**กลับมาอัพเดตกระทู้อีกหลังจากทิ้งร้างไปเป็นปี คนอะไรมันจะยุ่งขนาดนั้น บ้าเอ้ย ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ
เรื่องมันเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือ เกมพึ่งทำงานได้ไม่นาน แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้น เลยมีโอกาสได้ทบทวนจิตใจตัวเองอีกครั้ง มันเหมือนเดจาวูยังไงยังงั้น เพราะพยายามจะออกจากความเครียดเท่าไหร่ก็ออกไม่ได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจโทรหาพี่ที่ IYF (ก็พี่ที่อยู่ด้วยกันนี่ล่ะเด้อ) แล้วพี่ก็ได้ให้คำปรึกษามา เหมือนได้กลับไปเป็น GNC อีกครั้ง วันนี้ก็เลยถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะมาอัพกระทู้ให้จบ ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดของโครงการ เม้นถาม หรือ หลังไมค์มาได้นะคะ เราจะเข้ามาดูบ่อยๆ เราสัญญา เราจะไม่ปล่อยกระทู้ร้างอีกแล้ว แหะๆ**
สวัสดีค่ะ ชื่อเกมมี่นะคะ เรากลับมาประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หลังจากได้เข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต่างประเทศกับ IYF ที่เกาหลีใต้เป็นเวลา 1 ปี
ขึ้นชื่อว่าอาสาสมัคร ทุกคนคงจะคิดถึงภาพการไปช่วยคนอื่น ดูเป็นคนมีจิตกุศลใช่ไหมคะ แต่พอเอาเข้าจริงนอกจากจะไปช่วยใครไม่ได้แล้ว ยังมีแต่คนอื่นที่มาช่วยเราอีกต่างหาก วันนี้อยากจะบันทึกและแชร์ประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมา ทั้งก่อนและหลังร่วมโครงการนี้ค่ะ
- Good News Corps -
ตัดสินใจจะไป “อเมริกา” กับ IYF Good News Corps
เรารู้จักโครงการ IYF ตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าไม่มีเงิน จนกระทั่งช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเรียนจบ เริ่มฉุกคิดว่าชีวิตจะไปทางไหนดี ผลการเรียนก็ครึ่งๆ กลางๆ จู่ๆ ก็เกิดกลัวชีวิตการทำงานขึ้นมา ถ้าได้หนีไปตั้งหลักที่ไหนสักแห่งก็คงจะดี
และตอนนั้นเองเราได้ระลึกถึง โครงการอาสาสมัครต่างประเทศของ IYF ขึ้นมา และเงื่อนไขของการที่จะได้ไปก็คือ จ่ายแค่ค่าเครื่องบินกับค่าวีซ่า ไปอยู่ต่างประเทศ 1 ปี ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถทางภาษา มีให้เลือกไปได้ 80 ประเทศ อยากไปประเทศไหน เลือก จบ!
ตอบโจทย์มากกกก ชีวิตนี้มันต้องไปเฉิดฉายที่อเมริกาซักครั้ง!!
- Good News Corps -
เตรียมตัวยังไงถ้าจะไปอาสาสมัครกับ IYF
หลังจากสมัครสมาชิก >>> ก็เข้า World Camp >>>ไปเก็บตัว 2-3 เดือน Train ก่อนไปต่างประเทศ >>>ทำวีซ่า >>> เดินทาง นั่นแหละค่ะ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ได้ใจความ
Ps.เราขอเล่ารายละเอียด World Camp แบบคร่าวๆ เผื่อเป็นข้อมูลให้หลายๆ คนได้จ้า
World Camp เป็นเงื่อนไขของการที่จะได้ไปเป็นอาสาสมัคร เหมือนงานเฟิร์สมีทครั้งใหญ่ที่จะได้ทำความรู้จักกับโครงการ คนที่จะไปเป็นอาสากับ IYF ต้องเข้าแคมป์นี้ และชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ เยสสสส นานาชาติ นี่เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พบเพื่อนต่างชาติมากมาย (แม้จะน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ก็ตาม)
ในแคมป์เราได้เจอเพื่อนจากอินเดีย เป็นคู่หูกันตลอดงาน ไปไหนไปกันกัน (เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ บอกเลยว่าเมื่อยมือ) จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ว่าพูดภาษาอังกฤษได้นะ แต่มันแบบ ไหนๆ ก็ไหนๆ วะ โอกาสมาแล้วโว๊ยยยยยยย อย่างน้อยก็ได้เพื่อนต่างชาติมาตั้งคนนึง พูดได้ไม่ได้ก็ต้องลองดู
กิจกรรมสำคัญของแคมป์คือ ช่วงฟังบรรยาย Mind Training จากผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ชาวเกาหลีใต้ แต่ไม่ใช่แค่การไปนั่งฟังบรรยายเท่านั้น แต่ละวันจะมีการแสดงเยอะมาก ทั้งการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศแต่ละการแสดงคือขนกันมาแบบชุดใหญ่ ไฟกระพริบ ไม่ได้มาแบบเล่นๆ มีละครเวที การร้องเพลงประสานเสียง และอีกการแสดงที่เราชอบมากคือ นักร้องดูโอ้ Rio Montana
มีวิดีโอสั้นๆ มาฝากด้วยค่ะ เป็นบรรยากาศตอนที่ Rio Montana ขึ้นแสดง แท่งไฟพรึ่บ!! เสมือนโอปป้ามาเอง ตอนนั้นเก็บความทรงจำด้วยสายตาล้วนๆ จึงได้ไปเสาะหาวิดีโอมาจากไอจีของเพื่อน ขอบคุณ @poiiquakyung มา ณ ที่นี้ค่ะ
ต่อมาเป็นเข้า Academy ซึ่งอะคาเดมีในแคมป์นี้คือ การเข้าชั่วโมงกิจกรรมกับวิทยากรที่มาให้ความรู้ด้านต่างๆ มีให้เลือกยาวเป็นพรืด อยากเรียนอันไหนเลือกเลยจ้า ตอนนั้นเราเลือกเรียนเทควันโด้ กับเรียนเต้น แล้วก็คลาสฝึกบุคลิกภาพของวิทยากรจากการบินไทย และคลาสนักพูดกับอาจารย์จอมพล จริงๆ อยากเรียนทำเค้กแต่ที่นั่งเต็มก่อน บ้าจริง!! ฉันอยากกินเค้กฟรี~~~~~~
แล้วก็กิจกรรมการทำภารกิจเป็นทีมก็จะให้วนเล่นเกมแต่ละฐานเพื่อเก็บปริศนากันไป ส่วนเรื่องอาหารในแคมป์เราก็ชอบนะ อร่อยดี อิอิ เติมไม่อั้น แต่ที่หงุดหงิดคือ การเข้าพักโรงแรม โดยเราจะถูกจัดกลุ่มให้นอนห้องละ 4 – 5 คน ใครมาถึงก่อนก็ไปรับกุญแจห้อง ซึ่งตอนนั้นวุ่นวายมาก หัวร้อนเบาๆ สำหรับเรา เราคิดว่า สตาฟน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เข้าค่าย แต่ถ้ามองอีกมุมนึงก็น่าตกใจเหมือนกันว่าสตาฟเท่านี้ แต่จัดแคมป์ใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง ไปเอาพลังมาจากไหนกันนิ
กิจกรรมก็มีประมาณนี้...ต่อมาพอจบ World Camp นั่นก็หมายความพวกเราได้สิทธิ์ในการไปเป็นอาสาสมัครแล้ว ที่เหลือก็เตรียมตัวแต่งหน้ารอทางโครงการเรียกไปลงทะเบียนเพื่อเข้า Train ช่วงเก็บตัวแบบสวยๆ จ้า
PS.อยากเตือนให้ทำใจกันก่อน เพราะอย่างที่บอกว่าแคมป์นี้สตาฟน้อย คนเข้าค่ายเยอะ เรารู้สึกว่า มันวุ่นวายระดับสุด เสียงดัง อาจจะอารมณ์เสียกันบ้าง แต่ทำไงได้มาเข้าแคมป์เพื่อจะไปเป็นอาสาอ่ะเนอะ Be Strong กันไว้นาจา
- Good News Corps -
จงเลือกประเทศที่ You สบายใจ
อยากไปประเทศไหนเลือกประเทศนั้นจ้ะ ตอนแรกเราเลือก “อเมริกา” เพราะอยากพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่ค่าเครื่องบินมันช่างแพงเหลือเกิน กระเป๋าตังค์ในมือแม่นี่สั่นเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ตอนแคมป์เราได้รู้จักกับคนเกาหลีที่เลือกมาอาสาที่ประเทศไทย และอาสาสมัครเกาหลีที่เป็นอาสาที่อินเดียแต่แวะมาช่วยงาน world camp ที่ไทย ตอนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังเดินกินต็อกโบกีอยู่กลางอยู่กรุงโซล เพราะในค่ายคนเกาหลีมากันเยอะมากกกกก
ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าความโอปป้าหรือว่าความประทับในการทำงานของพวกเขาที่เราเห็นในแคมป์กันแน่ที่มาดลบัลดาลใจให้เราถึงกับเลือกที่จะ “เปลี่ยนประเทศไปเกาหลีแทน” แฮชแท็ก เพราะเราสบายใจประเทศนี้ อิอิ
คือจริงๆ เราอยากจะไปดูกับตาตัวเองว่าวัฒนธรรมเกาหลีเป็นยังไงเขาถึงสามารถสร้างเยาวชนคุณภาพแบบนี้ขึ้นมาได้ (ดูวิชาการขึ้นมาหน่อย) ประจวบเหมาะกับค่าเครื่องบินค่านั่นนี่มันได้กับงบที่เรามีอยู่พอดีด้วย บางคนอาจจะใช้เวลาเลือกประเทศกันนานหน่อยแต่ว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะใน World camp จะมี Culture Festival มาออกบูธของแต่ละประเทศมาจัดแสดงอยู่ หรือไม่ก็ปรึกษาเจ้าหน้าที่ก็ได้
จะอิงจากความอยาก อิงตามงบ หรือตามภาษาที่ชอบก็สุดแล้วแต่เลย
ขอปิดท้ายพาร์ทแรกด้วยภาพ เพื่อนชาวเกาหลีที่รู้จักกันในแคมป์ที่ไทย แล้วได้ร่วมงานกันอีกครั้งตอนเป็นอาสาสมัครที่เกาหลี เซอร์ไพร์มากเว่อร์
ยังมีประสบการณ์ที่อยากจะแบ่งปันอีกเยอะเลย ฝากติดตามด้วยนะคะ กับเรื่อง
เทศกาลชูซอก (Thanks giving day) และการปล่อยไก่บนเวทีต่อหน้าคน 2,000 คน
อาสาสมัครในวัน Christmas
การข้ามไปต่อวีซ่าที่ญี่ปุ่นกับภาษาที่ไม่มีอยู่ในโพย
และการทัวร์คอนเสิร์ต 2 ประเทศ 13 เมือง 16 รอบการแสดง
[CR] [IYF] ใช้เวลา 1 ปี ช่วงรอรับปริญญา ไปเป็นอาสาสมัครที่เกาหลี
**กลับมาอัพเดตกระทู้อีกหลังจากทิ้งร้างไปเป็นปี คนอะไรมันจะยุ่งขนาดนั้น บ้าเอ้ย ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ
เรื่องมันเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือ เกมพึ่งทำงานได้ไม่นาน แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้น เลยมีโอกาสได้ทบทวนจิตใจตัวเองอีกครั้ง มันเหมือนเดจาวูยังไงยังงั้น เพราะพยายามจะออกจากความเครียดเท่าไหร่ก็ออกไม่ได้ สุดท้ายเลยตัดสินใจโทรหาพี่ที่ IYF (ก็พี่ที่อยู่ด้วยกันนี่ล่ะเด้อ) แล้วพี่ก็ได้ให้คำปรึกษามา เหมือนได้กลับไปเป็น GNC อีกครั้ง วันนี้ก็เลยถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะมาอัพกระทู้ให้จบ ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดของโครงการ เม้นถาม หรือ หลังไมค์มาได้นะคะ เราจะเข้ามาดูบ่อยๆ เราสัญญา เราจะไม่ปล่อยกระทู้ร้างอีกแล้ว แหะๆ**
หลังจากได้เข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต่างประเทศกับ IYF ที่เกาหลีใต้เป็นเวลา 1 ปี
ขึ้นชื่อว่าอาสาสมัคร ทุกคนคงจะคิดถึงภาพการไปช่วยคนอื่น ดูเป็นคนมีจิตกุศลใช่ไหมคะ แต่พอเอาเข้าจริงนอกจากจะไปช่วยใครไม่ได้แล้ว ยังมีแต่คนอื่นที่มาช่วยเราอีกต่างหาก วันนี้อยากจะบันทึกและแชร์ประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมา ทั้งก่อนและหลังร่วมโครงการนี้ค่ะ
ตัดสินใจจะไป “อเมริกา” กับ IYF Good News Corps
เรารู้จักโครงการ IYF ตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าไม่มีเงิน จนกระทั่งช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเรียนจบ เริ่มฉุกคิดว่าชีวิตจะไปทางไหนดี ผลการเรียนก็ครึ่งๆ กลางๆ จู่ๆ ก็เกิดกลัวชีวิตการทำงานขึ้นมา ถ้าได้หนีไปตั้งหลักที่ไหนสักแห่งก็คงจะดี
และตอนนั้นเองเราได้ระลึกถึง โครงการอาสาสมัครต่างประเทศของ IYF ขึ้นมา และเงื่อนไขของการที่จะได้ไปก็คือ จ่ายแค่ค่าเครื่องบินกับค่าวีซ่า ไปอยู่ต่างประเทศ 1 ปี ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถทางภาษา มีให้เลือกไปได้ 80 ประเทศ อยากไปประเทศไหน เลือก จบ!
ตอบโจทย์มากกกก ชีวิตนี้มันต้องไปเฉิดฉายที่อเมริกาซักครั้ง!!
เตรียมตัวยังไงถ้าจะไปอาสาสมัครกับ IYF
หลังจากสมัครสมาชิก >>> ก็เข้า World Camp >>>ไปเก็บตัว 2-3 เดือน Train ก่อนไปต่างประเทศ >>>ทำวีซ่า >>> เดินทาง นั่นแหละค่ะ 4 ขั้นตอนง่ายๆ ได้ใจความ
Ps.เราขอเล่ารายละเอียด World Camp แบบคร่าวๆ เผื่อเป็นข้อมูลให้หลายๆ คนได้จ้า
World Camp เป็นเงื่อนไขของการที่จะได้ไปเป็นอาสาสมัคร เหมือนงานเฟิร์สมีทครั้งใหญ่ที่จะได้ทำความรู้จักกับโครงการ คนที่จะไปเป็นอาสากับ IYF ต้องเข้าแคมป์นี้ และชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ เยสสสส นานาชาติ นี่เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พบเพื่อนต่างชาติมากมาย (แม้จะน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ก็ตาม)
ในแคมป์เราได้เจอเพื่อนจากอินเดีย เป็นคู่หูกันตลอดงาน ไปไหนไปกันกัน (เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ บอกเลยว่าเมื่อยมือ) จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ว่าพูดภาษาอังกฤษได้นะ แต่มันแบบ ไหนๆ ก็ไหนๆ วะ โอกาสมาแล้วโว๊ยยยยยยย อย่างน้อยก็ได้เพื่อนต่างชาติมาตั้งคนนึง พูดได้ไม่ได้ก็ต้องลองดู
กิจกรรมสำคัญของแคมป์คือ ช่วงฟังบรรยาย Mind Training จากผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ชาวเกาหลีใต้ แต่ไม่ใช่แค่การไปนั่งฟังบรรยายเท่านั้น แต่ละวันจะมีการแสดงเยอะมาก ทั้งการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศแต่ละการแสดงคือขนกันมาแบบชุดใหญ่ ไฟกระพริบ ไม่ได้มาแบบเล่นๆ มีละครเวที การร้องเพลงประสานเสียง และอีกการแสดงที่เราชอบมากคือ นักร้องดูโอ้ Rio Montana
มีวิดีโอสั้นๆ มาฝากด้วยค่ะ เป็นบรรยากาศตอนที่ Rio Montana ขึ้นแสดง แท่งไฟพรึ่บ!! เสมือนโอปป้ามาเอง ตอนนั้นเก็บความทรงจำด้วยสายตาล้วนๆ จึงได้ไปเสาะหาวิดีโอมาจากไอจีของเพื่อน ขอบคุณ @poiiquakyung มา ณ ที่นี้ค่ะ
ต่อมาเป็นเข้า Academy ซึ่งอะคาเดมีในแคมป์นี้คือ การเข้าชั่วโมงกิจกรรมกับวิทยากรที่มาให้ความรู้ด้านต่างๆ มีให้เลือกยาวเป็นพรืด อยากเรียนอันไหนเลือกเลยจ้า ตอนนั้นเราเลือกเรียนเทควันโด้ กับเรียนเต้น แล้วก็คลาสฝึกบุคลิกภาพของวิทยากรจากการบินไทย และคลาสนักพูดกับอาจารย์จอมพล จริงๆ อยากเรียนทำเค้กแต่ที่นั่งเต็มก่อน บ้าจริง!! ฉันอยากกินเค้กฟรี~~~~~~
แล้วก็กิจกรรมการทำภารกิจเป็นทีมก็จะให้วนเล่นเกมแต่ละฐานเพื่อเก็บปริศนากันไป ส่วนเรื่องอาหารในแคมป์เราก็ชอบนะ อร่อยดี อิอิ เติมไม่อั้น แต่ที่หงุดหงิดคือ การเข้าพักโรงแรม โดยเราจะถูกจัดกลุ่มให้นอนห้องละ 4 – 5 คน ใครมาถึงก่อนก็ไปรับกุญแจห้อง ซึ่งตอนนั้นวุ่นวายมาก หัวร้อนเบาๆ สำหรับเรา เราคิดว่า สตาฟน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เข้าค่าย แต่ถ้ามองอีกมุมนึงก็น่าตกใจเหมือนกันว่าสตาฟเท่านี้ แต่จัดแคมป์ใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง ไปเอาพลังมาจากไหนกันนิ
กิจกรรมก็มีประมาณนี้...ต่อมาพอจบ World Camp นั่นก็หมายความพวกเราได้สิทธิ์ในการไปเป็นอาสาสมัครแล้ว ที่เหลือก็เตรียมตัวแต่งหน้ารอทางโครงการเรียกไปลงทะเบียนเพื่อเข้า Train ช่วงเก็บตัวแบบสวยๆ จ้า
PS.อยากเตือนให้ทำใจกันก่อน เพราะอย่างที่บอกว่าแคมป์นี้สตาฟน้อย คนเข้าค่ายเยอะ เรารู้สึกว่า มันวุ่นวายระดับสุด เสียงดัง อาจจะอารมณ์เสียกันบ้าง แต่ทำไงได้มาเข้าแคมป์เพื่อจะไปเป็นอาสาอ่ะเนอะ Be Strong กันไว้นาจา
จงเลือกประเทศที่ You สบายใจ
อยากไปประเทศไหนเลือกประเทศนั้นจ้ะ ตอนแรกเราเลือก “อเมริกา” เพราะอยากพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่ค่าเครื่องบินมันช่างแพงเหลือเกิน กระเป๋าตังค์ในมือแม่นี่สั่นเลยทีเดียว แต่โชคดีที่ตอนแคมป์เราได้รู้จักกับคนเกาหลีที่เลือกมาอาสาที่ประเทศไทย และอาสาสมัครเกาหลีที่เป็นอาสาที่อินเดียแต่แวะมาช่วยงาน world camp ที่ไทย ตอนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังเดินกินต็อกโบกีอยู่กลางอยู่กรุงโซล เพราะในค่ายคนเกาหลีมากันเยอะมากกกกก
ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าความโอปป้าหรือว่าความประทับในการทำงานของพวกเขาที่เราเห็นในแคมป์กันแน่ที่มาดลบัลดาลใจให้เราถึงกับเลือกที่จะ “เปลี่ยนประเทศไปเกาหลีแทน” แฮชแท็ก เพราะเราสบายใจประเทศนี้ อิอิ
คือจริงๆ เราอยากจะไปดูกับตาตัวเองว่าวัฒนธรรมเกาหลีเป็นยังไงเขาถึงสามารถสร้างเยาวชนคุณภาพแบบนี้ขึ้นมาได้ (ดูวิชาการขึ้นมาหน่อย) ประจวบเหมาะกับค่าเครื่องบินค่านั่นนี่มันได้กับงบที่เรามีอยู่พอดีด้วย บางคนอาจจะใช้เวลาเลือกประเทศกันนานหน่อยแต่ว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะใน World camp จะมี Culture Festival มาออกบูธของแต่ละประเทศมาจัดแสดงอยู่ หรือไม่ก็ปรึกษาเจ้าหน้าที่ก็ได้
จะอิงจากความอยาก อิงตามงบ หรือตามภาษาที่ชอบก็สุดแล้วแต่เลย
เทศกาลชูซอก (Thanks giving day) และการปล่อยไก่บนเวทีต่อหน้าคน 2,000 คน
อาสาสมัครในวัน Christmas
การข้ามไปต่อวีซ่าที่ญี่ปุ่นกับภาษาที่ไม่มีอยู่ในโพย
และการทัวร์คอนเสิร์ต 2 ประเทศ 13 เมือง 16 รอบการแสดง