รวบรวมเนื้อหาและสปอย หนังแฟรนไซส์ "เจสัน บอร์น" ทุกภาค

ก่อนอื่นถ้าข้อมูลตรงไหนที่ผมพูดผิดก็ขออภัยด้วยครับ เพราะบางทีก็มีลืมเนื้อหาในหนังบางภาค ... สำหรับหนังตระกูลสายลับ ที่ดังๆ คนทั่วโลกตั้งตารอดูมีไม่กี่เรื่อง เช่น Mission Impossible กับ 007 James Bond ซึ่งหนังแฟรนไซส์ทั้งสองต่างโลดแล่นในโลกภาพยนตร์อย่างยาวนาน โดยเฉพาะ เจมส์ บอนด์ ที่เปลี่ยนนักแสดงและรีบูทมาทำหลายครั้ง ส่วน MI หนังดัง ทอม ครูซ ซึ่งปัจจุบันมีห้าภาคแล้ว แกเล่นตั้งแต่หนุ่มจนปัจจุบันแกแก่แล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องนี้จะออกแนวจารชนที่ทำงานเป็นทีมและมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการทำภารกิจ
ในปี 2002 ค่ายหนังยูนิเวอร์ พิคเจอร์ ได้ออกฉายหนังสายลับเรื่องหนึ่งออกมา ซึ่ง ณ เวลานั้นหลายกระแสไม่ดีนัก เพราะหนังเรื่องนี้ระหว่างการถ่ายทำมีการแก้บทบ่อยครั้ง แต่คำสปประมาทเหล่านั้นก็จางหายไป เมื่อหนังเรื่องนี้ทำรายได้ไป 240 ล้านดอลล่าร์ทั่วโลก จากทุนสร้าง 60 ล้านดอล สร้างชื่อให้ เเมตต์ เดม่อน นักแสดงนำ กับ ผกก.ดั๊ก ไลแมน หนังเรื่องนี้คือ
THE BOURNE IDENTITY ชื่อไทย ล่ายอดจารชน คนอันตราย

เปิดตำนานสายลับนักฆ่าความจำเสื่อม
ภาคหนึ่ง The Bourne Identity ล่ายอดจารชน คนอันตราย
ผกก. ดั๊กไลแมน ตัวละครกับเนื้อเรื่องอ้างอิงจากหนังสือชื่อเดียวกับหนังของนักเขียนชาวอเมริกัน โรเบิร์ต ลัดลั่ม
นักแสดง : แมตต์ เดม่อน, คริส คูเปอร์, ไบรอัน คอกซ์, จูเลีย สไตล์ ,แฟรงกา โพเทนเต้
ช่วงสปอยแหลก : หลังชาวประมงได้พบร่างคนลอยอยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ท่ามกลางพายุ กับแสงไฟติดตัวที่ส่งสัญญาณวิ๊บๆ พวกชาวประมงได้ช่วยเขาขึ้นมาบนเรือ คนนึงในพวกชาวประมงได้ทำร่างของชายคนนี้ขึ้นโต๊ะ ทำการเช็คดู พบว่ามีกระสุนฝังอยู่ร่างของเขา 2 นัด เขาจึงทำการปฐมพยาบาลให้ชายนิรนามที่สงบอยู่นี้ และเขายังพบแท่งประหลาดฝังอยู่ที่สะโพก เขาจึงผ่าออกดู พบว่าแท่งนี้มีแสงไฟสีแดง เมื่อนำไปส่องกับผนังจะเห็นชื่อธนาคารในเมืองซูริก ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมกับหมายเลขบัญชี หลังจากนั้นไม่นานชายนิรนามผู้นี้ได้ฟื้นตัวและเข้าจู่โจมชาวประมงผู้นี้ และถามว่า "นายคิดจะทำอะไรกับฉัน" ชาวประมงตอบว่า "เราพบนายนอนอยู่กลางทะเล จึงช่วยขึ้นมา" และเมื่อชาวประมงถามชื่อชายนิรนามผู้นี้ เขาก็บอกว่าเขาจำชื่อตัวเองไม่ได้ หลังจากนั้นผ่านไปสองสัปดาห์ ชายนิรนามผู้นี้ได้ใช้ชีวิตอยู่บนเรือประมง ซึ่งระหว่างนั้นเขาพบว่า เขาสามารถพูดได้หลายภาษา และสามารถบวกลบเลขได้ แจกไพ่ได้ ชงกาแฟและผูกเชือกได้ ทำงานทั่วไปได้เหมือนคนปกติ แต่เขาไม่สามารถจำตัวเองได้ วันต่อมาเรือประมงได้เข้าท่า และชาวประมงได้ให้เงินจำนวนหนึ่งกับเขาไว้ ซึ่งเงินนี่ไม่มากแต่ให้เขาไปถึงเมืองซูริกได้ ตัดมาที่สำนักงาน ซีไอเอ ชายคนนึงเดินมาเคาะประตู และเข้ามาบอกกับชายที่นั่งอยู่ว่า "ท่านครับ ยืนยันแล้วว่า ปฎิบัติการล้มเหลว" ชายที่นั่งอยู่ก็พยักหน้าและถือรูปเรือสำราญใบหนึ่งไว้

การสืบหาตนเองเริ่มต้นขึ้น พร้อมพบทักษะนักฆ่า
เขาได้นั่งรถไฟมายังเมืองซูริก ระหว่างนั้นในค่ำคืนยังหนาวเหน็บ เขาได้นอนที่ที่นั่งยาวในสวนสาธารณะขณะนั้นเองมีตำรวจสองนายมาเดินลาดตระเวนและพบเขา จึงเรียกเขาและขอดูบัตรประจำตัว ซึ่งชายนิรนามบอกไปว่าไม่มี เขาทำบัตรหาย จากนั้นตำรวจนายหนึ่งเอาไม้กระบองมาแตะไหล่ของเขา ทันใดนั้นเองเขาได้จับไม้กระบองของตำรวจ และทำการแย่งกระบองตำรวจมาต่อสู้ อย่างชำนาญและรวดเร็ว และเขาสามารถปลดอาวุธปืนจากนายตำรวจคนหนึ่งได้ นายตำรวจสองคนล้มหมดสติ ก่อนที่เขาจะทิ้งปืนของตำรวจและวิ่งหนีไป
ตัดมาที่เมืองแลงลีย์ รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา สำนักงานหน่วยข่าวกรอง ซีไอเอ ในห้องประชุมซึ่งมีจนท.จำนวนหนึ่งนั่งดูบทสัมภาษณ์ ชายผิวสี ในสภาพที่โมโห ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในเมืองปารีส ว่า "เขาเพิ่งจะรอดตายจากเหตุการณ์ลอบสังหาร เขาจะเปิดโปงรายชื่อของพวกซีไอเอ" เขาเชื่อว่าพวกซีไอเอต้องการกำจัดเขา ชายผิวสีคนนี้ ชื่อ นิคโคว่า กาลาซี่ เป็นผู้ลี้ภัยหัวรุนแรงชาวไนจีเรียที่มีกองกำลังเล็กๆของตัวเอง ซึ่งหลังจากดูคลิปสัมภาษณ์จบ จนท.คนนึงบอกว่า ท่านผอ.ซีไอเออยากทราบว่าข่าวนี้มันมีมูลความจริงไหม ซึ่งเขาบอกว่าคนของเขาไม่มีใครบ้าพอที่จะทำการสังหารในครั้งนี้ ในที่ประชุมนั้นมี วอร์ด แอ็บบอร์ด นั่งประชุมด้วย หลังจากนั้น วอร์ด ได้ไปพบกับ คองคลิน ชายที่นั่งอยู่ในห้องตอนแรก นั่งคุยกันถึงเรื่อง โครงการเทรดสโตน ทั้งคู่คุยกันว่า มีการลอบสังหารนิคโคว่าเป็นเวลาสองาัปดาห์ ซึ่งลงมือแล้วแต่พลาด ซึ่งวอร์ดถามคองคลินว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคองคลินตอบวอร์ดไปว่า มีภารกิจจริง แต่มือสังหารยังไม่ติดต่อกับมา ปกติจะติดต่อกลับมาที่ศูนย์ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่ง ณ ตอนนี้เลยเวลาไปสองสัปดาห์แล้ว ซึ่งคองคลินกับพวกทำงานที่นี้ทั้งอาทิตย์ก็ไม่มีแว่แววมือสังหารจะกลับมา ซึ่งวอร์ดพูดว่า "ทำไมคุณไม่รายงานผมเรื่องนี้" คองคลินตอบกลับว่า "ก็คุณไม่อยากรู้เรื่องนี้" วอร์ดตอบกลับว่า "ก็คุณไม่เคยทำพลาดหนิ"
ตัดมาชายนิรนามคนนี้ได้เดินทางมาถึงธนาคารซูริก เขาเดินเข้าไปในธนาคารพร้อมกับเสื้อผ้าเก่าๆและท่าทางที่แปลกๆ เขาเดินไปที่เคาท์เตอร์พนักงานคนหนึ่ง เขาถามว่า "ผมต้องการติดต่อหมายเลขบัญชีของผม" พนักงานสาวที่นั่งได้ยื่นใบกรอกเลขบัญชี ให้และบอกให้เขากรอกเลขบัญชี พร้อมสายตามองแบบเหยียดหยาม เขาได้ขึ้นลิฟท์ไปชั้นนึงในตึก เมื่อเขาเดินออกมาจากลิฟท์ เขาพบจนท.คนหนึ่งหยุดให้เขาสแกนรายนิ้วมือทั้งห้าของเขาบนจอมอนิเตอร์จอหนึ่ง เมื่อเขาแนบมือทั้งห้าข้างขวาลงไป เครื่องทำการสแกนนิ้วให้ห้าของเขาซึ่งผลออกมาคือ อนุญาต เขาได้ไปนั่งรอให้ห้องแคบๆห้องหนึ่งที่ปิดด้วยผ้าม่านแดง พนักงานคนนึงได้หิ้วกล่องเหล็กใบหนึ่งออกมาจากที่เก็บนำมาให้เขาในห้องพร้อมไขกุญแจให้ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไป ชายนิรนามคนนี้จึงปิดม่านสีแดงให้สนิท พร้อมเปิดกล่องออกดู สิ่งแรกที่พบคือ พาสสปอร์ตหนึ่งเล่ม คอนเเทกเลนส์ มีดพับหนึ่งเล่ม และแฟลชไดร์ฟหนึ่งอัน เขาได้หยิบพาสสปอร์ตมาเปิดดูเล่มหนึ่งพบว่า เขาชื่อ เจสัน บอร์น เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเขารู้ชื่อตัวเองงแล้ว เขาได้เปิดอีกชั้นของกล่องดู พบว่า มีพาสสปอร์ตอีกหลายเล่มมาซ้อนกันอยู่ เงินจำนวนมหาศาล หลายสกุลเงิน และปืนพกหนึ่งกระบอก พร้อมแมกกาซีนที่ถอดวางไว้ข้างกล่อง เขาทำหน้าตกใจและหยิบพาสสปอร์ตเหล่านั้นดู เขาพบว่า เขามีหลายชื่อ หลายสัญชาติ หลายประเทศที่ได้เดินทางไป และเขาได้สะดุดตากับพาสสปอร์ตใบหนึ่ง ใบนั้น เป็นพาสสปอร์ตในเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ชื่อ จอห์น ไมเคิล เคน อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เขาทำอะไรไม่ออกสักแปปนึง ก่อนจะหยิบถุงสีแดงที่วางข้างตัวเขาออกมา และกวาดของในกล่องเหล็กใส่ถุงแดงทั้งหมด เขาทิ้งไว้แต่ปืนพกหนึ่งกระบอกกับแม็กกาซีนลงในกล่องเหล็กก่อนจะเดินไปคืนที่เคาท์เตอร์และเดินเข้าลิฟท์ออกจากธนาคาร ซึ่งตอนที่เขาคืนกล่องเหล็กนั้น มีชายคนนึงยืนมองเขาด้วยสายตาแบบสงสัยก่อนจะวิทยุแจ้ง บอร์นได้ออกธนาคารมุ่งหน้าไปยังตู้โทรศัพท์เขาได้โทรติดต่อหาเบอร์ของ จอห์น ไมเคิล เคน ผ่านโอปาเรเตอร์ ซึ่งผลก็คือ มีเสียงฝากข้อความดังขึ้น เป็นเสียงของตัวเขาพูดที่อยู่ ในกรุงปารีส หลังจากนั้นเขาเดินเท้าไปตามถนน บอร์นพบกับตำรวจสองนายเดินสวนกับเขา บอร์นได้เดินหนีนายตำรวจทั้งสองมุ่งหน้าไปยังสถานทูตสหรัฐที่อยู่ไม่ห่างกับธนาคารมากนัก พร้อมยื่นพาสสปอร์ตแสดงความเป็นพลเมืองชาวอเมริกันให้จนท.หน้าสถานทูต ก่อนเขาจะเดินเข้าไปด้านใน ภายในสถานทูตที่พลุกพล่านไปด้วยคนหลายสิบคน พร้อมจนท.และทหารจำนวนหนึ่งรอบอาคาร บอร์นได้ไปยืนต่อแถวแถวหนึ่ง ระหว่างนั้นก็มีเสียงเถียงกันระหว่างผู้หญิงสาวกับจนท.สถานทูตที่เคาท์เตอร์ หญิงสาวต้องการบัตรวีซ่านักเรียน ซึ่งจนท.ไม่ให้ จึงเกิดเหตุเถียงกัน หลังจากนั้นบอร์นได้มองผู้คนรอบๆ ธงขาว.พบจนท.มองเขาด้วยท่าทีแปลกๆเขาจึงเดินออกจากแถว เดินไปยังประตูหนึ่ง มีชายคนนึงพร้อมกุญแจมือตะโกนบอกเขาว่า "คุณกระเป๋าแดงช่วยหยุดตรงนั้นและยกมือขึ้นด้วย" เขาถือกุญแจมือแล้วค่อยๆเดินไปหาบอร์น คนในสถานทูตต่างจ้องสายตามาที่บอร์น บอร์นยกมือทั้งสองข้างขึ้น ชายพร้อมกุญแจมือยืนมาจับที่ไหล่ของเขา ทันใดนั้นบอร์นก็ขัดขืนต่อสู้กับชายคนนี้ ทหารพร้อมกระบองที่เดินข้างตัวบอร์น ใช้กระบองฟาดบอร์น แต่บอร์นสามารถบล็อกไว้ได้ เขาหักแขนชายที่ถือกุญแจมือและเตะเข้าเต็มทหารที่ถือกระบองก่อนจะดันตัวชายที่เขาหักแขนไปชนกับจนท.นายหนึ่งที่ชักปืนขึ้นมาก่อนจะคว่ำทั้งสองคนลงนอนกับทหารนายนั้น พร้อมหยิบปืนที่ปลดได้จากจนท.คนนึงที่เขาเพิ่งคว่ำลง มาชูขู่คนในสถานทูต จนท.ถูกคนและคนในที่นั้นต่างหมอบลง มีทหารสองนายเดินมาข้างหลังของเขา บอร์นได้หันปืนไปทางทหารทั้งสอง ก่อนทั้งสองจะเดินถอยหลัง บอร์นรีบคว้ากระเป๋าแดงที่ตกอยู่ตอนต่อสู้ขึ้นและรีบวิ่งออกทางประตูและทิ้งปืนที่อยู่ในมือลงถังขยะ ก่อนจะมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น สถานการณ์ในสถานทูตเต็มไปด้วยความวุ่นวาย บอร์นได้วิ่งขึ้นบันไดและต่อยจนท.คนนึงล้มลงก็จะนำวิทยุสื่อสารไปด้วย เขาได้หยิบแผนที่สถานทูตไป ดูทางออก ทหารในตึกที่เหลือต่างหยิบปืนกลออกมาไล่ล่าบอร์น จนท.ในสถานทูตทุกคนหลบอยู่ในห้องทำงาน บอร์นได้พบทางออกทางหนึ่งซึ่งประตูมีกุญแจล็อคเขาได้ทำการถีบประตูออก พบว่า เขาอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร เขาทำการปีนขึ้นไปบนยอดตึกแต่เหล็กที่ราวระเบียงเกิดยุบตอนเขาเหยียบราวเหล็กทำให้กระเป๋าแดงของเขาตกลงพื้นล่างสุดซึ่ึ่งเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมถนน
บอร์นจึงเปลี่ยนแผน เขาปีนลงบันไดและเกาะซอกแคบๆของตัวอาคารลงไปชั้นล่างแบบหวาดเสียวสุดๆ ก่อนลงไปอย่างปลอดภัยและคว้ากระเป๋าแดงเดินไป ตัดมาต่อลานจอดรถสำนักงาน ซีไอเอ ชายคนนึงลูกน้องของคองคลินเดินมาด้วยท่าทางรีบ มาบอกคองคลินว่า "สายของเราในธนาคารบอกว่น ใช่เขาแน่" เขาทั้งคู่สนทนาต่อในลิฟท์ แดนนี่ ลูกน้องของคองคลินบอกว่า บอร์นกวาดของในกล่องเหล็กไปเรียบ ทิ้งไว้แต่ปืน มันหมายความว่าอย่างไร คองคลิน ตอบกลับมาไม่รู้ ใจจริง ผมอยากให้เขาตายๆไปซะเลย
เส้นทางสุดอันตรายสู่ปารีส
บอร์นได้เดินมาพบ หญิงคนนึงที่พึ่งโมโหจากการเถียงกับจนท.ในสถานทูต เธอดูรีบร้อน เธอวางกระเป๋าลงที่กระโปรงหน้ารถมินิสีเก่าคันหนึ่ง ก่อนจะหันมามองบอร์น จะถามว่า คุณมองฉันทำไม บอร์นบอกเห็นคุณในสถานทูต ผมต้องการให้คุณขับรถส่งผมไปปารีส ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับว่า ฉันไม่ใช่แท็กซี่ ก่อนจะบ่นเป็นภาษาเยอรมัน บอร์นพูดกลับเป็นภาษาเยอรมัน พร้อมโยนเงินก้อนนึงให้ผู้หญิง ต่อจากนั้น บอร์นได้ก้าวขึ้นรถเธอไป ระหว่างทางเธอคนนี้บ่นไม่หยุดปาก ส่วนบอร์นได้แต่นั่งฟังด้วยหน้าตาเครียด ตัดมาที่ซีไอเอคองคลินกับพวกนั่งกันหน้าเครียดพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับบอร์น ในภาพวงจรปิดในสถานทูต พร้อมพบภาพหนึ่งในตรอกแคบๆพบบอร์นกับผู้หญิงคนหนึ่งยยืนคุยกัน ก่อนคองคลินจะพูดว่า "แล้วนั้นมันใครกัน"
มารี เอลิน่า คลอซ์ หญิงชาวเยอรมัน เป็นเหมือนยิปซีเร่ร่อนไปอยู่หลายประเทศ มีพี่ชายต่างพ่อคนนึง พ่อเธอเป็นช่างโลหะและตายไปแล้ว มีย่าที่เหมือนที่ยึดหลักของครอบครัว นี่เป็นเสียงการรายงานของลูกน้องคนหนึ่งของคองคลิน พร้อมภาพข้อมูลของมารี บนจอมอนิเตอร์์ใหญ่ คองคลินบอกว่าตัวเขาไม่ชอบเธอ และให้พวกตามแกะรอยการโทรของย่ากับพี่ชายเธอและเช็คที่อยู่ทุก 6 ปีของเธอ ตัดมาในรถมินิแคบๆพร้อมเสียงบ่นของมารีแบบไม่หยุด ก่อนเธอจะเงียบลงแล้วถามบอร์นว่า คุณชอบฟังเพลงแนวไหน บอร์นตอบผมไม่รู้ ก่อนเธอจะถามซ้ำและบอร์นก็ตอบเหมือนเดิม มารีบอกใครกันจะจ่ายเงินสองหมื่นเหรียญไปปารีส ก่อนบอร์นจะเล่า ว่าตัวเขาเองจำเหตุการณ์สองสัปดาห์ก่อนไม่ได้เลย มารีขำ บอร์นบอกว่าเขาความจำเสื่อม และเป็นเรื่องจริง และรถก็แล่นไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่