เรื่องมันเกิดขึ้นวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา บนถนนเลียบมอเตอร์เวย์ลาดกระบัง ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์มาในทางเอก อยู่ๆก็มีรถกระบะเลี้ยวตัดหน้ามาจากเลนที่สวนกัน จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันครับ จากนั้นผมถูกนำตัวส่ง รพ. ทันที เนื่องจากไม่สามารถขยับตัวลุกขึ้นยืน หรือช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อถึง รพ. อาการค่อนข้างสาหัสครับ กระดูกสะโพกเชิงกรานแตก ต้องใส่เหล็กตลอดชีวิต เส้นประสาทขาได้รับความเสียหาย นอน รพ. อยู่ 1 เดือน ซึ่งขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านรวมๆแล้วก็ราวๆ 5 เดือนกว่าแล้วครับ แต่ก็ยังไม่สามารถเดินได้อย่างถนัด 100 %
ส่วนในเรื่องของคดีนั้น ก็ตามคาดครับเกิดจากความประมาทของคู่กรณี โดยรถของคู่กรณีเป็นกระบะ ที่ไม่มีประกันครับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากคู่กรณีเลยแม้สักบาทเดียว ซึ่งค่าซ่อมรถของผมนั้นก็สูงมาก สูงจริงๆครับ ในส่วนนี้ผมก็ยอมรับ เพราะรถของผมนั้นเป็นบิ๊กไบค์ที่มีราคาค่อนข้างสูง อะไหล่ก็เป็นแบบเฉพาะรุ่นเท่านั้น ทางศูนย์ตีราคาซ่อมไว้ที่ประมาณ 1 แสน 2 หมื่นบาท ส่วนค่ารักษาพยบาลนั้นผมใช้ประกันของผมเองและมีค่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มเองไป 3 หมื่นบาท ซึ่งผมก็ได้รวบรวมบิลทุกๆอย่างไว้แล้วเพื่อยื่นประกอบรูปคดี แต่ทางคู่กรณีก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่มีทีท่าว่าจะไกล่เกลี่ยตกลงอะไรกันเลยครับ ทางตำรวจก็กำลังทำเรื่องฟ้องศาลให้ แต่ก็ไม่ได้ส่งเรื่องไปศาลสักที ทั้งที่สำนวนทุกอย่างก็เสร็จไปนานแล้ว อาจเป็นเพราะมีคดีต่อคิวกันเยอะรึป่าว อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่
วันนี้ผมได้โทรปรึกษากับทนายที่ให้ปรึกษาฟรี เขาบอกว่าให้ลองโทรไปไกล่เกลี่ยดูว่าเขาจะเอายังไง ถ้าตกลงกันได้จะได้ไม่ต้องฟ้องศาลอาญา เพราะคดีมันเป็นทั้งแพ่งและอาญา ผมก็โทรไปตามคำแนะนำครับ แต่คู่กรณีก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่า "ไม่มีปัญญาจ่ายหรอก ราคามันเกินจริงและไม่สมเหตุสมผล" ผมเลยบอกว่า "แล้วที่พี่บอกว่าจะเข้าไปดูรถผมที่ศูนย์ละครับ ทำไมพี่ไม่ไปดูจะได้ไปคุยกับทางนั้นว่าอะไรเป็นอะไร มันมีส่วนอะไหล่ที่เสียหายที่มันราคาสูงอยู่ อย่างโช็คคู่หน้า ถังน้ำมัน ฯลฯ" เขาก็แถไปเรื่อย บทสรุปของการคุยกันก็คือ จะไม่จ่ายแหละครับ จะให้ผมไปเรียกเอากับ พรบ. ซึ่งมันก็ได้ไม่ได้เยอะอะไร ผมก็เลยบอกเขาไปว่า งั้นผมก็ให้ทนายผมส่งฟ้องตามที่ทนายเขาแนะนำนะครับพี่ เพราะยังไงพี่ก็บอกว่ารอขึ้นศาลอย่างเดียวถูกไหมครับ แล้วผมก็วางสายไป
ไม่เกิน 10 นาที เขาโทรกลับมาหาผมครับ โดยบอกว่า "เอายังงี้ไหม ถ้าอยากจะซ่อมรถ ไปเอารถออกมาจากศูนย์ แล้วนัดผมไปถอยรถชน จะได้เรียกประกันมาเคลม จะได้จบๆ ง่ายด้วย" ผมเลยบอกขอคิดดูก่อนนะครับ แล้วก็วางสายกันไป
สรุปคือ ทางคู่กรณีเขาเหมือนว่าจะไม่ยอมจ่ายเลยแม้สักบาทเดียว เหมือนเขาเพิ่งไปทำประกันรถเขามาใหม่ เลยจะหัวหมอโกงประกัน เขาจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมที่เขาชนผมไว้ ส่วนค่าสินไหมนั้นก็จะเอาที่ พรบ. จ่ายให้ผมแทนอะไรแบบนี้ ซึ่งกรณีของ พรบ. ก็คงจ่ายให้ผมไม่ครบอยู่แล้วถูกไหมครับ หยุดงาน 6 เดือนขนาดนี้ ผมควรจะทำยังไงดีครับ เจ็บทั้งตัว เสียหายทั้งทรัพย์สิน แล้วดูทีท่าว่าอาจจะไม่ได้เงินด้วยครับ
ปล.ขอเสริมอีกนิดนะครับ ที่รถเขาไม่ทำประกันเพราะเขาอ้างว่ารถไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่เมื่อครั้งนัดเจอกันที่ สน. ครั้งแรกๆเลย เขาซ่อมรถของเขามาเรียบร้อยแล้วครับ ผมมองก็แอบปวดใจ รถเราเขาไม่สนใจ ส่วนรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน รีบซ่อมเลยนะครับ สงสัยกลัวจะไม่หล่อ ฮืออออออออ
ขับรถไม่มีประกันมาชนคนอื่น แล้วบอกไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหาย แบบนี้มันได้จริงๆหรอ???
ส่วนในเรื่องของคดีนั้น ก็ตามคาดครับเกิดจากความประมาทของคู่กรณี โดยรถของคู่กรณีเป็นกระบะ ที่ไม่มีประกันครับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากคู่กรณีเลยแม้สักบาทเดียว ซึ่งค่าซ่อมรถของผมนั้นก็สูงมาก สูงจริงๆครับ ในส่วนนี้ผมก็ยอมรับ เพราะรถของผมนั้นเป็นบิ๊กไบค์ที่มีราคาค่อนข้างสูง อะไหล่ก็เป็นแบบเฉพาะรุ่นเท่านั้น ทางศูนย์ตีราคาซ่อมไว้ที่ประมาณ 1 แสน 2 หมื่นบาท ส่วนค่ารักษาพยบาลนั้นผมใช้ประกันของผมเองและมีค่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มเองไป 3 หมื่นบาท ซึ่งผมก็ได้รวบรวมบิลทุกๆอย่างไว้แล้วเพื่อยื่นประกอบรูปคดี แต่ทางคู่กรณีก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่มีทีท่าว่าจะไกล่เกลี่ยตกลงอะไรกันเลยครับ ทางตำรวจก็กำลังทำเรื่องฟ้องศาลให้ แต่ก็ไม่ได้ส่งเรื่องไปศาลสักที ทั้งที่สำนวนทุกอย่างก็เสร็จไปนานแล้ว อาจเป็นเพราะมีคดีต่อคิวกันเยอะรึป่าว อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่
วันนี้ผมได้โทรปรึกษากับทนายที่ให้ปรึกษาฟรี เขาบอกว่าให้ลองโทรไปไกล่เกลี่ยดูว่าเขาจะเอายังไง ถ้าตกลงกันได้จะได้ไม่ต้องฟ้องศาลอาญา เพราะคดีมันเป็นทั้งแพ่งและอาญา ผมก็โทรไปตามคำแนะนำครับ แต่คู่กรณีก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่า "ไม่มีปัญญาจ่ายหรอก ราคามันเกินจริงและไม่สมเหตุสมผล" ผมเลยบอกว่า "แล้วที่พี่บอกว่าจะเข้าไปดูรถผมที่ศูนย์ละครับ ทำไมพี่ไม่ไปดูจะได้ไปคุยกับทางนั้นว่าอะไรเป็นอะไร มันมีส่วนอะไหล่ที่เสียหายที่มันราคาสูงอยู่ อย่างโช็คคู่หน้า ถังน้ำมัน ฯลฯ" เขาก็แถไปเรื่อย บทสรุปของการคุยกันก็คือ จะไม่จ่ายแหละครับ จะให้ผมไปเรียกเอากับ พรบ. ซึ่งมันก็ได้ไม่ได้เยอะอะไร ผมก็เลยบอกเขาไปว่า งั้นผมก็ให้ทนายผมส่งฟ้องตามที่ทนายเขาแนะนำนะครับพี่ เพราะยังไงพี่ก็บอกว่ารอขึ้นศาลอย่างเดียวถูกไหมครับ แล้วผมก็วางสายไป
ไม่เกิน 10 นาที เขาโทรกลับมาหาผมครับ โดยบอกว่า "เอายังงี้ไหม ถ้าอยากจะซ่อมรถ ไปเอารถออกมาจากศูนย์ แล้วนัดผมไปถอยรถชน จะได้เรียกประกันมาเคลม จะได้จบๆ ง่ายด้วย" ผมเลยบอกขอคิดดูก่อนนะครับ แล้วก็วางสายกันไป
สรุปคือ ทางคู่กรณีเขาเหมือนว่าจะไม่ยอมจ่ายเลยแม้สักบาทเดียว เหมือนเขาเพิ่งไปทำประกันรถเขามาใหม่ เลยจะหัวหมอโกงประกัน เขาจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมที่เขาชนผมไว้ ส่วนค่าสินไหมนั้นก็จะเอาที่ พรบ. จ่ายให้ผมแทนอะไรแบบนี้ ซึ่งกรณีของ พรบ. ก็คงจ่ายให้ผมไม่ครบอยู่แล้วถูกไหมครับ หยุดงาน 6 เดือนขนาดนี้ ผมควรจะทำยังไงดีครับ เจ็บทั้งตัว เสียหายทั้งทรัพย์สิน แล้วดูทีท่าว่าอาจจะไม่ได้เงินด้วยครับ
ปล.ขอเสริมอีกนิดนะครับ ที่รถเขาไม่ทำประกันเพราะเขาอ้างว่ารถไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่เมื่อครั้งนัดเจอกันที่ สน. ครั้งแรกๆเลย เขาซ่อมรถของเขามาเรียบร้อยแล้วครับ ผมมองก็แอบปวดใจ รถเราเขาไม่สนใจ ส่วนรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน รีบซ่อมเลยนะครับ สงสัยกลัวจะไม่หล่อ ฮืออออออออ