจะตกยังไงก็ไม่กลัว ไม่เปียก น้ำไม่ซึม ซื้อได้ที่
https://www.facebook.com/vacbkkth/ อิอิ
รูปต่อจากนี้ก็จะเป็นรูปบรรยากาศรอบๆของ Lake Chuzenji นะครับ เพื่อนๆลองกูเกิ้ลหากันได้ว่าปรกติหน้าตาจะเป็นยังไง ของผมที่ไปนี่เห็นแต่หมอกกับภูเขาไกลๆ ไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ได้บรรยากาศภาพมาอีกแบบ
อยู่ที่นั่นเกือบๆชั่วโมงโดยการที่ยอมตากฝน เดินถ่ายรูปตามมุมต่างๆก็ยังพอทำให้เราได้รูปมาบ้าง เรียกได้ว่าฝืนเลยดีกว่า แต่ก็โชคยังดีที่อุปกรณ์กล้องไม่เป็นอะไรมาก กระเป๋าเป้เปียกนิดหน่อยเพราะไม่ได้เป็นแบบกันน้ำ ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถก็แวะซื้อไอติมซอฟท์ครีมแล้วดันอร่อยด้วย
พอมาที่โรงแรม ทางโรงแรมก็ได้เตรียมผ้าอุ่นกับขนมเอาไว้สำหรับรับแขก โชคดีที่ลูกชายไม่ชอบ ผมก็เลยซัดเรียบซะเลย อิอิ ขนมตามเรียวกังญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นถั่วแดง ขนมถั่วแดงนี่รู้สึกว่าจะถือว่าเป็นของนิยมและของพรีเมียมในการซื้อของฝากให้ผู้ใหญ่ (มั้งนะ) ทางโรงแรมก็ถามว่าจะกินกี่โมง เพราะเค้าต้องเตรียม ที่บ้านก็เลยบอกไปว่า 1 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลากินข้าวปรกติของที่บ้านผม
รีวิวทริป Nikko Gunma Tokyo 7 วัน 6 คืน แบบชิลๆ (วันที่หนึ่ง)
ซึ่งทริปนี้ก็เกิดขึ้นเพราะพี่ชายอยากพาแม่ไปเที่ยวกับครอบครัวกันบ้างเพราะไม่อยากให้แม่เหงา และอยากทำอะไรเป็นครอบครัวกันบ้าง ซึ่งทุกคนก็ไปติดอะไร แต่พอเป็นทริปที่มีเด็กหลายคนและยังมีเด็กเล็กอยู่ ก็เลยค่อนข้างจำกัดในเรื่องของประเทศและเมืองที่เราจะไปกันได้ ก็เลยมาลงที่ญี่ปุ่น ประเทศที่ถึงแท้ว่าครอบครัวผมจะไปกันมาหลายครั้งแล้วก็ยังชอบที่จะกลับไป ก็เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอากาศเย็นๆ ความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง และ สถานที่ที่จะพาเด็กๆไปเที่ยวได้ และที่ไปในช่วงนี้ (ปลายเดือนตุลาคม) ก็เพราะว่าอยากไปดูช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง และยังไม่เคยไปญี่ปุ่นในช่วงนี้ ซึ่งเมืองที่จะสามารถไปดูได้ก็จะเป็น Nikko ที่เป็นเมืองเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่มีสิ่งก่อร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ค่อนข้างเยอะ และ Tokyo เพราะอยากพาเด็กๆไป Disneyland ส่วน Gunma เพราะรู้สึกว่าอยากไปเมืองแปลกๆที่พอจะมีที่เที่ยวอยู่บ้างและอยู่ไม่ไกลจาก Nikko และ Tokyo ก็เลยมาจบที่ Gunma เพราะอยากได้ที่แบบเป็นธรรมชาติบ้าง พอคุยกันเสร็จทางน้องสาวก็จัดการเรื่องที่พักและอื่นๆให้ ผมก็มีหน้าที่แค่รอวันเดินทางอย่างเดียว อิอิ
สำหรับทริปนี้ทางแม่ น้องสาวและแฟนเค้า ก็ได้เดินทางกันไปก่อนสักสามวันเพื่อไปเมืองอื่นๆก่อน ซึ่งก็ดีตรงที่ว่าเค้าก็ได้บอกว่าสภาพอากาศมันเป็นอย่างไรและก็ทำให้ผมสามารถเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ไปได้ถูก ซึ่งช่วงที่ผมไปดันมีมรสุมเข้าประเทศญี่ปุ่น ทำให้ช่วงสามวันแรกเต็มไปด้วยความเปียกและฝน (แงๆ) แต่ก็ทำให้เราได้บรรยากาศที่แปลกดีเหมือนกัน ก่อนที่จะเข้าไปรีวิวทริปวันแรกผมก็จะขอสรุปตารางเที่ยวให้ทุกคนดูก่อนละกันนะครับ
วันที่หนึ่ง บินกลางคืนและไปถึงโตเกียว ฮาเนดะ ในตอนเช้า ขับรถไปเจอน้องสาวและแม่ที่ Nikko
วันที่สอง อยู่ Nikko
วันที่สาม อยู่ Nikko ช่วงเช้าและขับรถไป Gunma ช่วงบ่าย
วันที่สี่ อยู่ Gunma
วันที่ห้า ขับรถมาโตเกียวและไป Disneyland
วันที่หก ฟรี ไปไหนก็ได้
วันที่เจ็ด ฟรี ไปไหนก็ได้ บินกลับไฟลท์กลางคืน
ซึ่งผมก็เดินทางด้วยสารการบินไทยนะครับ เพราะไม่ได้เน้นเรื่องราคามาก เน้นเรื่องความปลอดภัยและความสบายใจมากกว่า (คือตัวเองเป็นคนที่กลัวความสูงและนอยเรื่องการขึ้นเครื่องบินมาก ปรกติก็จะบินแต่สายการบินปรกติ จะไม่บิน Low Cost) โอเค ก็หลักๆก็ประมาณนี้นะครับ ซึ่งนี่คือแพลนที่พวกเราได้คุยกันไว้ก่อนที่จะไป ซึ่งพอถึงเวลาจริงๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างเยอะ เพราะฝนตกตลอดเลย และก็รู้สึกโชคดีที่น้องสาวไปก่อน ก็เลยได้รู้และจัดเสื้อผ้าใหม่ให้เหมาะกับสภาพอากาศมากขึ้น (แตสุดท้ายแล้วก็จัดเสื้อผ้าผิดอยู่ดี T_T) ส่วนใครจะมีคำถามอะไรเกี่ยวกับทริปก็ถามมาได้เลยนะครับในนี้ หรือ ในเฟซหรือไอจีก็ได้นะครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเที่ยวกันเลยดีกว่าครับ
ทริปนี้เนื่องจากไปกับลูกชายก็เลยจัดเอากระเป๋าใบใหญ่และใบเล็กอย่างละหนึ่งพอ รองเท้าผมเอาไปแค่สองคู่และเป้ใบใหญ่ไปหนึ่งใบ เนื่องจากเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปก็เลยพกกล้องไปดังนี้
Fuji X100F
Fuji X-Pro 2
Lens 14MM
Lens 56MM
Leica M2
Leica 35MM 2.8
Leica 50MM 1.4
Fuji Instax 90
ฮาาา เหมือนไปถ่ายงานเนาะ กระเป๋าเป้ที่ผมเอาไปก็เป็นกระเป๋า Incase Camera Sling Bag ซึ่งใส่ได้หมดแต่จบทริปก็เล่นเอาปวดหลังเหมือนกัน อะ ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปเดินทางกันได้เลยดีกว่าครับ
ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่อง ไม่ชอบเลยเพราะมีเด็กๆเล็กๆไปด้วยทำให้ลำบากขึ้นอีกนิดนึง
อยู่บนเครื่องละ เที่ยวคืนกว่าแล้วยังไม่ยอมนอน ห้าขวบแล้วยังไม่ยอมเลิกดูดนิ้วอีก
ก็ก่อนลงเครื่องเค้าก็มาปลุกให้กรอกฟอร์ม คืนนั้นตัวผมเองก็ไม่ค่อยได้นอนเพราะลูกชายตัวดีมาจิ้มตลอดแล้วถามว่า ป๊า ปุ่มนี้กดยังไง จะดูหนังยังไง จะกดออกยังไง สรุปได้นอนไปประมาณสามชั่วโมงเองมั้งครับ
น้องคนสุดท้องนอนสบายมาก ดีที่ไม่ค่อยงอแง ไม่รบกวนคนอื่นเท่าไร
ก็มาญี่ปุ่นจะสิบครั้งละ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ต้องมาลงที่ Haneda
นี่ก็เป็นกระเป๋าใบเล็กที่บอกว่าเอามานะครับ และก็สภาพสนามบินก็อย่างที่บอกไปว่าอากาศแบบขมุกขมัวมาก ฝนตกปรอยๆตลอด ซึ่งฝนตกแบบนี้ก็จะรู้กันว่าไม่หยุดง่ายๆแน่นอน เอาจริงๆตอนนั้นก็แอบเซ็งนิดนึงนะ เพราะอุตส่าห์ขนกล้องมาตั้งเยอะ แต่ก็หวังว่าช่วงบ่ายจะแดดออก
หลังจากที่ได้กระเป๋ามาเรียบร้อยละ ซึ่งครั้งนี้ก็ถือว่ารอนานกว่าปรกติสำหรับมาตรฐานของที่ญี่ปุ่น ก็เดินทางไปยังจุดที่ต้องขึ้นรถตู้เพื่อไปจัดการเช่ารถ ซึ่งก็รอนานอยู่ (ประมาณครึ่งชั่วโมง) ซึ่งเค้าน่าจะเรียกตามคิว ตอนที่อยู่บนรถเด็กๆก็ถือโอกาสนอนกันอีกรอบ
ก็รูปที่อยู่ที่ที่เช่ารถซึ่งเสียเวลาไปกับตรงนี้ประมาณชั่วโมงนึงซึ่งถือว่านานมาก เอาจริงๆก็เป็นความผิดของเราเองเพราะว่าเรามี 6 คน แต่เราไปเช่ารถ SUV ที่นั่งได้แค่ 5 คน ซึ่งที่ญี่ปุ่นเค้าเคร่งเรื่องกฎหมายมาก ต่อให้เป็นเด็กเล็กๆเค้าก็นับว่าเป็น 1 คน ทางเค้าก็เลยต้องเสียเวลาหารถคันใหม่ที่นั่งได้ขั้นต่ำ 6 คนและยังใหญ่พอที่จะใส่กระเป๋าใหญ่ประมาณ 4 ใบพร้อมกับรถเข็นเด็กได้อีก ซึ่งก็โชคดีที่เค้ายังพอมีอยู่ ตอนแรกจะให้ Lexus มา แต่ขอบอกว่ากระบะหลังเล็กมาก ใส่ได้แค่กระเป๋าใหญ่ใบเดียวเองมั้ง
ระหว่างที่รอ ก็ออกมาเดินเล่นแถวนั้น มาดูอากาศซึ่งก็ยังฝนตกตลอดเวลา อากาศในตอนนั้นอยู่ที่ 15 องศา
หลังจากที่ได้รถมาละ ก็ได้เวลาขับรถไป Nikko ซึ่งแม่และน้องสาวกำลังจะมาหา อยากจะบอกว่าพวก Navigator ในรถที่ญี่ปุ่นมันล้ำมากกกกกกก เพียงแค่ใส่เบอร์มือถือก็ขึ้นมาละว่าเราจะไปที่ไหน นอกจากนั้นระบบยังลิงค์กับพวกจานดาวเทียมแบบ real time ทำให้เค้าบอกได้ว่าเส้นทางไหนรถติดหรือรถไม่ติด และยังจะบอกด้วยว่าทางไหนจะใช้เงินค่าทางด่วนเท่าไร คือมันละเอียดมากจริงๆ ที่จอดรถนี้ก็เป็นที่จอดรถตรงปั๊มที่เป็นที่แวะกินข้าว ซึ่งทำได้ดีมากจริงๆ คือขนาดแค่เป็นที่แวะแบบเล็กๆแต่ก็ออกแบบมาและสร้างมาให้ดูน่าเดิน มีทั้ง Supermarket เล็กๆ ร้าานขายของ และ อาหารหลายๆแบบ
อุด้งอร่อยๆที่ซื้อให้ลูกกิน
อยากจะบอกว่าขนาดป้ายโง่ๆในห้องน้ำเค้ายังออกแบบมาให้ดูดี ดูน่ารักน่าอ่าน ถ้าเป็นที่ปั๊มเมืองไทยนะ ไม่อยากจะพูดจริงๆ
พี่ชายก็เป็นคนทำหน้าที่ขับรถในทริปนี้นะครับ เพราะผมไปทำใบขับขี่ไม่ทัน ต้องจองล่วงหน้าตั้ง 1 เดือนแน่ะ นี่ก็เป็นรูประหว่างทางที่ได้แวะห้องน้ำอีกรอบหนึ่ง ฝนก็ยังคงตกปรอยๆมาตลอด
สักช่วงบ่ายต้นๆก็ได้เดินทางมาถึงโรงแรมใน Nikko แต่โรงแรมนี้ให้เช็คอินช้ามาก (ประมาณบ่ายสาม) ทางเราก็เลยขอเช็คอินก่อนและฝากให้เค้าเอากระเป๋าเข้าห้องตอนที่เข้าไปได้ หลังจากนั้นก็มาคุยว่าจะเอายังไงเพราะแพลนเราก็กะจะทำอะไรหลายๆอย่าง แต่พอฝนตกและมีเด็กบวกกับเข้าห้องไม่ได้ก็เลยยังไม่รู้ว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วก็ตกลงว่าจะขับไปที่ทะเลสาบ Chuzenji ที่อยู่แถวๆนั้นแล้วรอลุ้นดูว่าฝนจะหยุดตกมั้ย
เส้นทางไปโหดมาก ฝนก็ตก เขาก็ต้องขึ้น
ก็ข้อดีของการเป็นคนนั่งข้างๆคนขับ นอกเหนือจากความสบายแล้ว ก็ยังสามารถเก็บภาพบรรยากาศมาได้เรื่อยๆด้วย ถึงแม้ว่าฟ้าฝนจะไม่เป็นใจก็ตาม ระหว่างทางที่ขับมาเด็กๆก็ดันหลับอีก พอถึงสถานที่พ่อๆก็เลยขอลงจากรถไปถ่ายรูปเล่น โดยให้พี่สะใภ้นั่งดูเด็กๆหลับอยู่ในรถ
โชคดีมากที่เอา Timberland มาใส่ ฝนจะตกยังไงก็ไม่กลัว ไม่เปียก น้ำไม่ซึม ซื้อได้ที่ https://www.facebook.com/vacbkkth/ อิอิ
รูปต่อจากนี้ก็จะเป็นรูปบรรยากาศรอบๆของ Lake Chuzenji นะครับ เพื่อนๆลองกูเกิ้ลหากันได้ว่าปรกติหน้าตาจะเป็นยังไง ของผมที่ไปนี่เห็นแต่หมอกกับภูเขาไกลๆ ไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ได้บรรยากาศภาพมาอีกแบบ
อยู่ที่นั่นเกือบๆชั่วโมงโดยการที่ยอมตากฝน เดินถ่ายรูปตามมุมต่างๆก็ยังพอทำให้เราได้รูปมาบ้าง เรียกได้ว่าฝืนเลยดีกว่า แต่ก็โชคยังดีที่อุปกรณ์กล้องไม่เป็นอะไรมาก กระเป๋าเป้เปียกนิดหน่อยเพราะไม่ได้เป็นแบบกันน้ำ ระหว่างทางเดินกลับไปที่รถก็แวะซื้อไอติมซอฟท์ครีมแล้วดันอร่อยด้วย
พอมาที่โรงแรม ทางโรงแรมก็ได้เตรียมผ้าอุ่นกับขนมเอาไว้สำหรับรับแขก โชคดีที่ลูกชายไม่ชอบ ผมก็เลยซัดเรียบซะเลย อิอิ ขนมตามเรียวกังญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นถั่วแดง ขนมถั่วแดงนี่รู้สึกว่าจะถือว่าเป็นของนิยมและของพรีเมียมในการซื้อของฝากให้ผู้ใหญ่ (มั้งนะ) ทางโรงแรมก็ถามว่าจะกินกี่โมง เพราะเค้าต้องเตรียม ที่บ้านก็เลยบอกไปว่า 1 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลากินข้าวปรกติของที่บ้านผม