เพื่อนๆเคยทานสุกี้กันใช่มั้ยครับ จริงๆแล้วสุกี้เนี่ย มันมีวิธีกินที่ต่างจากที่เราทานกันทั่วไปอยุ่ทุกวันนี้
คือจะเริ่มจากตั้งกะทะด้วยไฟที่พอเหมาะ แล้วเอาเนื้อสัตว์ที่ต้องการจะกินลงไปผัดกับเนยจนเปลี่ยนสี
พอได้ที่ก็เอาน้ำซอสสูตรเข้มข้น เทลงไปให้ซึมเข้ากัน
แล้วเอาเนื้อร้อนๆ มาชุบกับไข่ดิบ
พอเนื้อร้อนๆ โดนไข่ดิบมันก็จะกึ่งสุกกึ่งดิบ เวลาทาน รสชาติ มันจะกลมกลืนกับซอสที่จุ่มเนื้อมาด้วย
ทำให้ได้รสชาติที่คนญี่ปุ่นแท้ๆเค้าทานกัน
ผมตามหาร้านแบบนั้นมาตลอดเพราะมันคือต้นตำหรับ ที่แท้จริงและสื่อถึงความรู้ความเข้าใจในสุกี้ของเจ้าของร้านเป็นอย่างดี
ใช่ว่าคิดจะเปิดร้านก็เปิด เอาหมูมาสไลด์ๆ ขายคู่กับน้ำจิ้มพันท้ายแล้วทุกอย่างจะจบสุกี้มันมีจุดเริ่มต้นและความอร่อยมากมายกว่านั้น
เพราะสุกี้ยากี้กำเนิดขึ้นในโลกตั้งแต่ยุคกลางของญี่ปุ่น โดยมีเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์เค้าเล่าว่า
ครั้งหนึ่งนักรบในยุคกลางของญี่ปุ่น ได้ออกล่าเนื้อสัตว์ (ที่เรียกว่า ยากิ) และเอาเนื้อมาให้ชาวบ้านใช้พลั่ว (เรียกว่า ซูกิ) ให้เอามาทำอาหาร
นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เมนูที่ชื่อว่า ซูกิยากิ ก็คลอดออกมาให้คนญี่ปุ่นในช่วงยุคกลางรู้จักกัน
เริ่มแรกนั้นซูกิยากิมีวิธีปรุง-อยู่ด้วยกัน 2 แบบ
1.แบบคันโตะ (แบบโตเกียวหรือภาคกลาง)
ซึ่งจะปรุงรสน้ำซุปให้มีรสชาติกลมกล่อม พร้อมนำเนื้อสัตว์และผักมาต้มพร้อมทานได้เลยทันที
2.แบบคันไซ (แบบโอซากะหรือภาคเหนือ) ที่ต้องต้มเนื้อสัตว์และผักก่อน
จากนั้นจึงค่อยนำเนื้อและผักออกมาปรุงรสด้วยซอสและซีอิ๊วก่อนจะจิ้มไข่ดิบแล้วเข้าปาก
และแล้วการตามหาร้านแบบคันไซก็สิ้นสุดลงจนมาเจอร้านนี้เข้า
ร้าน Sloth sukiyaki
ร้านจะอยู่ตรง Jas Urban Srinakarin
ชั้น2 ฝั่งโรงหนัง
ร้านนี้มีให้เลือกกินได้ทั้ง2แบบ
กับบุฟเฟ่ต์ หัวละ 395.- / 495.- NET
มีเนื้อยออสเตรเลีย dry age 30 วันเกรดพรีเมี่ยม เหมาะสำหรับ beef lover
เพราะร้านนี้มีการเอาใจใส่ในเรื่องของเนื้อมากๆ คือมีการ dry ageเนี้ย ซึ่งมันคือการเปลี่ยนสภาพเนื้อให้มีความลึกซึ้งมากขึ้น
โดยการบ่มแบบ dry age ทำได้ด้วยการแขวนเนื้อห้อยไว้ในห้องบ่มซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ 30 วัน
เพื่อให้เอนไซม์ในเนื้อกัดเนื้อจนนิ่มลง ทำให้เนื้อมีรสชาติที่ดี มีกลิ่นหอม และนิ่มขึ้น คล้ายกับการทำชีสหรือบ่มไวน์
และกระบวนการพวกนี้จะต้องมีการควบคุมเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งเรื่องอุณหภูมิ ความสะอาด และอื่นๆ
เพื่อควบคุมปฏิกิริยาของเนื้อจากการบ่มให้ได้ตามมาตรฐาน
ส่วนคนที่ไม่กินเื้อ ก็มีหมูคุโรบุตะ กุ้งเทมปุระ บิงซูเกล็ดละเอียด บางคนนี่แค่กินบิงซูอย่างดียวก็คุ้มแล้ว
ร้านบุฟเฟ่ต์แบบนี้ จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญคือการบริการ และให้ฟามสำคัญกับลูกค้า
ซึ่งร้านนี้อยู่ในระดับที่ดีเรื่องการบริการและนำเสนอเมนูต่างๆ ถ้ารักษามาตรฐานนี้เอาไว้ ร้านนี้เป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว
[SR] รีวิวสุกี้ตำหรับญี่ปุ่นแท้ๆจากร้าน sloth sukiyaki
เพื่อนๆเคยทานสุกี้กันใช่มั้ยครับ จริงๆแล้วสุกี้เนี่ย มันมีวิธีกินที่ต่างจากที่เราทานกันทั่วไปอยุ่ทุกวันนี้
คือจะเริ่มจากตั้งกะทะด้วยไฟที่พอเหมาะ แล้วเอาเนื้อสัตว์ที่ต้องการจะกินลงไปผัดกับเนยจนเปลี่ยนสี
พอได้ที่ก็เอาน้ำซอสสูตรเข้มข้น เทลงไปให้ซึมเข้ากัน
แล้วเอาเนื้อร้อนๆ มาชุบกับไข่ดิบ
พอเนื้อร้อนๆ โดนไข่ดิบมันก็จะกึ่งสุกกึ่งดิบ เวลาทาน รสชาติ มันจะกลมกลืนกับซอสที่จุ่มเนื้อมาด้วย
ทำให้ได้รสชาติที่คนญี่ปุ่นแท้ๆเค้าทานกัน
ผมตามหาร้านแบบนั้นมาตลอดเพราะมันคือต้นตำหรับ ที่แท้จริงและสื่อถึงความรู้ความเข้าใจในสุกี้ของเจ้าของร้านเป็นอย่างดี
ใช่ว่าคิดจะเปิดร้านก็เปิด เอาหมูมาสไลด์ๆ ขายคู่กับน้ำจิ้มพันท้ายแล้วทุกอย่างจะจบสุกี้มันมีจุดเริ่มต้นและความอร่อยมากมายกว่านั้น
เพราะสุกี้ยากี้กำเนิดขึ้นในโลกตั้งแต่ยุคกลางของญี่ปุ่น โดยมีเรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์เค้าเล่าว่า
ครั้งหนึ่งนักรบในยุคกลางของญี่ปุ่น ได้ออกล่าเนื้อสัตว์ (ที่เรียกว่า ยากิ) และเอาเนื้อมาให้ชาวบ้านใช้พลั่ว (เรียกว่า ซูกิ) ให้เอามาทำอาหาร
นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เมนูที่ชื่อว่า ซูกิยากิ ก็คลอดออกมาให้คนญี่ปุ่นในช่วงยุคกลางรู้จักกัน
เริ่มแรกนั้นซูกิยากิมีวิธีปรุง-อยู่ด้วยกัน 2 แบบ
1.แบบคันโตะ (แบบโตเกียวหรือภาคกลาง)
ซึ่งจะปรุงรสน้ำซุปให้มีรสชาติกลมกล่อม พร้อมนำเนื้อสัตว์และผักมาต้มพร้อมทานได้เลยทันที
2.แบบคันไซ (แบบโอซากะหรือภาคเหนือ) ที่ต้องต้มเนื้อสัตว์และผักก่อน
จากนั้นจึงค่อยนำเนื้อและผักออกมาปรุงรสด้วยซอสและซีอิ๊วก่อนจะจิ้มไข่ดิบแล้วเข้าปาก
และแล้วการตามหาร้านแบบคันไซก็สิ้นสุดลงจนมาเจอร้านนี้เข้า
ร้าน Sloth sukiyaki
ร้านจะอยู่ตรง Jas Urban Srinakarin
ชั้น2 ฝั่งโรงหนัง
ร้านนี้มีให้เลือกกินได้ทั้ง2แบบ
กับบุฟเฟ่ต์ หัวละ 395.- / 495.- NET
มีเนื้อยออสเตรเลีย dry age 30 วันเกรดพรีเมี่ยม เหมาะสำหรับ beef lover
เพราะร้านนี้มีการเอาใจใส่ในเรื่องของเนื้อมากๆ คือมีการ dry ageเนี้ย ซึ่งมันคือการเปลี่ยนสภาพเนื้อให้มีความลึกซึ้งมากขึ้น
โดยการบ่มแบบ dry age ทำได้ด้วยการแขวนเนื้อห้อยไว้ในห้องบ่มซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ 30 วัน
เพื่อให้เอนไซม์ในเนื้อกัดเนื้อจนนิ่มลง ทำให้เนื้อมีรสชาติที่ดี มีกลิ่นหอม และนิ่มขึ้น คล้ายกับการทำชีสหรือบ่มไวน์
และกระบวนการพวกนี้จะต้องมีการควบคุมเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งเรื่องอุณหภูมิ ความสะอาด และอื่นๆ
เพื่อควบคุมปฏิกิริยาของเนื้อจากการบ่มให้ได้ตามมาตรฐาน
ส่วนคนที่ไม่กินเื้อ ก็มีหมูคุโรบุตะ กุ้งเทมปุระ บิงซูเกล็ดละเอียด บางคนนี่แค่กินบิงซูอย่างดียวก็คุ้มแล้ว
ร้านบุฟเฟ่ต์แบบนี้ จริงๆ แล้วสิ่งสำคัญคือการบริการ และให้ฟามสำคัญกับลูกค้า
ซึ่งร้านนี้อยู่ในระดับที่ดีเรื่องการบริการและนำเสนอเมนูต่างๆ ถ้ารักษามาตรฐานนี้เอาไว้ ร้านนี้เป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น