คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
แพงกว่าตรงพวกวิตามินกับสารสกัดสูตรต่างๆที่ผสมเข้าไปเพื่อช่วยในการบำรุงเส้นผม
ทำให้ต้นทุนสูงกว่าน้ำยาล้างจานครับ แต่จุดนี้ยังไม่ทำให้ต้นทุนพุ่งสูงมากเท่าไหร่
อย่างมากก็ราวๆสองเท่าอย่างที่จขกท.คาดเดานั่นแหละครับ ในส่วนของวัตถุดิบ
อย่างที่สองคือค่าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ น้ำยาล้างจานทุกวันนี้สูตรมันอยู่ตัวแล้วครับ
จุดประสงค์คือล้างภาชนะและคราบไขมันต่างๆได้สะอาดเอี่ยมโดยไม่อันตรายต่อคน
ซึ่งมันก็ทำได้ตามจุดประสงค์มันแล้ว ใช้ล้างได้ตั้งแต่คราบอาหารยันคราบจารบีเลย
ผู้ใช้น้ำยาล้างจานก็แทบไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว
แต่แชมพูมันไม่ใช่ มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับความสวยความงามซึ่งคนเราต้องการไม่มีที่สิ้นสุด
ต้องพัฒนาต่อเรื่อยๆแถมแต่ละคนยังมีความต้องการไม่เหมือนกันอีกต่างหาก ทำให้ในท้องตลาด
มีแชมพูผลิตออกมาเรื่อยๆทุกวันนี้น่าจะเป็นหลายร้อยสูตรให้เลือกใช้ ค่าวิจัยและพัฒนาจึงสูง
เรื่องปริมาณการผลิตนี่ก็เกี่ยวข้องกับต้นทุน ตามหลักการตลาดยิ่งผลิตของที่เหมือนกันได้เยอะเท่าไหร่
ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยก็ยิ่งถูกลง น้ำยาล้างจานอย่างที่ผมบอกมันอยู่ตัวแล้วในตลาดมีแค่ไม่กี่สูตร
ส่วนมากต่างกันแค่กลิ่น สมมุติมีออเดอร์มา20,000หน่วย ต้องการกลิ่นยอดนิยมคือกลิ่นมะนาว
สั่งผลิต17,000หน่วย กลิ่นที่ต้องการรองลงมาคือกลิ่นมะกรูดสั่งผลิต3,000หน่วย
ดังนั้นไอ้ของที่ผลิตมาซ้ำกัน17,000ชิ้นราคาย่อมถูกกว่าแน่นอน ส่วนอีกกลิ่นที่ผลิตแค่3,000ชิ้น
ก็จะขายแพงกว่าเล็กน้อย (ราคาขายปลีกอาจไม่เป็นตามหลักนี้เสมอไปเพราะห้างใหญ่ๆชอบจัดโปร)
ส่วนแชมพูมีหลายสูตรมากๆ ทั้งขจัดรังแค สูตรบำรุงผมแตกปลาย สูตรลดผมขาด ฯลฯเยอะแยะขี้เกียจนับ
เวลาจะผลิตสมมุติออเดอร์เข้า20,000ขวด แต่ต้องมาแบ่งซอยอีกหลายสูตร สมมุติต้องผลิต5สูตร
สูตรละ4,000ขวด ต้นทุนมันก็อาจจะยังไม่ถูกลดลงมาเท่าไหร่ครับ
อีกเรื่องคือต้นทุนโฆษณา น้ำยาล้างจานมันเจาะกลุ่มแม่บ้านเสียส่วนใหญ่ การทำโฆษณา
จึงไม่จำเป็นต้องจ้างดาราค่าตัวแพงๆมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่ต้องจัดอีเวนท์เปิดตัวใหญ่โต
ไม่ต้องอัดแคมเปญสินค้ามากมาย ยกตัวอย่างจะทำโฆษณาทีวีก็หาคนที่มีลุคแม่บ้านหน้าตาดีหน่อย
เอามาแคสติ้งผ่านพอถ่ายโฆษณาได้ก็พอ หรือถ้าจะจ้างดาราก็ไม่จำเป็นต้องจ้างระดับซุปตาร์
ต้นทุนการทำตลาดของน้ำยาล้างจานจึงไม่สูงมาก ก็เลยกระทบต้นทุนสินค้าเท่าไหร่
ทีนี้มาดูแชมพู ถ้าทำตลาดจริงๆจังๆก็ต้องเลือกระดับซุปตาร์คนถึงจะเชื่อถือมีแรงดึงดูด
เพราะมันเกี่ยวกับความงาม แล้วดาราระดับนั้นค่าตัวแพงมากๆ จ้างมาเปิดตัวสินค้า
ถ่ายทำโฆษณาทีวี จัดออกอีเวนต์ต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายเยอะกว่าไม่รู้กี่เท่า
อย่างเช่น อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, ญาญ่า อุรัสยา ระดับนี้ค่าตัวแปดหลักทั้งนั้น
ไหนจะต้องเสียค่าเช่าเวลาโฆษณาอีก ต้นทุนทำโฆษณาพวกนี้บางแบรนด์หลักร้อยล้านต่อปีครับ
สำหรับแบรนด์ดังๆ ดังนั้นเขาก็ต้องบวกค่าโฆษณาเข้ามาในต้นทุนด้วยก็เลยแพงขึนไปอีก
ทั้งหมดนี่เล่าจากที่อาจารย์เคยบรรยายให้ฟังในห้องเรียนสมัยผมเรียนที่มหาวิทยาลัยครับ
ปัจจุบันก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่
ทำให้ต้นทุนสูงกว่าน้ำยาล้างจานครับ แต่จุดนี้ยังไม่ทำให้ต้นทุนพุ่งสูงมากเท่าไหร่
อย่างมากก็ราวๆสองเท่าอย่างที่จขกท.คาดเดานั่นแหละครับ ในส่วนของวัตถุดิบ
อย่างที่สองคือค่าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ น้ำยาล้างจานทุกวันนี้สูตรมันอยู่ตัวแล้วครับ
จุดประสงค์คือล้างภาชนะและคราบไขมันต่างๆได้สะอาดเอี่ยมโดยไม่อันตรายต่อคน
ซึ่งมันก็ทำได้ตามจุดประสงค์มันแล้ว ใช้ล้างได้ตั้งแต่คราบอาหารยันคราบจารบีเลย
ผู้ใช้น้ำยาล้างจานก็แทบไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว
แต่แชมพูมันไม่ใช่ มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับความสวยความงามซึ่งคนเราต้องการไม่มีที่สิ้นสุด
ต้องพัฒนาต่อเรื่อยๆแถมแต่ละคนยังมีความต้องการไม่เหมือนกันอีกต่างหาก ทำให้ในท้องตลาด
มีแชมพูผลิตออกมาเรื่อยๆทุกวันนี้น่าจะเป็นหลายร้อยสูตรให้เลือกใช้ ค่าวิจัยและพัฒนาจึงสูง
เรื่องปริมาณการผลิตนี่ก็เกี่ยวข้องกับต้นทุน ตามหลักการตลาดยิ่งผลิตของที่เหมือนกันได้เยอะเท่าไหร่
ต้นทุนสินค้าต่อหน่วยก็ยิ่งถูกลง น้ำยาล้างจานอย่างที่ผมบอกมันอยู่ตัวแล้วในตลาดมีแค่ไม่กี่สูตร
ส่วนมากต่างกันแค่กลิ่น สมมุติมีออเดอร์มา20,000หน่วย ต้องการกลิ่นยอดนิยมคือกลิ่นมะนาว
สั่งผลิต17,000หน่วย กลิ่นที่ต้องการรองลงมาคือกลิ่นมะกรูดสั่งผลิต3,000หน่วย
ดังนั้นไอ้ของที่ผลิตมาซ้ำกัน17,000ชิ้นราคาย่อมถูกกว่าแน่นอน ส่วนอีกกลิ่นที่ผลิตแค่3,000ชิ้น
ก็จะขายแพงกว่าเล็กน้อย (ราคาขายปลีกอาจไม่เป็นตามหลักนี้เสมอไปเพราะห้างใหญ่ๆชอบจัดโปร)
ส่วนแชมพูมีหลายสูตรมากๆ ทั้งขจัดรังแค สูตรบำรุงผมแตกปลาย สูตรลดผมขาด ฯลฯเยอะแยะขี้เกียจนับ
เวลาจะผลิตสมมุติออเดอร์เข้า20,000ขวด แต่ต้องมาแบ่งซอยอีกหลายสูตร สมมุติต้องผลิต5สูตร
สูตรละ4,000ขวด ต้นทุนมันก็อาจจะยังไม่ถูกลดลงมาเท่าไหร่ครับ
อีกเรื่องคือต้นทุนโฆษณา น้ำยาล้างจานมันเจาะกลุ่มแม่บ้านเสียส่วนใหญ่ การทำโฆษณา
จึงไม่จำเป็นต้องจ้างดาราค่าตัวแพงๆมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่ต้องจัดอีเวนท์เปิดตัวใหญ่โต
ไม่ต้องอัดแคมเปญสินค้ามากมาย ยกตัวอย่างจะทำโฆษณาทีวีก็หาคนที่มีลุคแม่บ้านหน้าตาดีหน่อย
เอามาแคสติ้งผ่านพอถ่ายโฆษณาได้ก็พอ หรือถ้าจะจ้างดาราก็ไม่จำเป็นต้องจ้างระดับซุปตาร์
ต้นทุนการทำตลาดของน้ำยาล้างจานจึงไม่สูงมาก ก็เลยกระทบต้นทุนสินค้าเท่าไหร่
ทีนี้มาดูแชมพู ถ้าทำตลาดจริงๆจังๆก็ต้องเลือกระดับซุปตาร์คนถึงจะเชื่อถือมีแรงดึงดูด
เพราะมันเกี่ยวกับความงาม แล้วดาราระดับนั้นค่าตัวแพงมากๆ จ้างมาเปิดตัวสินค้า
ถ่ายทำโฆษณาทีวี จัดออกอีเวนต์ต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายเยอะกว่าไม่รู้กี่เท่า
อย่างเช่น อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, ญาญ่า อุรัสยา ระดับนี้ค่าตัวแปดหลักทั้งนั้น
ไหนจะต้องเสียค่าเช่าเวลาโฆษณาอีก ต้นทุนทำโฆษณาพวกนี้บางแบรนด์หลักร้อยล้านต่อปีครับ
สำหรับแบรนด์ดังๆ ดังนั้นเขาก็ต้องบวกค่าโฆษณาเข้ามาในต้นทุนด้วยก็เลยแพงขึนไปอีก
ทั้งหมดนี่เล่าจากที่อาจารย์เคยบรรยายให้ฟังในห้องเรียนสมัยผมเรียนที่มหาวิทยาลัยครับ
ปัจจุบันก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่
แสดงความคิดเห็น
ทำไม?แชมพูสระผมกับน้ำยาล้างจานถึงราคาแตกต่างกันมาก!