เจดีย์ที่เชื่อว่าบรรจุแกนพระศรีสรรเพชญ์ดาญาณ วัดพระเชตุพล เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เรื่องสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ดาญาณ พระปฏิมากรประธาน
ณ พระวิหารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา
ที่มีกล่าวไว้ในจดหมายเหตุรายวัน
ของ
บาทหลวง เดอ ซัวสี
ผู้ช่วยมองสิเออร์ เลอ เชอวาเลีย เดอ โชมอง
ราชทูตของพระเจ้าลูอิสมหาราชที่ ๑๔ กรุงฝรั่งเศส
ซึ่งเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ.๒๒๒๘
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ณ กรุงศรีอยุธยา
อำมาตย์ตรี หลวงสันธานวิทยาสิทธิ์ ( กำจาย พลางกูร )
แปลและเรียบเรียง
บันทึกประจำวันอังคารที่ ๓๐ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๒๒๘
ถ้ามองสิเออร์ คอนสตันซ์ไม่ให้สัญญาว่าจะชี้แจงเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เราได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าคงจะไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้เลยทีเดียว เราไปชมพระราชวังหลวงพึ่งกลับมาเดียวนี้ ดูที่ทางออกจะสับสนวนเวียนมาก ข้าพเจ้าคิดว่าจะเขียนแบบไว้ดูเล่น ตอนกลางมีพระมหาปราสาท ๕ หรือ ๖ องค์ มีทางเดินกว้างขวางโดยรอบและมีพระตำหนักแทรกกลางแบ่งออกเป็นตอนๆ หลังคาพระตำหนักเหล่านี้มุงด้วยกระเบื้องเคลือบ,แกร่ง,แข็งและเป็นเงา บนหลังคามียอดแหลมปิดทองเหมือนกับพระเจดีย์ทุกหลัง มองสิเออร์ คอนสตันซ์ พาท่านราชทูตไปดูทั่วบริเวณพระราชวังหลวง เคราะห์ดีที่จะได้เห็นสิ่งที่แปลกๆ เป็นขวัญตา เช้าวันนี้พอเราเข้าไปในพระราชวังหลวง พระเจ้ากรุงสยามก็มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรช้างบำรุงงา
มีช้างอยู่ ๒ ช้าง มีคนนั่งอยู่บนหลัง ช้างละคน เขาเอาโซ่เส้นใหญ่ล่ามเท้าหลังของช้างทั้งสองนี้ไว้ เพื่อจะได้ลากมันให้ผละออกจากกัน เมื่อมันเข้าต่อสู้กันแล้วถึงประงวงประงา มีพวกตะพุ่นหญ้าช้าง ๒๐ คน ยึดปลายโซ่ที่ล่ามไว้กับเท้าช้าง คอยดึงให้ช้างออกห่างกัน มันเข้าประจัญบานกันโดยอาการดุร้าย บางคราวถึงกับโว่ขาด ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาต้องปล่อยช้างพังออกไปช้างหนึ่ง ช้างพังนี้จะเสยงวงเข้าไปในระวางกลาง ถึงช้างพลายทั้งสองซึ่งกำลังต่อสู้กันนั้น จะดุร้ายสักปานใดก็ตาม มันก็ย่อมผละออกจากกันไป ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อช้างพังเมื่อช้างต่อสู้กันแล้ว และผละจากกันไป พวกตะพุ่นหญ้าช้างก็คลานตามช้างออกไปนอกสนาม ให้หญ้าให้น้ำกิน เพื่อให้ใจคอชื่นบาน พระเจ้ากรุงสยามเสด็จประทับทอดพระเนตรที่ชานระเบียงที่สนามก็เต็มไปด้วยทหารราชองครักษ์แต่งเครื่องครบ นอนราบนิ่งเงียบอยู่กับพื้นดิน พวกฝรั่งเศสที่อยู่ในที่นั้นต่างก็สะกดใจนิ่งคอยดูอยู่ไม่กล้าส่งเสียงพูดจากัน พวกเรายังได้เห็นพระตำหนักอีกหลายหลังแต่ขนานย่อม อยู่ภายนอกบริเวณ ถัดจากนี้ไป มีพระมหาปราสาทองค์หนึ่งเป็นที่เก็บพระราชสาส์นซึ่งทูตประเทศต่างๆ นำมาถวาย พระมหาปราสาทองค์ที่สองเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้ากรุงสยาม และเป็นคลังสำหรับเก็บพระราชทรัพย์ของพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงลับไปแล้ว พระเจ้ากรุงสยามแทบทุกพระองค์เป็นมหาเศรษฐีเมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ยังมีพระราชทรัพย์เหลืออยู่ในพระคลังเป็นอันมาก การที่มีพระราชทรัพย์มากมายก่ายกองเช่นนี้ ถือกันว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่กว่าการมีชัยในสงคราม การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไม่นับเงินและทองคำเกี่ยวกับการค้าขายเสียเลย ดูออกจะเป็นวิธีการที่บกพร่องอยู่มาก ใช่แต่เท่านั้นเงินทองก็ไม่มีค่าอะไรนอกจากจะเอาไปใช้จ่ายทำน้ำพุซึ่งคิดราคาเป็นเงินถึงสองล้านบาท ไม่เคยคิดหาซื้อสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยราคาย่อมเยาเลย เมื่อการเงินเป็นเช่นนี้แล้ว ไพร่บ้านพลเมืองก็จำต้องเสียทรัพย์ของตนไปเป็นจำนวนมาก และไม่มีเวลาได้กลับคืน ที่เมืองนี้ชาวบ้านมักเก็บทรัพย์สมบัติไว้เฉยๆ ไม่คิดทำประโยชน์ให้เกิดดอกออกผลงอกงามต่อไปอีก การกระทำอย่างนี้เป็นการไม่ถูกต้องเลย การใช้จ่ายของพระเจ้ากรุงสยามนั้นก็ใช้เงินภาษีอากรที่เก็บมาได้ และ ทุกๆปี ก็ยังเหลือส่งเข้าไปเก็บไว้ในพระคลัง ถ้าปีใดมีชัยในการสงครามหรือมีกำไรในการค้าขาย ผลประโยชน์รายได้ก็ทวียิ่งขึ้น และพระเจ้ากรุงสยามก็มีเงินใช้จ่ายมาก มองสิเออร์ คอนสตันซ์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเมื่อปีกลายมานี้บ้านเมืองต้องการเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อเอาไปใช้จ่ายในกองทัพ ที่ส่งไปปราบกบฏในประเทศเขมร พระเจ้ากรุงสยามจึงทรงยืมเงินจากขุนนางผู้รักษาพระคลังหลวงในพระนามของพระองค์เอง ขุนนางผู้นี้กราบทูลขอให้พระเจ้ากรุงสยามส่งเงินให้เสร็จภายในเวลา ๖ เดือน มิฉะนั้นเขาจะไปขนเอาของดีๆ ที่พระคลังสินค้าหลวงตามชอบใจ วิธีการเงินทำนองนี้จะเห็นได้ว่า เงินจะไหลเข้าไปในพระคลังส่วนพระองค์เป็นจำนวนมาก และเข้าไปในพระคลังแผ่นดินแต่เล็กน้อย
เราพากันเดินต่อไปอีกสักพักใหญ่ก็ไปถึงพระอารามหลวง (วัดพระศรีสรรเพชญ์) พอย่างเข้าไปข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นโบสถ์ อย่างของเรานั้นเอง ที่ระเบียงโปสถ์มีเสากลมใหญ่เป็นอันมาก แต่ไม่มีลวดลายพิสดารอะไรเลยเสาใหญ่ๆ ตามทางเดินและที่ชานระเบียงปิดทองตลอดทั้งต้นทุกๆ ต้น ส่วนกลางในที่ใกล้กับแท่นอันประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น ประดับประดางดงามมาก บนฐานมีพระพุทธรูปทองคำอยู่ ๓ องค์ ขนาดเท่าคนธรรมดา นั่งอยู่ในท่าที่ชาวเมืองชอบนั่งกันเสมอเป็นนิจ (เห็นจะนั่งขัดสมาธิ,ไม่ใช่นั่งพับเพียบ) มีเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ที่พระนลาฎและที่นิ้วพระหัตถ์ เทวรูปองค์ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเมื่อขาเข้ามานั้นเป็นที่เคารพบูชาของชนชาวสยามทั่วไป เป็นสมมุติเทวรูปแห่งเทพยดาของชาวสยาม ซึ่งเมื่อสองหรือสามพันปีมาแล้วอยู่ที่เกาะลังกา ต่อมาประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียงได้ไปรักษาไว้ และในที่สุดพระเจ้ากรุงสยามมีชัยชนะในการสงคราม จึงอัญเชิญเทวรูปนั้นมาประดิษฐานไว้ที่พระอารามนี้ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ชาวบ้านชาวเมืองโจษกันว่าเทวรูปองค์นี้บางทีแสดงปาฏิหาริย์ออกไปนอกพระราชวัง ในเมื่อนึกอยากจะออกไป ส่วนกลางพระอารามแห่งนี้ค่อนข้างจะคับแคบและมืดไปสักหน่อย มีชวาลาจุดตามประทีปไว้ ๕๐ ดวง พอไปถึงที่สุดตอนกลางพวกเราก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก ด้วยได้เห็นพระพุทธรูป(๑)องค์ใหญ่หุ้มด้วยทองคำหนาถึง ๓ นิ้วฟุตทั้งองค์ เป็นความเจริงพระพุทธรูปองค์นี้สูงประมาณ ๔๒ ฟุต (๖ วา ๒ ศอก) ส่วนกว้างประมาณ ๑๓,๑๔ ฟุต (๘,๙ ศอก) เขาพูดกันว่าทองคำที่หุ้มนั้นมีน้ำหนักถึง ๑๒๔๐๐,๐๐๐ ปอนด์ฝรั่งเศส (คิดอย่างน้ำหนักทองคำ)
(๑.พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์พระองค์นี้เป็นพระพุทธรูปยืน ใหญ่สูงกว่าพระพุทธรูปหล่อพระองค์อื่นในประเทศใดๆ ที่ใกล้เคียงโดยรอบหล่อขึ้นสิ้นทองหนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง ทองคำหุ้มหนัก ๒๘๖ ชั่ง ทำอยู่ ๓ ปี จึงสำเร็จบริบูรณ์ และมีการฉลองเมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พ.ศ.๒๐๒๖ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
บาทหลวง เดอ ซัวสี กล่าวไว้ในจดหมายเหตุรายวัน (ประจำวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๒๒๘) ฉบับนี้ว่า เมื่อคราวเสียกรุงครั้งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดินั้น ทหารคนหนึ่งเล็ดลอดเข้าไปในวัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วลักตัดเอาพระพาหาพระศรีสรรเพชญ์ไปข้างหนึ่ง ต่อมาก็ได้ปฏิสังขรณ์บริบูรณ์เรียบร้อยดีดังเดิม แต่กระนั้น บาทหลวง เดอ ซัวสี ยังกล่าวว่าได้เห็นรอยต่ออยู่
ลุ ปี พุทธศักราช ๒๓๑๐ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ เสียกรุงศรีอยุธยาแก่อังวะ พวกอังวะได้ลอกทองคำหุ้มไปหมด คงเหลืออยู่แต่ซาก)
ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดให้เก็บทองรวบรวมเอามาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่วัดพระเชตุพนฯ แล้วถวายพระนามพระเจดีย์นั้นว่า พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์ดาญาณ)
นอกจากนี้เรายังได้เห็นพระพุทธรูปทองคำในโบสถ์อื่นๆในพระอารามหลวงอีกหลายองค์ สูง ๑๗-๑๘ ฟุตเท่านั้น (๑๐-๑๑ ศอก) ขนาดเท่าคนก็มี และแทบทุกองค์มีอัญญมณีประดับอยู่ที่พระนลาฎและนิ้วพระหัตถ์ ข้าพเจ้ารับรองว่านิ้วพระหัตถ์นั้นเป็นทองคำแท้ทีเดียว พวกเราลองจับและลูบคลำดูทุกคน ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นข้าพเจ้ามิได้แตะต้อง เป็นแต่ยืนห่างอยู่ประมาณ ๕-๖ ฟุต แต่ก็เชื่อแน่นอนว่าคงเป็นทองคำเช่นเดียวกันกับพระพุทธรูปองค์อื่นๆเหมือนกัน เพราะลักษณะและสีสันวัณณะเท่าที่แลเห็นนั้นก็เป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น นอกจากพระพุทธรูปเหล่านี้แล้ว ยังมีพระพุทธรูปซึ่งประดับเครื่องทองคำอีก ๓๐ องค์เศษ และยังมีอีก๓ องค์สูง ๒๕ ฟุต (๓ วา ๓ ศอก)และอีก ๑๕๐ องค์ ขนาดเท่าคนธรรมดา พระพุทธรูปเหล่านี้มีอยู่ ๓-๔ องค์ที่หุ้มทองคำ ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปเงิน ๒ องค์เท่านั้น และที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็มีบ้าง ท่านอยากจะรู้จักชื่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไหม? พระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นมีชื่ออย่างเดียวกับพระอาราม(วัดพระศรีสรรเพชญ์) พระพุทธรูปบางองค์สูงสูงเพียง ๒ ฟุต ก็มี ทำด้วยทองคำและทองแดงประสมกัน (คือนาก) มีรัศมีอร่ามสุกใสยิ่งเรียกว่าทองคำแท้ๆ เรียกว่า “พระธรรมภาคี” (Tambaqne) ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะสวยงานสมจริงดังคำเล่าลือเลย บางทีจะทำด้วยแร่ทองขาวก็เป้นได้ พระพุทธรูปองค์นี้อนุสาวรีย์ สมมุติกันว่าเป็นสะโลมัน (Salomon) ข้าพเจ้าได้สังเกตดูต้นไม้ที่ตั้งไว้เป็นพุทธบูชานั้น ต้นลำกิ่งก้านและใบทำด้วยทองคำอย่างประณีต ต้นไม้ทองคำเหล่านี้เป็นเครื่องราชบรรณาการซึ่งเจ้าประเทศราชอันเป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศส่งมาถวายพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อได้ดูทองคำเสียจนจุใจลานตาแล้ว เราก็เลยพากันไปชมปืนใหญ่มหิมา (ปืนใหญ่กระบอกนี้ชื่อว่าพระพิรุณ) กระสุนปืนสำหรับประจุปืนใหญ่บอกนี้ลูกหนึ่งประมาณว่าจะต้องหนักถึง ๓๐๐ ปอนด์เศษเส้นผ่าศูนย์กลางปากบอกกว้างถึง ๑๔ นิ้ว ฟุต ขณะเมื่อเราผ่านพระตำหนักที่ประทับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาในพระเจ้ากรุงสยาม (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) เราก็กระทำความเคารพ ข้าพเจ้าเชื่อว่าสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงคงจะแอบมองดูพวกเราตามช่องพระแกลหรือพระทวาร พวกเราอย่าได้นึกฝันเลยว่าจะได้เห็นพระองค์ มองสิเออร์ คอนสตันซ์ เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เข้าไปในพระราชวังแทบจะไม่เว้นแต่ละวัน ยังไม่ได้เห็นพระองค์เลย เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ มองสิเออร์ คอนสตันซ์ เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง พระเจ้ากรุงสยาม(สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) มีพระราชธิดาแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ตั้งแต่พระราชินีพระราชชนนีแห่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสวรรคตแล้ว พระเจ้ากรุงสยามก็ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราชธิดาขึ้นให้มีตำแหน่งเสมอด้วยสมเด็จพระราชินี พระราชทานหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ส่วยอากร ขนอน ตลาด เลขสมสังกัดทั้งนายและไพร่ในเมืองนั้นๆ ให้เป็นสิทธิ์ตรงต่อสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง หัวเมืองเหล่านั้นก็เป็นเสมือนหนึ่งประเทศราชขึ้นตรงต่อพระเจ้ากรุงสยาม สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาพระองค์นี้เสด็จออกขุนนางในเวลาเช้าและเย็นทุกวัน ให้แค่ภรรยาขุนนางผู้ใหญ่เข้าไปเฝ้าก็หมอบก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้น เช่นเดียวกับสามีขอตนเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยาม การกระทำของพระองค์นั้นบางคราวก็ทารุณอย่างอุกฤษฐ์ ถ้าท่านผู้หญิงฤาคุณหญิงคนใดพูดมากเกินไปเป็นน้ำท่วมทุ่งพระองค์ก็ทรงมีรับสั่งให้เอาเข็มเย็บปากให้ติดกันเสีย และคนไหนพูดน้อยไป อ้ำอึ้งไม่ได้เนื้อถ้อยกระทงความ ก็ทรงมีรับสั่งให้แหวะปากออกให้กว้างจนกระทั้งจดหู เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กล่าวเล่นเพื่อให้ตลกขบขัน มองสิเออร์ คอนสตันซ์ รับรองแน่ชัด ว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น แต่ท่านพึงเข้าใจเถิดว่าเรื่องพรรณ์นี้ไม่มีทุกวันดอก ต่อนานๆ จึงจะมีสักครั้งหนึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาพระองค์นี้ขึ้นเฝ้าพระเจ้ากรุงสยามพระราชบิดาวันละ ๒ ครั้ง แล้วเสวยพระกระยาหารร่วมกับพระเจ้ากรุงสยามด้วย บางคราวบังเอิญมองสิเออร์ คอนสตันซ์ มีราชการด่วนจำเป็นต้องทูลขอพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าในเวลาเสวย เมื่อเข้าไปก็เห็นฉากตั้งบังพระพักตร์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงอยู่ทุกคราว
เรื่องพระปฏิมากรศรีสรรเพชญ์ดาญาณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่มีกล่าวไว้ในจดหมายเหตุรายวัน ของ บาทหลวง เดอ ซัวสี
ณ พระวิหารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา
ที่มีกล่าวไว้ในจดหมายเหตุรายวัน
ของ
บาทหลวง เดอ ซัวสี
ผู้ช่วยมองสิเออร์ เลอ เชอวาเลีย เดอ โชมอง
ราชทูตของพระเจ้าลูอิสมหาราชที่ ๑๔ กรุงฝรั่งเศส
ซึ่งเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ.๒๒๒๘
ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ณ กรุงศรีอยุธยา
อำมาตย์ตรี หลวงสันธานวิทยาสิทธิ์ ( กำจาย พลางกูร )
แปลและเรียบเรียง
บันทึกประจำวันอังคารที่ ๓๐ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๒๒๘
ถ้ามองสิเออร์ คอนสตันซ์ไม่ให้สัญญาว่าจะชี้แจงเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เราได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าคงจะไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้เลยทีเดียว เราไปชมพระราชวังหลวงพึ่งกลับมาเดียวนี้ ดูที่ทางออกจะสับสนวนเวียนมาก ข้าพเจ้าคิดว่าจะเขียนแบบไว้ดูเล่น ตอนกลางมีพระมหาปราสาท ๕ หรือ ๖ องค์ มีทางเดินกว้างขวางโดยรอบและมีพระตำหนักแทรกกลางแบ่งออกเป็นตอนๆ หลังคาพระตำหนักเหล่านี้มุงด้วยกระเบื้องเคลือบ,แกร่ง,แข็งและเป็นเงา บนหลังคามียอดแหลมปิดทองเหมือนกับพระเจดีย์ทุกหลัง มองสิเออร์ คอนสตันซ์ พาท่านราชทูตไปดูทั่วบริเวณพระราชวังหลวง เคราะห์ดีที่จะได้เห็นสิ่งที่แปลกๆ เป็นขวัญตา เช้าวันนี้พอเราเข้าไปในพระราชวังหลวง พระเจ้ากรุงสยามก็มีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรช้างบำรุงงา
มีช้างอยู่ ๒ ช้าง มีคนนั่งอยู่บนหลัง ช้างละคน เขาเอาโซ่เส้นใหญ่ล่ามเท้าหลังของช้างทั้งสองนี้ไว้ เพื่อจะได้ลากมันให้ผละออกจากกัน เมื่อมันเข้าต่อสู้กันแล้วถึงประงวงประงา มีพวกตะพุ่นหญ้าช้าง ๒๐ คน ยึดปลายโซ่ที่ล่ามไว้กับเท้าช้าง คอยดึงให้ช้างออกห่างกัน มันเข้าประจัญบานกันโดยอาการดุร้าย บางคราวถึงกับโว่ขาด ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาต้องปล่อยช้างพังออกไปช้างหนึ่ง ช้างพังนี้จะเสยงวงเข้าไปในระวางกลาง ถึงช้างพลายทั้งสองซึ่งกำลังต่อสู้กันนั้น จะดุร้ายสักปานใดก็ตาม มันก็ย่อมผละออกจากกันไป ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อช้างพังเมื่อช้างต่อสู้กันแล้ว และผละจากกันไป พวกตะพุ่นหญ้าช้างก็คลานตามช้างออกไปนอกสนาม ให้หญ้าให้น้ำกิน เพื่อให้ใจคอชื่นบาน พระเจ้ากรุงสยามเสด็จประทับทอดพระเนตรที่ชานระเบียงที่สนามก็เต็มไปด้วยทหารราชองครักษ์แต่งเครื่องครบ นอนราบนิ่งเงียบอยู่กับพื้นดิน พวกฝรั่งเศสที่อยู่ในที่นั้นต่างก็สะกดใจนิ่งคอยดูอยู่ไม่กล้าส่งเสียงพูดจากัน พวกเรายังได้เห็นพระตำหนักอีกหลายหลังแต่ขนานย่อม อยู่ภายนอกบริเวณ ถัดจากนี้ไป มีพระมหาปราสาทองค์หนึ่งเป็นที่เก็บพระราชสาส์นซึ่งทูตประเทศต่างๆ นำมาถวาย พระมหาปราสาทองค์ที่สองเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ของพระเจ้ากรุงสยาม และเป็นคลังสำหรับเก็บพระราชทรัพย์ของพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงลับไปแล้ว พระเจ้ากรุงสยามแทบทุกพระองค์เป็นมหาเศรษฐีเมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ยังมีพระราชทรัพย์เหลืออยู่ในพระคลังเป็นอันมาก การที่มีพระราชทรัพย์มากมายก่ายกองเช่นนี้ ถือกันว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่กว่าการมีชัยในสงคราม การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไม่นับเงินและทองคำเกี่ยวกับการค้าขายเสียเลย ดูออกจะเป็นวิธีการที่บกพร่องอยู่มาก ใช่แต่เท่านั้นเงินทองก็ไม่มีค่าอะไรนอกจากจะเอาไปใช้จ่ายทำน้ำพุซึ่งคิดราคาเป็นเงินถึงสองล้านบาท ไม่เคยคิดหาซื้อสิ่งที่เป็นประโยชน์โดยราคาย่อมเยาเลย เมื่อการเงินเป็นเช่นนี้แล้ว ไพร่บ้านพลเมืองก็จำต้องเสียทรัพย์ของตนไปเป็นจำนวนมาก และไม่มีเวลาได้กลับคืน ที่เมืองนี้ชาวบ้านมักเก็บทรัพย์สมบัติไว้เฉยๆ ไม่คิดทำประโยชน์ให้เกิดดอกออกผลงอกงามต่อไปอีก การกระทำอย่างนี้เป็นการไม่ถูกต้องเลย การใช้จ่ายของพระเจ้ากรุงสยามนั้นก็ใช้เงินภาษีอากรที่เก็บมาได้ และ ทุกๆปี ก็ยังเหลือส่งเข้าไปเก็บไว้ในพระคลัง ถ้าปีใดมีชัยในการสงครามหรือมีกำไรในการค้าขาย ผลประโยชน์รายได้ก็ทวียิ่งขึ้น และพระเจ้ากรุงสยามก็มีเงินใช้จ่ายมาก มองสิเออร์ คอนสตันซ์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเมื่อปีกลายมานี้บ้านเมืองต้องการเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อเอาไปใช้จ่ายในกองทัพ ที่ส่งไปปราบกบฏในประเทศเขมร พระเจ้ากรุงสยามจึงทรงยืมเงินจากขุนนางผู้รักษาพระคลังหลวงในพระนามของพระองค์เอง ขุนนางผู้นี้กราบทูลขอให้พระเจ้ากรุงสยามส่งเงินให้เสร็จภายในเวลา ๖ เดือน มิฉะนั้นเขาจะไปขนเอาของดีๆ ที่พระคลังสินค้าหลวงตามชอบใจ วิธีการเงินทำนองนี้จะเห็นได้ว่า เงินจะไหลเข้าไปในพระคลังส่วนพระองค์เป็นจำนวนมาก และเข้าไปในพระคลังแผ่นดินแต่เล็กน้อย
เราพากันเดินต่อไปอีกสักพักใหญ่ก็ไปถึงพระอารามหลวง (วัดพระศรีสรรเพชญ์) พอย่างเข้าไปข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นโบสถ์ อย่างของเรานั้นเอง ที่ระเบียงโปสถ์มีเสากลมใหญ่เป็นอันมาก แต่ไม่มีลวดลายพิสดารอะไรเลยเสาใหญ่ๆ ตามทางเดินและที่ชานระเบียงปิดทองตลอดทั้งต้นทุกๆ ต้น ส่วนกลางในที่ใกล้กับแท่นอันประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น ประดับประดางดงามมาก บนฐานมีพระพุทธรูปทองคำอยู่ ๓ องค์ ขนาดเท่าคนธรรมดา นั่งอยู่ในท่าที่ชาวเมืองชอบนั่งกันเสมอเป็นนิจ (เห็นจะนั่งขัดสมาธิ,ไม่ใช่นั่งพับเพียบ) มีเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ที่พระนลาฎและที่นิ้วพระหัตถ์ เทวรูปองค์ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเมื่อขาเข้ามานั้นเป็นที่เคารพบูชาของชนชาวสยามทั่วไป เป็นสมมุติเทวรูปแห่งเทพยดาของชาวสยาม ซึ่งเมื่อสองหรือสามพันปีมาแล้วอยู่ที่เกาะลังกา ต่อมาประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียงได้ไปรักษาไว้ และในที่สุดพระเจ้ากรุงสยามมีชัยชนะในการสงคราม จึงอัญเชิญเทวรูปนั้นมาประดิษฐานไว้ที่พระอารามนี้ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ชาวบ้านชาวเมืองโจษกันว่าเทวรูปองค์นี้บางทีแสดงปาฏิหาริย์ออกไปนอกพระราชวัง ในเมื่อนึกอยากจะออกไป ส่วนกลางพระอารามแห่งนี้ค่อนข้างจะคับแคบและมืดไปสักหน่อย มีชวาลาจุดตามประทีปไว้ ๕๐ ดวง พอไปถึงที่สุดตอนกลางพวกเราก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก ด้วยได้เห็นพระพุทธรูป(๑)องค์ใหญ่หุ้มด้วยทองคำหนาถึง ๓ นิ้วฟุตทั้งองค์ เป็นความเจริงพระพุทธรูปองค์นี้สูงประมาณ ๔๒ ฟุต (๖ วา ๒ ศอก) ส่วนกว้างประมาณ ๑๓,๑๔ ฟุต (๘,๙ ศอก) เขาพูดกันว่าทองคำที่หุ้มนั้นมีน้ำหนักถึง ๑๒๔๐๐,๐๐๐ ปอนด์ฝรั่งเศส (คิดอย่างน้ำหนักทองคำ)
(๑.พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์พระองค์นี้เป็นพระพุทธรูปยืน ใหญ่สูงกว่าพระพุทธรูปหล่อพระองค์อื่นในประเทศใดๆ ที่ใกล้เคียงโดยรอบหล่อขึ้นสิ้นทองหนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง ทองคำหุ้มหนัก ๒๘๖ ชั่ง ทำอยู่ ๓ ปี จึงสำเร็จบริบูรณ์ และมีการฉลองเมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พ.ศ.๒๐๒๖ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
บาทหลวง เดอ ซัวสี กล่าวไว้ในจดหมายเหตุรายวัน (ประจำวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๒๒๘) ฉบับนี้ว่า เมื่อคราวเสียกรุงครั้งแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดินั้น ทหารคนหนึ่งเล็ดลอดเข้าไปในวัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วลักตัดเอาพระพาหาพระศรีสรรเพชญ์ไปข้างหนึ่ง ต่อมาก็ได้ปฏิสังขรณ์บริบูรณ์เรียบร้อยดีดังเดิม แต่กระนั้น บาทหลวง เดอ ซัวสี ยังกล่าวว่าได้เห็นรอยต่ออยู่
ลุ ปี พุทธศักราช ๒๓๑๐ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ เสียกรุงศรีอยุธยาแก่อังวะ พวกอังวะได้ลอกทองคำหุ้มไปหมด คงเหลืออยู่แต่ซาก)
ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดให้เก็บทองรวบรวมเอามาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่วัดพระเชตุพนฯ แล้วถวายพระนามพระเจดีย์นั้นว่า พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์ดาญาณ)
นอกจากนี้เรายังได้เห็นพระพุทธรูปทองคำในโบสถ์อื่นๆในพระอารามหลวงอีกหลายองค์ สูง ๑๗-๑๘ ฟุตเท่านั้น (๑๐-๑๑ ศอก) ขนาดเท่าคนก็มี และแทบทุกองค์มีอัญญมณีประดับอยู่ที่พระนลาฎและนิ้วพระหัตถ์ ข้าพเจ้ารับรองว่านิ้วพระหัตถ์นั้นเป็นทองคำแท้ทีเดียว พวกเราลองจับและลูบคลำดูทุกคน ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นข้าพเจ้ามิได้แตะต้อง เป็นแต่ยืนห่างอยู่ประมาณ ๕-๖ ฟุต แต่ก็เชื่อแน่นอนว่าคงเป็นทองคำเช่นเดียวกันกับพระพุทธรูปองค์อื่นๆเหมือนกัน เพราะลักษณะและสีสันวัณณะเท่าที่แลเห็นนั้นก็เป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น นอกจากพระพุทธรูปเหล่านี้แล้ว ยังมีพระพุทธรูปซึ่งประดับเครื่องทองคำอีก ๓๐ องค์เศษ และยังมีอีก๓ องค์สูง ๒๕ ฟุต (๓ วา ๓ ศอก)และอีก ๑๕๐ องค์ ขนาดเท่าคนธรรมดา พระพุทธรูปเหล่านี้มีอยู่ ๓-๔ องค์ที่หุ้มทองคำ ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปเงิน ๒ องค์เท่านั้น และที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็มีบ้าง ท่านอยากจะรู้จักชื่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไหม? พระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นมีชื่ออย่างเดียวกับพระอาราม(วัดพระศรีสรรเพชญ์) พระพุทธรูปบางองค์สูงสูงเพียง ๒ ฟุต ก็มี ทำด้วยทองคำและทองแดงประสมกัน (คือนาก) มีรัศมีอร่ามสุกใสยิ่งเรียกว่าทองคำแท้ๆ เรียกว่า “พระธรรมภาคี” (Tambaqne) ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะสวยงานสมจริงดังคำเล่าลือเลย บางทีจะทำด้วยแร่ทองขาวก็เป้นได้ พระพุทธรูปองค์นี้อนุสาวรีย์ สมมุติกันว่าเป็นสะโลมัน (Salomon) ข้าพเจ้าได้สังเกตดูต้นไม้ที่ตั้งไว้เป็นพุทธบูชานั้น ต้นลำกิ่งก้านและใบทำด้วยทองคำอย่างประณีต ต้นไม้ทองคำเหล่านี้เป็นเครื่องราชบรรณาการซึ่งเจ้าประเทศราชอันเป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศส่งมาถวายพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อได้ดูทองคำเสียจนจุใจลานตาแล้ว เราก็เลยพากันไปชมปืนใหญ่มหิมา (ปืนใหญ่กระบอกนี้ชื่อว่าพระพิรุณ) กระสุนปืนสำหรับประจุปืนใหญ่บอกนี้ลูกหนึ่งประมาณว่าจะต้องหนักถึง ๓๐๐ ปอนด์เศษเส้นผ่าศูนย์กลางปากบอกกว้างถึง ๑๔ นิ้ว ฟุต ขณะเมื่อเราผ่านพระตำหนักที่ประทับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาในพระเจ้ากรุงสยาม (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) เราก็กระทำความเคารพ ข้าพเจ้าเชื่อว่าสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงคงจะแอบมองดูพวกเราตามช่องพระแกลหรือพระทวาร พวกเราอย่าได้นึกฝันเลยว่าจะได้เห็นพระองค์ มองสิเออร์ คอนสตันซ์ เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เข้าไปในพระราชวังแทบจะไม่เว้นแต่ละวัน ยังไม่ได้เห็นพระองค์เลย เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ มองสิเออร์ คอนสตันซ์ เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง พระเจ้ากรุงสยาม(สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) มีพระราชธิดาแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ตั้งแต่พระราชินีพระราชชนนีแห่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสวรรคตแล้ว พระเจ้ากรุงสยามก็ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราชธิดาขึ้นให้มีตำแหน่งเสมอด้วยสมเด็จพระราชินี พระราชทานหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ส่วยอากร ขนอน ตลาด เลขสมสังกัดทั้งนายและไพร่ในเมืองนั้นๆ ให้เป็นสิทธิ์ตรงต่อสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง หัวเมืองเหล่านั้นก็เป็นเสมือนหนึ่งประเทศราชขึ้นตรงต่อพระเจ้ากรุงสยาม สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาพระองค์นี้เสด็จออกขุนนางในเวลาเช้าและเย็นทุกวัน ให้แค่ภรรยาขุนนางผู้ใหญ่เข้าไปเฝ้าก็หมอบก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้น เช่นเดียวกับสามีขอตนเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยาม การกระทำของพระองค์นั้นบางคราวก็ทารุณอย่างอุกฤษฐ์ ถ้าท่านผู้หญิงฤาคุณหญิงคนใดพูดมากเกินไปเป็นน้ำท่วมทุ่งพระองค์ก็ทรงมีรับสั่งให้เอาเข็มเย็บปากให้ติดกันเสีย และคนไหนพูดน้อยไป อ้ำอึ้งไม่ได้เนื้อถ้อยกระทงความ ก็ทรงมีรับสั่งให้แหวะปากออกให้กว้างจนกระทั้งจดหู เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กล่าวเล่นเพื่อให้ตลกขบขัน มองสิเออร์ คอนสตันซ์ รับรองแน่ชัด ว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น แต่ท่านพึงเข้าใจเถิดว่าเรื่องพรรณ์นี้ไม่มีทุกวันดอก ต่อนานๆ จึงจะมีสักครั้งหนึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาพระองค์นี้ขึ้นเฝ้าพระเจ้ากรุงสยามพระราชบิดาวันละ ๒ ครั้ง แล้วเสวยพระกระยาหารร่วมกับพระเจ้ากรุงสยามด้วย บางคราวบังเอิญมองสิเออร์ คอนสตันซ์ มีราชการด่วนจำเป็นต้องทูลขอพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าในเวลาเสวย เมื่อเข้าไปก็เห็นฉากตั้งบังพระพักตร์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงอยู่ทุกคราว