เมื่อครั้งหลวงพ่อชา สุภัทโท ยังมีชีวิตอยู่ มีพระเซนจากญี่ปุ่นมากราบนมัสการท่าน พอพบท่านก็ตั้งคำถามท่านเรื่องการปฏิบัติธรรมเลยว่า “ปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติเพื่ออะไร ทำไมจึงต้องปฏิบัติด้วย ปฏิบัติแล้วได้อะไร” หลวงพ่อชาไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่ถามกลับไปว่า “กินข้าวไปทำไม กินข้าวเพื่ออะไร ทำไมจึงต้องกินข้าว กินข้าวแล้วได้อะไร” ปรากฏว่าพระเซนรูปนั้นพอใจมากกับคำตอบ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นการถามกลับ
สาเหตุที่พระญี่ปุ่นพอใจในคำตอบของหลวงพ่อชา ก็เพราะท่านชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ต่างจากการกินข้าว เพียงแต่ว่าการกินข้าวเป็นการบำรุงร่างกาย ส่วนการปฏิบัติธรรมเป็นการบำรุงจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ไม่น้อยไปกว่าการกินข้าว
ใคร ๆ คงไม่คาดคิดว่าหลวงพ่อชาจะถามกลับว่า กินข้าวไปทำไม ทำไมถึงกินข้าว ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เราทำทุกวันจนลืมถามตัวเองว่ากินข้าวไปทำไม ที่จริงไม่ใช่เฉพาะกินข้าวอย่างเดียว มีกิจวัตรอีกมากมายที่เราทำในชีวิตประจำวันโดยไม่เคยถามเลยว่าทำไปทำไม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราไม่ค่อยได้ไตร่ตรองในเรื่องที่สำคัญเท่าไร แต่พอพูดถึงการปฏิบัติธรรม กลับตั้งคำถามมากมาย
จริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมนั้นสำคัญพอ ๆ กับการกินข้าว เพียงแต่คนเราไม่ได้ตระหนัก เพราะการปฏิบัติธรรมไม่ได้ส่งผลหรือเห็นอานิสงส์ทันทีเหมือนการกินข้าว แต่การปฏิบัติธรรมก็สำคัญพอ ๆ กับการกินข้าว เพราะถ้าขาดการปฏิบัติธรรมเมื่อไร ชีวิตก็เป็นทุกข์ไม่ต่างจากการไม่มีข้าวกิน หากเราไม่สนใจการปฏิบัติธรรม เวลามีอะไรมากระทบกับชีวิต จะทำให้เสียศูนย์ จิตใจจะเกิดทุกข์ และส่งผลร้ายกับเรา ทำให้เป็นบ้าได้
มีผู้คนมากมายพอไฟไหม้บ้าน ธุรกิจล้มละลาย หรือคู่รักตีจาก ก็เสียศูนย์จนคลุ้มคลั่ง ที่เป็นบ้าไปเลยก็มี บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย นั่นเป็นเพราะใจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง คนเราทุกวันนี้ไม่ค่อยมีความทุกข์กายเท่าไร เพราะเราอยู่ในยุคที่มีความสุขสบายเกือบทุกอย่าง บางคนแทบจะไม่รู้จักความหิวโหย ชีวิตประจำวันแทบจะไม่มีเหงื่อออก เพราะไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงทำมาหากิน ไม่เหมือนสมัยปู่ย่าตายาย ที่ต้องออกแรงทำงานทั้งวัน แต่ถึงแม้ไม่ค่อยมีความทุกข์กาย แต่คนสมัยนี้มีความทุกข์ใจเยอะมาก แล้วความทุกข์ใจก็บั่นทอนสุขภาพเรา ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราไม่ได้ฝึกฝนจิตใจ
หลายคนตั้งคำถาม ทำไมต้องปฏิบัติธรรมในเมื่อฉันก็สุขสบายดีอยู่แล้ว เขาพูดแบบนี้เพราะมักเห็นคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมมักเป็นคนที่มีปัญหา เช่นป่วย เป็นมะเร็ง ครอบครัวล้มเหลว ธุรกิจล้มละลาย เป็นเพราะเข้าใจแบบนี้ จึงอยู่ในความประมาท หลายคนที่พูดว่า ทำไมต้องปฏิบัติธรรมในเมื่อทุกวันนี้ฉันก็สบายดีอยู่แล้ว อาตมาอยากจะถามกลับว่า คนที่พูดเช่นนี้มีความสุขจริงหรือเปล่า อาตมาสังเกตดู หลาย ๆ คน เวลาทำงานก็เครียด กลับบ้านก็กังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะห่วงงาน ห่วงลูก ห่วงทรัพย์สมบัติ หลายคนถึงกับกินยานอนหลับ หรือกินยาลดความเครียด
ทีนี้สมมุติว่าเขามีความสุขจริง ๆ ธุรกิจรุ่งโรจน์ ครอบครัวอบอุ่น กินได้นอนหลับ คำถามก็คือ คนเหล่านี้ไม่ต้องปฏิบัติธรรมแล้วใช่ไหม อาตมาไม่แน่ใจ เพราะคนที่มีความสุขในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่า พรุ่งนี้จะมีความสุขด้วย วันนี้มีครอบครัวอบอุ่น ราบรื่น ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะยังคงราบรื่น อบอุ่น วันนี้มีความสุข แต่แน่ใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้จะไม่เป็นมะเร็ง หากพรุ่งนี้เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะที่ 3 เขาจะยังคงมีความสุขอยู่ไหม วันนี้มีลมหายใจ ใช่ว่าพรุ่งนี้จะยังคงมีลมหายใจอยู่ มีภาษิตธิเบตกล่าวว่า “ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่า อะไรจะมาก่อน”
บางคนมีชีวิตราบรื่น ตั้งแต่เล็กจนโต ครอบครัวก็มีความสุข วันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลามไปถึงกระดูก ทั้งวันเอาแต่บ่นว่าอยากตาย อีกครอบครัวหนึ่ง สามีดูแลภรรยาและลูกดีมาก ครอบครัวก็อบอุ่น วันหนึ่งสามีเป็นมะเร็ง ไม่กี่เดือนต่อมาก็ตาย ภรรยารับไม่ได้ เสียศูนย์ไปเลย แม้จะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ทุกเช้าก็ยังทำอาหารให้สามีทาน โดยเอาอาหารมาวางบนโต๊ะที่มีแต่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า ทุกวันก็จะโทรศัพท์ไปที่เบอร์ของสามี เพื่อจะได้ฟังเสียงของสามี ทั้งนี้เป็นเพราะเธอยอมรับไม่ได้ว่าสามีได้ตายไปแล้ว จึงยังคงทำเสมือนว่าสามียังมีชีวิตอยู่ ลูกสาวมีความทุกข์มาก เพราะแม่เอาแต่คิดถึงพ่อ จนลืมลูกไปเลย
เป็นเพราะไม่มีอะไรแน่นอน ความสุขวันนี้อาจกลายเป็นความทุกข์วันหน้า ดังนั้นเราจึงควรหันมาปฏิบัติธรรม ให้มีสติสัมปะชัญญะ และปัญญาเอาไว้รับมือกับความผันผวนปรวนแปรที่อาจเกิดขึ้นกับเราหรือคนที่เรารักไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อย่าประมาทหรือชะล่าใจว่าฉันมีความสุขแล้ว จะปฏิบัติธรรมไปทำไม มันไม่มีหลักประกันเลย ว่าพรุ่งนี้เราจะยังมีความสุข เราจะยังมีชีวิตอยู่ เคยคิดเคยเผื่อใจไว้บ้างไหม ว่าสักวันหนึ่ง เราอาจเป็นมะเร็ง สามี ภรรยา ลูก อาจมีอันเป็นไป ทรัพย์สินเงินทองอาจสูญเสีย ถูกทำลาย มันไม่แน่ใช่ไหม เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ที่ภูเก็ต พังงา เช้าวันนั้น แดดใส ฟ้าสวย ไม่มีใครคิดเลยว่าอีกไม่กี่นาทีนรกจะแตกเพราะสึนามิซัดกระหน่ำ
ถ้าเราตระหนักว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เราจำต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับกับความผันผวนปรวนแปรในชีวิต สำหรับคนที่มีความทุกข์อยู่แล้วตอนนี้ ก็ยิ่งต้องรีบปฏิบัติธรรม เวลาเราทุกข์ เรามักโทษคนอื่น แต่เราเคยหันมามองตัวเองไหมว่า ที่ทุกข์นี่อาจเป็นเพราะใจของเราเปิดรับเอาความทุกข์เข้ามา
ปฏิบัติธรรมทำไม กินข้าวทำไม
สาเหตุที่พระญี่ปุ่นพอใจในคำตอบของหลวงพ่อชา ก็เพราะท่านชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ต่างจากการกินข้าว เพียงแต่ว่าการกินข้าวเป็นการบำรุงร่างกาย ส่วนการปฏิบัติธรรมเป็นการบำรุงจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ไม่น้อยไปกว่าการกินข้าว
ใคร ๆ คงไม่คาดคิดว่าหลวงพ่อชาจะถามกลับว่า กินข้าวไปทำไม ทำไมถึงกินข้าว ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เราทำทุกวันจนลืมถามตัวเองว่ากินข้าวไปทำไม ที่จริงไม่ใช่เฉพาะกินข้าวอย่างเดียว มีกิจวัตรอีกมากมายที่เราทำในชีวิตประจำวันโดยไม่เคยถามเลยว่าทำไปทำไม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราไม่ค่อยได้ไตร่ตรองในเรื่องที่สำคัญเท่าไร แต่พอพูดถึงการปฏิบัติธรรม กลับตั้งคำถามมากมาย
จริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมนั้นสำคัญพอ ๆ กับการกินข้าว เพียงแต่คนเราไม่ได้ตระหนัก เพราะการปฏิบัติธรรมไม่ได้ส่งผลหรือเห็นอานิสงส์ทันทีเหมือนการกินข้าว แต่การปฏิบัติธรรมก็สำคัญพอ ๆ กับการกินข้าว เพราะถ้าขาดการปฏิบัติธรรมเมื่อไร ชีวิตก็เป็นทุกข์ไม่ต่างจากการไม่มีข้าวกิน หากเราไม่สนใจการปฏิบัติธรรม เวลามีอะไรมากระทบกับชีวิต จะทำให้เสียศูนย์ จิตใจจะเกิดทุกข์ และส่งผลร้ายกับเรา ทำให้เป็นบ้าได้
มีผู้คนมากมายพอไฟไหม้บ้าน ธุรกิจล้มละลาย หรือคู่รักตีจาก ก็เสียศูนย์จนคลุ้มคลั่ง ที่เป็นบ้าไปเลยก็มี บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย นั่นเป็นเพราะใจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง คนเราทุกวันนี้ไม่ค่อยมีความทุกข์กายเท่าไร เพราะเราอยู่ในยุคที่มีความสุขสบายเกือบทุกอย่าง บางคนแทบจะไม่รู้จักความหิวโหย ชีวิตประจำวันแทบจะไม่มีเหงื่อออก เพราะไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงทำมาหากิน ไม่เหมือนสมัยปู่ย่าตายาย ที่ต้องออกแรงทำงานทั้งวัน แต่ถึงแม้ไม่ค่อยมีความทุกข์กาย แต่คนสมัยนี้มีความทุกข์ใจเยอะมาก แล้วความทุกข์ใจก็บั่นทอนสุขภาพเรา ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราไม่ได้ฝึกฝนจิตใจ
หลายคนตั้งคำถาม ทำไมต้องปฏิบัติธรรมในเมื่อฉันก็สุขสบายดีอยู่แล้ว เขาพูดแบบนี้เพราะมักเห็นคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมมักเป็นคนที่มีปัญหา เช่นป่วย เป็นมะเร็ง ครอบครัวล้มเหลว ธุรกิจล้มละลาย เป็นเพราะเข้าใจแบบนี้ จึงอยู่ในความประมาท หลายคนที่พูดว่า ทำไมต้องปฏิบัติธรรมในเมื่อทุกวันนี้ฉันก็สบายดีอยู่แล้ว อาตมาอยากจะถามกลับว่า คนที่พูดเช่นนี้มีความสุขจริงหรือเปล่า อาตมาสังเกตดู หลาย ๆ คน เวลาทำงานก็เครียด กลับบ้านก็กังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะห่วงงาน ห่วงลูก ห่วงทรัพย์สมบัติ หลายคนถึงกับกินยานอนหลับ หรือกินยาลดความเครียด
ทีนี้สมมุติว่าเขามีความสุขจริง ๆ ธุรกิจรุ่งโรจน์ ครอบครัวอบอุ่น กินได้นอนหลับ คำถามก็คือ คนเหล่านี้ไม่ต้องปฏิบัติธรรมแล้วใช่ไหม อาตมาไม่แน่ใจ เพราะคนที่มีความสุขในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่า พรุ่งนี้จะมีความสุขด้วย วันนี้มีครอบครัวอบอุ่น ราบรื่น ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะยังคงราบรื่น อบอุ่น วันนี้มีความสุข แต่แน่ใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้จะไม่เป็นมะเร็ง หากพรุ่งนี้เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะที่ 3 เขาจะยังคงมีความสุขอยู่ไหม วันนี้มีลมหายใจ ใช่ว่าพรุ่งนี้จะยังคงมีลมหายใจอยู่ มีภาษิตธิเบตกล่าวว่า “ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่า อะไรจะมาก่อน”
บางคนมีชีวิตราบรื่น ตั้งแต่เล็กจนโต ครอบครัวก็มีความสุข วันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งลามไปถึงกระดูก ทั้งวันเอาแต่บ่นว่าอยากตาย อีกครอบครัวหนึ่ง สามีดูแลภรรยาและลูกดีมาก ครอบครัวก็อบอุ่น วันหนึ่งสามีเป็นมะเร็ง ไม่กี่เดือนต่อมาก็ตาย ภรรยารับไม่ได้ เสียศูนย์ไปเลย แม้จะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ทุกเช้าก็ยังทำอาหารให้สามีทาน โดยเอาอาหารมาวางบนโต๊ะที่มีแต่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า ทุกวันก็จะโทรศัพท์ไปที่เบอร์ของสามี เพื่อจะได้ฟังเสียงของสามี ทั้งนี้เป็นเพราะเธอยอมรับไม่ได้ว่าสามีได้ตายไปแล้ว จึงยังคงทำเสมือนว่าสามียังมีชีวิตอยู่ ลูกสาวมีความทุกข์มาก เพราะแม่เอาแต่คิดถึงพ่อ จนลืมลูกไปเลย
เป็นเพราะไม่มีอะไรแน่นอน ความสุขวันนี้อาจกลายเป็นความทุกข์วันหน้า ดังนั้นเราจึงควรหันมาปฏิบัติธรรม ให้มีสติสัมปะชัญญะ และปัญญาเอาไว้รับมือกับความผันผวนปรวนแปรที่อาจเกิดขึ้นกับเราหรือคนที่เรารักไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อย่าประมาทหรือชะล่าใจว่าฉันมีความสุขแล้ว จะปฏิบัติธรรมไปทำไม มันไม่มีหลักประกันเลย ว่าพรุ่งนี้เราจะยังมีความสุข เราจะยังมีชีวิตอยู่ เคยคิดเคยเผื่อใจไว้บ้างไหม ว่าสักวันหนึ่ง เราอาจเป็นมะเร็ง สามี ภรรยา ลูก อาจมีอันเป็นไป ทรัพย์สินเงินทองอาจสูญเสีย ถูกทำลาย มันไม่แน่ใช่ไหม เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ที่ภูเก็ต พังงา เช้าวันนั้น แดดใส ฟ้าสวย ไม่มีใครคิดเลยว่าอีกไม่กี่นาทีนรกจะแตกเพราะสึนามิซัดกระหน่ำ
ถ้าเราตระหนักว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เราจำต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับกับความผันผวนปรวนแปรในชีวิต สำหรับคนที่มีความทุกข์อยู่แล้วตอนนี้ ก็ยิ่งต้องรีบปฏิบัติธรรม เวลาเราทุกข์ เรามักโทษคนอื่น แต่เราเคยหันมามองตัวเองไหมว่า ที่ทุกข์นี่อาจเป็นเพราะใจของเราเปิดรับเอาความทุกข์เข้ามา