จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้มันเริ่มมาจาก เราเห็นข้อมูลที่มีเพื่อนๆแชร์และกดไลค์ เกี่ยวกับ กิจกรรม Volunteers ในต่างประเทศจากองค์การในประเทศไทยที่ชื่อ Dalaa (ดาหลา) ก็เลยเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วก็พบว่าในทุกๆปี มีกิจกรรม Volunteers Workcamp ในหลายประเทศทั่วโลกให้เลือกเยอะมาก และเราก็สนใจในประเทศญี่ปุ่นเป็นพิเศษอยู่แล้ว เลยเน้นไปที่ Workcamp ของประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งตอนที่หาข้อมูลก็สนใจหลายค่ายมาก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกค่ายวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ Misato รายละเอียดที่แจ้งไว้ในเว็บไซต์ ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ
https://www.workcamps.info/icamps/camp-details/camp-11255.html
หลังจากนั้นเราก็ติดต่อกับ Partner ในไทยนั่นก็คือ Dalaa เพื่อขอใบสมัครและส่งไปที่ NICE รอไม่นานก็ได้รับการตอบรับกลับมา คือตอบรับให้เราเป็นหนึ่งในผู้ร่วมค่ายนั่นเอง ระหว่างนั้นทางพาร์ทเนอร์ก็จะส่งรายละเอียดมาให้เป็นระยะว่าต้องทำอย่างไรและต้องเตรียมตัวอะไรบ้างก่อนเดินทาง สิ่งที่เราต้องออกค่าใช้จ่ายเองคือ ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับและค่าเดินทางที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการทำประกันการเดินทางด้วย
1 เดือนก่อนเดินทาง คือ ค่ายนี้จัดขึ้นระหว่าง 11-24 ตุลาคม 2560 ประมาณต้นเดือนกันยายน ผู้นำค่ายหรือ Workcamp Leader ชาวญี่ปุ่นก็ส่งอีเมล์ถึงทุกคนเพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมตัว และการเดินทางไปยังจุดนัดพบ เราเลือกซื้อตั๋วไปกลับสนามบินคันไซ ต้องเดินทางไปที่ฮิโรชิมาแล้วก็ต่อรถไฟไปเมืองมิโยชิ ซึ่งก็คือจุดนัดพบแล้วก็นั่งรถไฟสาย Sanko line ไปลงสถานี Iwami-Tsuga สถานีที่ใกล้ที่พักมากที่สุด
ที่พักของพวกเราเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องครัว ห้องประชุม ห้องอาหาร ห้องนอนผู้ชาย ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ และพื้นที่ทำงาน ส่วนชั้นสองเป็นห้องนอนผู้หญิง (เสื่อตาตามิกับที่นอนแบบฟูกฟูตอง) แล้วก็ห้องน้ำผู้หญิง สมาชิกในค่ายมีทั้งหมด 8 คน เป็นชาวญี่ปุ่น 3 คน กับชาวเกาหลี สเปน เม็กซิโก เยอรมัน ชาติละ 1 คน รวมเราด้วยเป็น 8 คน ชาย 4 หญิง 4 พอดี ช่วงแรกๆ เรามีปัญหาการฟังเล็กน้อย เพราะเพื่อนชาวสเปนกับเยอรมัน พูดภาษาอังกฤษแบบรัวเร็วมาก แต่พอคุยกันบ่อยขึ้นก็เริ่มดีขึ้น ส่วนชาวเอเชียด้วยกัน ก็เหมือนจะพูดและคุยกันรู้เรื่องมากกว่า ที่สำคัญคือทุกคนน่ารักมากจริงๆ
สิ่งที่พวกเราทุกคนต้องทำตลอดเวลา 14 วันที่นี่ก็คือ ทำอาหารเองทุกมื้อ แบ่งเวรกันวันละ 3 คน และก็มีเวรล้างจานด้วย ที่หมู่บ้านนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อหรือร้านคอนวีเนียนสโตร์แบบในเมืองใหญ่ ที่มีก็จะเป็นเหมือนมินิมาร์ทแบบท้องถิ่น ไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมงและมีของค่อนข้างจำกัด ในบางมื้อจะมีพิเศษหน่อยคือ มีชาวบ้านในหมู่บ้านนำวัตถุดิบมาให้หรือบางวันก็มาช่วยทำด้วย เพื่อนๆที่นี่ทำอาหารเก่งและทำอร่อยกันทุกคน เราประทับใจนาเบะซุป กับข้าวห่อไข่มากๆ ^^
ในส่วนของงานหลักในการมาร่วมค่ายครั้งนี้ จะเป็นการทำ Bamboo Lantern หรือ โคมไฟไม้ไผ่ เพื่อประดับตกแต่งศาลเจ้าในงานเทศกาลประจำปี ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม 2560 พวกเราทุกคนต้องลงมือทำทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขึ้นไปตัดไม้ไผ่บนเขา เอาลงมาตัดแบ่งเป็นท่อน ออกแบบ ดีไซน์ลวดลายบนไม้ไผ่แล้วก็ออกแบบการจัดวางที่ศาลเจ้าด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันก็คือร่วมขบวนการแสดงที่เรียกว่า Gakuuchi เป็นการเดินประกอบการแสดงดนตรีท้องถิ่นในวันงานเทศกาลโดยมีเครื่องดนตรี 4 ชิ้น ประกอบด้วย กลองเล็ก กลองใหญ่ ขลุ่ย และฉิ่ง พวกเรา 8 คน ต้องแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อเข้าร่วมซ้อมกับ 3 หมู่บ้านในมิซาโตะ (ถ้าเทียบกับไทยก็คล้ายๆ 3 พื้นที่หมู่บ้านในตำบลนั้นๆ) คือ ฮงโกะ คามิโนะ และ นากาโต้ เราและเพื่อนชาวญี่ปุ่นอีกคนได้ไปร่วมซ้อมกับหมู่บ้านนากาโต้ แต่เนื่องจากเราเล่นเครื่องดนตรีไม่ได้เลยและเวลาสำหรับซ้อมมีแค่ 3 วันเท่านั้น ก็ทำได้แค่ถือไม้ไผ่ร่วมขบวนในวันจริง >< ส่วนเพื่อนๆบางคนที่หมู่บ้านอื่น บางคนก็ได้ตีกลองเล็กร่วมกับเด็กๆตามความถนัด ความพิเศษของการแสดง Gakuuchi ในความรู้สึกเรา คือ กลองใหญ่ หรือกลอง Taiko เพราะมันไม่ใช่แค่การตีกลอง แต่มันคือศิลปะที่มีท่วงท่าและลีลาที่สง่างาม พร้อมเพรียงกันมากๆ เด็กๆที่เลือกเล่นเครื่องดนตรีนี้ ต้องฝึกซ้อมอย่างหนักแล้วก็ต้องแข็งแรงมาก เพราะวันจริงต้องเดินไปด้วย แสดงลีลาประกอบไปด้วย แล้วก็ตีกลองไปด้วย แถมยังต้องแต่งตัวชุดยูกาตะแบบเต็มยศอีก
วันงานเทศกาลเป็นวันที่เหนื่อยมากๆวันหนึ่ง พวกเราทุกคนต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปเตรียมตัวร่วมขบวนกับหมู่บ้านของตัวเองที่จุดเริ่มต้นหมู่บ้านนั้นๆ แล้วเดินประกอบการแสดงมาเจอกันที่จุดนัดพบก่อนขึ้นไปบนศาลเจ้า ระยะทางตั้งแต่เริ่มเดินจนมาถึงจุดนัดพบ รวมแล้วประมาณ 10 กิโลเมตรได้ แต่ก็ไม่ได้เดินตลอดนะคะ มีจุดพักดื่มน้ำ ทานของว่าง กับจุดพักทานอาหารกลางวันด้วย พอมาถึงจุดที่รวมตัว ก็เดินขึ้นไปบนศาลเจ้าด้วยกัน แล้วก็มีการประกอบพิธีตามความเชื่อแบบชินโต เด็กๆที่ตีกลองใหญ่จากทุกบ้านจะรวมตัวกันแล้วก็แสดงการตีกลองแบบยิ่งใหญ่อลังการมาก กว่าพิธีการทุกอย่างจะเสร็จสิ้นและกลับที่พักได้อีกครั้งก็เกือบ 4 โมงเย็น จากนั้น ประมาณ 6 โมงเย็น การจุดเทียนใน Bamboo lantern และงานกลางคืนก็เริ่มขึ้น นอกจากมีBamboo lantern ให้ชมแล้ว ก็มีการแสดงบนเวทีแบบท้องถิ่นที่เรียกว่า Iwami Kagura ebisu บรรยากาศของงานคล้ายๆงานวัดเล็กๆบ้านเรา แล้วก็มีชาวเมืองมิซาโตะให้ความสนใจมาร่วมงานเยอะมาก
ในระหว่าง 14 วันนี้ มีวันที่เป็น ฟรีเดย์ 2 วัน ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม และ 22 ตุลาคม ฟรีเดย์วันที่ 15 พวกเราไปเที่ยวที่ Sanbe San หรือ ภูเขาซานเบ เป็นที่เที่ยวบนเขาที่บรรยากาศดีมาก เสียดายฝนตกทั้งวันเลยไม่ค่อยได้ออกไปถ่ายรูปบรรยากาศเลย ที่นี่พวกเราได้เรียนทำโซบะ ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของซานเบ แล้วก็ได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศมื้อกลางวันไปทานแฮมเบอร์เกอร์ที่ Sanbe Berger ร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่บรรยากาศดีมากๆ อร่อยมากด้วย
ส่วนฟรีเดย์อีกวันตรงกับวันที่ 22 ตุลาคม คือหลังวันงานเทศกาลนั่นเอง เป็นวันว่างๆ สบายๆ ของพวกเรา มื้อกลางวันออกไปทานโซบะร้านดังของเมืองด้วยกัน แล้วช่วงบ่ายก็ไปเรียนทำเซรามิกร่วมกับ นักศึกษาชาวบราซิลที่มาอยู่เมืองนี้ในโครงการเกี่ยวกับการทำเซรามิก แล้วก็มีปาร์ตี้เล็กๆกันช่วงค่ำ
ตอนไปถึงวันแรก รู้สึกว่า 14 วัน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน แต่พอถึงวันสุดท้ายก่อนจากลากันจริงๆ ก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเป็นไปได้อยากอยู่ต่อและใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะมันเหมือนได้อยู่อีกโลกหนึ่ง ที่เราคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วในชีวิต เป็นความสุข ความทรงจำ ความประทับใจที่จะไม่มีวันลืมแน่นอน
ปล.ภาพส่วนใหญ่ย้อนแสงนะคะ เพราะฝนตกเกือบทุกวันเลยค่ะ ><
แชร์ประสบการณ์ ไป Workcamp แบบ Short-term ที่ Misato เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัด Shimane ประเทศญี่ปุ่น
หลังจากนั้นเราก็ติดต่อกับ Partner ในไทยนั่นก็คือ Dalaa เพื่อขอใบสมัครและส่งไปที่ NICE รอไม่นานก็ได้รับการตอบรับกลับมา คือตอบรับให้เราเป็นหนึ่งในผู้ร่วมค่ายนั่นเอง ระหว่างนั้นทางพาร์ทเนอร์ก็จะส่งรายละเอียดมาให้เป็นระยะว่าต้องทำอย่างไรและต้องเตรียมตัวอะไรบ้างก่อนเดินทาง สิ่งที่เราต้องออกค่าใช้จ่ายเองคือ ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับและค่าเดินทางที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการทำประกันการเดินทางด้วย
1 เดือนก่อนเดินทาง คือ ค่ายนี้จัดขึ้นระหว่าง 11-24 ตุลาคม 2560 ประมาณต้นเดือนกันยายน ผู้นำค่ายหรือ Workcamp Leader ชาวญี่ปุ่นก็ส่งอีเมล์ถึงทุกคนเพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมตัว และการเดินทางไปยังจุดนัดพบ เราเลือกซื้อตั๋วไปกลับสนามบินคันไซ ต้องเดินทางไปที่ฮิโรชิมาแล้วก็ต่อรถไฟไปเมืองมิโยชิ ซึ่งก็คือจุดนัดพบแล้วก็นั่งรถไฟสาย Sanko line ไปลงสถานี Iwami-Tsuga สถานีที่ใกล้ที่พักมากที่สุด
ที่พักของพวกเราเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องครัว ห้องประชุม ห้องอาหาร ห้องนอนผู้ชาย ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ และพื้นที่ทำงาน ส่วนชั้นสองเป็นห้องนอนผู้หญิง (เสื่อตาตามิกับที่นอนแบบฟูกฟูตอง) แล้วก็ห้องน้ำผู้หญิง สมาชิกในค่ายมีทั้งหมด 8 คน เป็นชาวญี่ปุ่น 3 คน กับชาวเกาหลี สเปน เม็กซิโก เยอรมัน ชาติละ 1 คน รวมเราด้วยเป็น 8 คน ชาย 4 หญิง 4 พอดี ช่วงแรกๆ เรามีปัญหาการฟังเล็กน้อย เพราะเพื่อนชาวสเปนกับเยอรมัน พูดภาษาอังกฤษแบบรัวเร็วมาก แต่พอคุยกันบ่อยขึ้นก็เริ่มดีขึ้น ส่วนชาวเอเชียด้วยกัน ก็เหมือนจะพูดและคุยกันรู้เรื่องมากกว่า ที่สำคัญคือทุกคนน่ารักมากจริงๆ
สิ่งที่พวกเราทุกคนต้องทำตลอดเวลา 14 วันที่นี่ก็คือ ทำอาหารเองทุกมื้อ แบ่งเวรกันวันละ 3 คน และก็มีเวรล้างจานด้วย ที่หมู่บ้านนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อหรือร้านคอนวีเนียนสโตร์แบบในเมืองใหญ่ ที่มีก็จะเป็นเหมือนมินิมาร์ทแบบท้องถิ่น ไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมงและมีของค่อนข้างจำกัด ในบางมื้อจะมีพิเศษหน่อยคือ มีชาวบ้านในหมู่บ้านนำวัตถุดิบมาให้หรือบางวันก็มาช่วยทำด้วย เพื่อนๆที่นี่ทำอาหารเก่งและทำอร่อยกันทุกคน เราประทับใจนาเบะซุป กับข้าวห่อไข่มากๆ ^^
ในส่วนของงานหลักในการมาร่วมค่ายครั้งนี้ จะเป็นการทำ Bamboo Lantern หรือ โคมไฟไม้ไผ่ เพื่อประดับตกแต่งศาลเจ้าในงานเทศกาลประจำปี ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม 2560 พวกเราทุกคนต้องลงมือทำทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขึ้นไปตัดไม้ไผ่บนเขา เอาลงมาตัดแบ่งเป็นท่อน ออกแบบ ดีไซน์ลวดลายบนไม้ไผ่แล้วก็ออกแบบการจัดวางที่ศาลเจ้าด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันก็คือร่วมขบวนการแสดงที่เรียกว่า Gakuuchi เป็นการเดินประกอบการแสดงดนตรีท้องถิ่นในวันงานเทศกาลโดยมีเครื่องดนตรี 4 ชิ้น ประกอบด้วย กลองเล็ก กลองใหญ่ ขลุ่ย และฉิ่ง พวกเรา 8 คน ต้องแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อเข้าร่วมซ้อมกับ 3 หมู่บ้านในมิซาโตะ (ถ้าเทียบกับไทยก็คล้ายๆ 3 พื้นที่หมู่บ้านในตำบลนั้นๆ) คือ ฮงโกะ คามิโนะ และ นากาโต้ เราและเพื่อนชาวญี่ปุ่นอีกคนได้ไปร่วมซ้อมกับหมู่บ้านนากาโต้ แต่เนื่องจากเราเล่นเครื่องดนตรีไม่ได้เลยและเวลาสำหรับซ้อมมีแค่ 3 วันเท่านั้น ก็ทำได้แค่ถือไม้ไผ่ร่วมขบวนในวันจริง >< ส่วนเพื่อนๆบางคนที่หมู่บ้านอื่น บางคนก็ได้ตีกลองเล็กร่วมกับเด็กๆตามความถนัด ความพิเศษของการแสดง Gakuuchi ในความรู้สึกเรา คือ กลองใหญ่ หรือกลอง Taiko เพราะมันไม่ใช่แค่การตีกลอง แต่มันคือศิลปะที่มีท่วงท่าและลีลาที่สง่างาม พร้อมเพรียงกันมากๆ เด็กๆที่เลือกเล่นเครื่องดนตรีนี้ ต้องฝึกซ้อมอย่างหนักแล้วก็ต้องแข็งแรงมาก เพราะวันจริงต้องเดินไปด้วย แสดงลีลาประกอบไปด้วย แล้วก็ตีกลองไปด้วย แถมยังต้องแต่งตัวชุดยูกาตะแบบเต็มยศอีก
วันงานเทศกาลเป็นวันที่เหนื่อยมากๆวันหนึ่ง พวกเราทุกคนต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปเตรียมตัวร่วมขบวนกับหมู่บ้านของตัวเองที่จุดเริ่มต้นหมู่บ้านนั้นๆ แล้วเดินประกอบการแสดงมาเจอกันที่จุดนัดพบก่อนขึ้นไปบนศาลเจ้า ระยะทางตั้งแต่เริ่มเดินจนมาถึงจุดนัดพบ รวมแล้วประมาณ 10 กิโลเมตรได้ แต่ก็ไม่ได้เดินตลอดนะคะ มีจุดพักดื่มน้ำ ทานของว่าง กับจุดพักทานอาหารกลางวันด้วย พอมาถึงจุดที่รวมตัว ก็เดินขึ้นไปบนศาลเจ้าด้วยกัน แล้วก็มีการประกอบพิธีตามความเชื่อแบบชินโต เด็กๆที่ตีกลองใหญ่จากทุกบ้านจะรวมตัวกันแล้วก็แสดงการตีกลองแบบยิ่งใหญ่อลังการมาก กว่าพิธีการทุกอย่างจะเสร็จสิ้นและกลับที่พักได้อีกครั้งก็เกือบ 4 โมงเย็น จากนั้น ประมาณ 6 โมงเย็น การจุดเทียนใน Bamboo lantern และงานกลางคืนก็เริ่มขึ้น นอกจากมีBamboo lantern ให้ชมแล้ว ก็มีการแสดงบนเวทีแบบท้องถิ่นที่เรียกว่า Iwami Kagura ebisu บรรยากาศของงานคล้ายๆงานวัดเล็กๆบ้านเรา แล้วก็มีชาวเมืองมิซาโตะให้ความสนใจมาร่วมงานเยอะมาก
ในระหว่าง 14 วันนี้ มีวันที่เป็น ฟรีเดย์ 2 วัน ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม และ 22 ตุลาคม ฟรีเดย์วันที่ 15 พวกเราไปเที่ยวที่ Sanbe San หรือ ภูเขาซานเบ เป็นที่เที่ยวบนเขาที่บรรยากาศดีมาก เสียดายฝนตกทั้งวันเลยไม่ค่อยได้ออกไปถ่ายรูปบรรยากาศเลย ที่นี่พวกเราได้เรียนทำโซบะ ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของซานเบ แล้วก็ได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศมื้อกลางวันไปทานแฮมเบอร์เกอร์ที่ Sanbe Berger ร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่บรรยากาศดีมากๆ อร่อยมากด้วย
ส่วนฟรีเดย์อีกวันตรงกับวันที่ 22 ตุลาคม คือหลังวันงานเทศกาลนั่นเอง เป็นวันว่างๆ สบายๆ ของพวกเรา มื้อกลางวันออกไปทานโซบะร้านดังของเมืองด้วยกัน แล้วช่วงบ่ายก็ไปเรียนทำเซรามิกร่วมกับ นักศึกษาชาวบราซิลที่มาอยู่เมืองนี้ในโครงการเกี่ยวกับการทำเซรามิก แล้วก็มีปาร์ตี้เล็กๆกันช่วงค่ำ
ตอนไปถึงวันแรก รู้สึกว่า 14 วัน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน แต่พอถึงวันสุดท้ายก่อนจากลากันจริงๆ ก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเป็นไปได้อยากอยู่ต่อและใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะมันเหมือนได้อยู่อีกโลกหนึ่ง ที่เราคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วในชีวิต เป็นความสุข ความทรงจำ ความประทับใจที่จะไม่มีวันลืมแน่นอน
ปล.ภาพส่วนใหญ่ย้อนแสงนะคะ เพราะฝนตกเกือบทุกวันเลยค่ะ ><