ได้ IELTS Speaking 9 เล่าประสบการณ์การฝึกและการสอบ

ต้องบอกก่อนว่าที่ยกคะแนน speaking ขึ้นมาตั้งเป็นหัวข้อเพราะเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาที่สุดและนักเรียนถามเยอะมากที่สุดเพราะดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับคนไทยที่เกิดและโตเมืองไทยและเรียนภาคภาษาไทยมาตั้งแต่เด็กจนจบปริญญาตรีซึ่งก็เรียนด้านบริหารธุรกิจ ไม่ได้เรียนด้านภาษาแต่อย่างใด แต่มันเป็นไปได้แล้ว!!! ขอสารภาพว่าตอนที่เห็นคะแนนยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่หลังจากทำใจเชื่อว่านี่คะแนนของเราจริงๆ ก็ภูมิใจและเอามาเล่าให้นักเรียนฟังได้ว่าในห้องสัมภาษณ์นั้นเกิดอะไรขึ้นและต้องทำยังไงถึงจะได้ 9 เต็ม (ลืมบอกคะแนนส่วนอื่นไป Listening 8.5 Reading 8.5 Writing 7 ตามรูป)

เข้าเรื่องเลยดีกว่า การจะทำ speaking ให้ได้คะแนนเต็มนั้น "ยาก" เพราะว่ามันยากจริงๆ สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกภาษาอังกฤษเป็นประจำทุกวันมาเป็นปีๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เป้ฝึกทุกวัน ย้ำ "ทุกวัน" มาเป็นสิบปีแล้ว เป้เคยไปอยู่อเมริกาทำ Work & Travel 3 เดือน และไปเรียน Teaching English to Speakers of Other Languages Certificate อีก 9 เดือน (หลักสูตร 1 ปี แต่จบเร็วเพราะสอบผ่านไม่ต้องเรียน 3 วิชาพื้นฐาน) สรุปรวม 12 เดือน = 1 ปีพอดิบพอดี (ไม่นับที่ไปเที่ยวขำๆ แบบ 1-2 สัปดาห์นะคะ) แต่ระยะเวลาที่อยู่ที่อเมริกาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือความสม่ำเสมอในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและความตั้งใจ

คำถามที่โดนถามบ่อยที่สุดคืออยากเก่งแบบ(พี่)เป้ต้องฝึกยังไง ฝึกง่ายๆ ค่ะ ทำทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกๆ วัน อย่างเป้ สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ดูหนัง(ไม่อ่านซับเลยไม่ว่าจะภาษาไทยหรืออังกฤษ) ฟังเพลงและร้องตาม(ฝึกออกเสียงให้เหมือน ถูกบ้างผิดบ้าง) ฟังและอ่านข่าว (รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง) และที่สำคัญคือการ "อ่านออกเสียง" ทุกคำของทุกสิ่งทุกอย่างที่อ่านได้ อ่านแม้กระทั่งขวดแชมพูและซองขนม ทำจนติดเป็นนิสัยและเป็นธรรมชาติของเราไปเลย อีกอย่างที่สำคัญมากๆ และย้ำอยู่ตลอดเวลาคือ ห้ามแปล! ห้ามแปล! และห้ามแปล! ไม่รู้ศัพท์ก็เปิด Cambridge Dictionary อังกฤษ-อังกฤษ ถ้าคุณยังอยู่ในช่วงฝึกฝนและคุณแปล คุณจะไม่มีวันพูดอย่างเป็นธรรมชาติได้เลย ทีนี้พอบอกแล้วว่าต้องฝึกยังไงคนส่วนใหญ่จะเงียบไปแล้วก็ไม่ฝึกตามนั้น จบข่าว! ไม่มียาวิเศษที่กินเข้าไปแล้วกลายเป็น native speaker นะคะ จะสังเกตเห็นว่าเป้พูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน สำเนียงก็เป็นอเมริกัน แต่ไม่มีผลต่อคะแนน IELTS ซึ่งมาจากอังกฤษเลย เป้ถึงบอกนักเรียนว่าไม่ต้องกังวลกับสำเนียง แค่ออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน และฟังง่ายก็พอแล้ว

ตอนนี้ขอเล่าเหตุการณ์ในวันสัมภาษณ์ดีกว่า วันนั้นสอบส่วนแรกเสร็จเที่ยงแต่ได้คิวสัมภาษณ์ 6 โมงเย็น ก็เลยไปเดินเล่นห้างรอเวลา พอ 5 โมงเย็นเจ้าหน้าที่โทรมาบอกว่าอาจารย์พร้อมแล้วเราก็รีบวิ่งกลับไป พอไปถึงปรากฏว่าอาจารย์ออกไปทานข้าวเลยได้นั่งพักให้หายเหนื่อย รอจน 6 โมงพอดีอาจารย์ถึงได้กลับเข้ามา ตอนนั้นคิดว่าแล้วให้รีบวิ่งมาทำไมเนี่ย (ขำๆ) ถึงเวลาเข้าห้องเชือด ตรงนี้ขอแจกแจงเป็นข้อๆ แล้วกันนะจะได้อ่านง่าย

1. ใครที่รู้สึกตื่นเต้นก็ให้สูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปสวยๆ
2. เข้าไปแล้วก็สบตาพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กๆ ให้เค้า และกล่าวทักทายตามธรรมเนียม
3. เค้าเชิญให้เรานั่งเราถึงค่อยนั่งแบบมีมารยาทและรักษาบุคลิกแต่ไม่เกร็งนะคะ
4. หลังจากนั้นเค้าจะบอกเองว่าต้องทำอะไรบ้างก็ตามน้ำไปแบบสบายๆ แต่ต้องตั้งใจฟังว่าเค้าพูดว่าอะไร
5. ข้อดีของ IELTS คือเราคุยกับคน ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งที่เค้าพูดเราสามารถถามได้
6. อย่ามั่วตอบคำถามที่ไม่เข้าใจเพราะถ้าตอบไม่ตรงคำถามหรือออกนอกเรื่อง คะแนนไม่สวยแน่ๆ
7. ถามเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้นคือไม่เข้าใจจริงๆ หรือจับใจความอะไรไม่ได้เลยเพราะการที่เราถามแปลว่าเราฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ถามแล้วตอบผิดนะคะ
8. ไม่ต้องเครียดเพราะเค้าจะคอยสังเกตเราอยู่ตลอดเวลาว่าเราทำหน้างงมั้ย แล้วเค้าจะพยายามช่วยตามขอบเขตที่เค้าสามารถทำได้
9. อย่าท่องเข้าไปตอบเพราะมันไม่เป็นธรรมชาติและคนสัมภาษณ์เค้าดูรู้ คือถ้าประโยคเราสวยแค่ไม่กี่ประโยคแต่ประโยคอื่นพังหมดนี่ไม่ได้ช่วยให้คะแนนดีได้เลย
10. ใช้เทคนิคการทวนคำถามก่อนตอบสำหรับคนที่ไม่มั่นใจ วิธีนี้จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าเราฟังคำถามถูกต้องแล้ว คือถ้าเราทวนคำถามแล้วผิดเค้าจะได้ถามใหม่อีกครั้ง
11. ใช้ศัพท์ง่ายๆ แต่ถูกต้องแน่นอนดีกว่าพยายามใช้ศัพท์ยากแล้วผิด
12. พูดให้เป็นธรรมชาติ คุยแบบสบายๆ ไม่เกร็ง ไม่เครียด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แล้วคะแนนจะออกมาดีที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่