ผมยกพอร์ตปัจจุบันให้ดู เพื่อให้น่าเชื่อถือ ว่าเป็นประสบการณ์จริง
ผมได้เคยลองลงทุนด้านอื่นคือ หุ้น เมื่อเกือบ 6 ปีมาแล้ว หลังจากน็อกเข้าห้องไอชียู ด้วยโรคเส้นเลือดสมองเกือบแตก รอดมาได้อย่างฉิวเฉียด และไม่คิดจะลงทุนผ่อนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มอีกแล้วเพราะมันหนักเกินตัว กะว่าจะทยอยลงซื้อหุ้นสัก 100,000 บาท ในปี 2554 เพื่อทดลอง โดยได้ศึกษาเพียงเบื้องต้นแต่ไม่ล้วงลึก ก็ดูค่า P/E เป็น
ผมลงไปได้ไม่ถึงปี ก็ได้เงินกินขนม 100-200 บาท ต่ออาทิตย์คือกำไรที่อยู่ในพอร์ตนั้นแหละ จึงทยอยลงไปที่ละน้อย แต่เมื่อเกิดภาวะแฮมเบอร์เก้อที่สหรัฐ-ยุโรป เงินต้นผมหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วผมไม่ทำอะไรกับมันไปอีก หลายเดือน ติดดอยอยู่ น้านๆ นาน.
พอปีถัดมา ทุกอย่างเข้าที่หุ้นตีขึ้นมาใหม่ ผมเริ่มเปลี่นแนวเล่นใหม่เพื่อศึกษา คือดูทั้งค่า P/E และไล่เก็บเงินปันผล ไม่สนใจไปศึกษาว่าบริษัทนั้นทำอะไร แม้ทางบัญชี โอ.. ไปได้สวย ผมจึงเพิ่มทุนไปถึง 92,000 บาท ได้ปันผลเป็นเงินสด ประมาณ 1 หมื่น
แต่พอต่อมาเห็นหุ้นบางตัวทำไมในวันเดียวมันขึ้นไปได้ทั้งเยอะ ตอนนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องหุ้นปั่นมากหนัก จึงสนใจ ลองเข้าซื้อพอได้กำไรหน่อยก็ขาย
ว้าว... มันชั่งดีจัง ทุนจาก 92,000 บ. ขึ้นมา แสนกว่า แล้วปันผลที่ได้เป็นเงินสด ก็เพิ่มเกือบ 2 หมื่นไปแล้ว น่าสนๆ รวยๆ ได้แน่ คิดจะลงทุนเพิ่มไปอีก ก็ เอ้.. มีสติยั้งไว้ว่า
อึม.. ทดลองในทุนเท่านี้แหละ ดูสิว่า มันจะเพิ่มเท่าไหร อย่า... บูม... บ่าม... มันเพียงเล่นสนุกดี
แล้วเมื่อวิกฤตการเมืองก็มากขึ้น ที่ไล่ล่าเงินปันผลก็ตาย เริ่มรู้หุ้นที่ปั่นกันนักนั้น มันก็ตาย จึงรู้ว่า... โอ้ มันเสี่ยงเหนอะ..
ปันผลก็ไม่ได้ดังใจแล้ว หุ้นปั่นก็ติดดอยหนัก จากเงินแสนกว่า ลดลงเหลื่อประมาณ 6 หมืนบาท ตายแน่ๆ
แต่พอมีเงินเก็บได้เล็กน้อย จึงเลยเอาไปซื้อ ที่ดินเปล่าที่ธนาคารขายลดราคาถูก 100 ตรว. 2.3 แสน บาท
ส่วนหุ้นนั้นเข้าไปดูบ้างนานๆ ที หลังจากนั้นหุ่นก็แกว่งไปแกว่งมาเพราะวิกฤตการเมืองมันยาว จึงหาโอกาศที่มันแกว่งๆ นั้นแหละปรับเปลี่ยนหุ่นในมื่อไปเรื่อย ก็ทำให้เพิ่มมาเป็น 7 หมืนบาท ไปดูมันบ้างไม่ดูมันบ้าง เพราะคิดว่ามันไม่ใช่สไตร์ของเราแล้วแหละ
ก็ปรับๆ มันมาแบบไม่ค่อยสนใจมัน ก็เพิ่มมาที่ 7.2 ถึง 7.5 หมื่นบาท (รวมทั้งเงินสด 21,890 บาท ที่ยังไม่ซื้อค้างไว้ในพอร์ต) ในปัจจุบัน เงินปันผลรวมที่ได้มาแล้วก็ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ในช่วง 5 ปี กว่าก็หายปนกันไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ก็คือเท่าตัว ขาดทุนเวลาและดอกเบี้ย ก็ถือว่า เล่นสนุกฆ่าเวลา ก็เท่านั้น จึงไม่คิดว่า เป็นเป้าหมายในการลงทุนแน่นอน.
แต่ที่ดินที่ซื้อไว้ 2.3 แสนบาทนั้น ว้าว.... ราคาตลาดมันขึ้นมาเกิน 100 % ที่เขาขายกันและขายได้ 5 แสนบาททีเดียว ผมก็ปล่อยไว้อย่างนั้นเอาไปปลูกต้นไม้ เผื่อไว้เพาะเห็ดหลังเกษียณ
หมายเหตุ แต่ของลูกลงทุนพร้อมกันในหุ้น ประมาณ 3 หมื่นบาท ลูกก็ซื้อไปหลายตัว แล้วทิ้งตายไว้เพราะไม่มีเวลา ผ่านมา 5 ปี หุ้น บิวตี้ แสดง อิทธิฤทธ์ จาก ทุนรวม 3 หมื่น กลายเป็น 7 หมื่นกว่าบาท กำไรของเขาก็เกิน 100 % เช่นกัน
ดังนั้นหุ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน ถ้าหลงละโมบเกิน ทำให้หนาวๆ......... เพราะติดดอย หรือทำให้จนลงเกินครึ่ง ได้ง่ายๆ
(เสนอประสบการณ์ แม้เล็กน้อย ก็เพื่อให้ผู้ได้เรียนรู้และปรับใช่ เผื่อมีประโยชน์ กับผู้อื่น)
รีวิวประสบการทดลองเล่นหุ้นเกือบ 6 ปี กับเงินเหลือพอซื้อที่ดิน 100 ตรว ราคาถูกที่ธนาคารขายลดราคา ผลต่างกันอย่างไร.
ผมได้เคยลองลงทุนด้านอื่นคือ หุ้น เมื่อเกือบ 6 ปีมาแล้ว หลังจากน็อกเข้าห้องไอชียู ด้วยโรคเส้นเลือดสมองเกือบแตก รอดมาได้อย่างฉิวเฉียด และไม่คิดจะลงทุนผ่อนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มอีกแล้วเพราะมันหนักเกินตัว กะว่าจะทยอยลงซื้อหุ้นสัก 100,000 บาท ในปี 2554 เพื่อทดลอง โดยได้ศึกษาเพียงเบื้องต้นแต่ไม่ล้วงลึก ก็ดูค่า P/E เป็น
ผมลงไปได้ไม่ถึงปี ก็ได้เงินกินขนม 100-200 บาท ต่ออาทิตย์คือกำไรที่อยู่ในพอร์ตนั้นแหละ จึงทยอยลงไปที่ละน้อย แต่เมื่อเกิดภาวะแฮมเบอร์เก้อที่สหรัฐ-ยุโรป เงินต้นผมหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วผมไม่ทำอะไรกับมันไปอีก หลายเดือน ติดดอยอยู่ น้านๆ นาน.
พอปีถัดมา ทุกอย่างเข้าที่หุ้นตีขึ้นมาใหม่ ผมเริ่มเปลี่นแนวเล่นใหม่เพื่อศึกษา คือดูทั้งค่า P/E และไล่เก็บเงินปันผล ไม่สนใจไปศึกษาว่าบริษัทนั้นทำอะไร แม้ทางบัญชี โอ.. ไปได้สวย ผมจึงเพิ่มทุนไปถึง 92,000 บาท ได้ปันผลเป็นเงินสด ประมาณ 1 หมื่น
แต่พอต่อมาเห็นหุ้นบางตัวทำไมในวันเดียวมันขึ้นไปได้ทั้งเยอะ ตอนนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องหุ้นปั่นมากหนัก จึงสนใจ ลองเข้าซื้อพอได้กำไรหน่อยก็ขาย
ว้าว... มันชั่งดีจัง ทุนจาก 92,000 บ. ขึ้นมา แสนกว่า แล้วปันผลที่ได้เป็นเงินสด ก็เพิ่มเกือบ 2 หมื่นไปแล้ว น่าสนๆ รวยๆ ได้แน่ คิดจะลงทุนเพิ่มไปอีก ก็ เอ้.. มีสติยั้งไว้ว่า
อึม.. ทดลองในทุนเท่านี้แหละ ดูสิว่า มันจะเพิ่มเท่าไหร อย่า... บูม... บ่าม... มันเพียงเล่นสนุกดี
แล้วเมื่อวิกฤตการเมืองก็มากขึ้น ที่ไล่ล่าเงินปันผลก็ตาย เริ่มรู้หุ้นที่ปั่นกันนักนั้น มันก็ตาย จึงรู้ว่า... โอ้ มันเสี่ยงเหนอะ..
ปันผลก็ไม่ได้ดังใจแล้ว หุ้นปั่นก็ติดดอยหนัก จากเงินแสนกว่า ลดลงเหลื่อประมาณ 6 หมืนบาท ตายแน่ๆ
แต่พอมีเงินเก็บได้เล็กน้อย จึงเลยเอาไปซื้อ ที่ดินเปล่าที่ธนาคารขายลดราคาถูก 100 ตรว. 2.3 แสน บาท
ส่วนหุ้นนั้นเข้าไปดูบ้างนานๆ ที หลังจากนั้นหุ่นก็แกว่งไปแกว่งมาเพราะวิกฤตการเมืองมันยาว จึงหาโอกาศที่มันแกว่งๆ นั้นแหละปรับเปลี่ยนหุ่นในมื่อไปเรื่อย ก็ทำให้เพิ่มมาเป็น 7 หมืนบาท ไปดูมันบ้างไม่ดูมันบ้าง เพราะคิดว่ามันไม่ใช่สไตร์ของเราแล้วแหละ
ก็ปรับๆ มันมาแบบไม่ค่อยสนใจมัน ก็เพิ่มมาที่ 7.2 ถึง 7.5 หมื่นบาท (รวมทั้งเงินสด 21,890 บาท ที่ยังไม่ซื้อค้างไว้ในพอร์ต) ในปัจจุบัน เงินปันผลรวมที่ได้มาแล้วก็ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ในช่วง 5 ปี กว่าก็หายปนกันไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ก็คือเท่าตัว ขาดทุนเวลาและดอกเบี้ย ก็ถือว่า เล่นสนุกฆ่าเวลา ก็เท่านั้น จึงไม่คิดว่า เป็นเป้าหมายในการลงทุนแน่นอน.
แต่ที่ดินที่ซื้อไว้ 2.3 แสนบาทนั้น ว้าว.... ราคาตลาดมันขึ้นมาเกิน 100 % ที่เขาขายกันและขายได้ 5 แสนบาททีเดียว ผมก็ปล่อยไว้อย่างนั้นเอาไปปลูกต้นไม้ เผื่อไว้เพาะเห็ดหลังเกษียณ
หมายเหตุ แต่ของลูกลงทุนพร้อมกันในหุ้น ประมาณ 3 หมื่นบาท ลูกก็ซื้อไปหลายตัว แล้วทิ้งตายไว้เพราะไม่มีเวลา ผ่านมา 5 ปี หุ้น บิวตี้ แสดง อิทธิฤทธ์ จาก ทุนรวม 3 หมื่น กลายเป็น 7 หมื่นกว่าบาท กำไรของเขาก็เกิน 100 % เช่นกัน
ดังนั้นหุ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน ถ้าหลงละโมบเกิน ทำให้หนาวๆ......... เพราะติดดอย หรือทำให้จนลงเกินครึ่ง ได้ง่ายๆ
(เสนอประสบการณ์ แม้เล็กน้อย ก็เพื่อให้ผู้ได้เรียนรู้และปรับใช่ เผื่อมีประโยชน์ กับผู้อื่น)