"วอยซ์ทีวี" หน้าหงาย! เศรษฐีราชบุรียันเอง เต็มใจบริจาค ห้องประชุมหรูองค์กรแพทย์

กระทู้สนทนา
นักวิชาการเสื้อแดง จัดรายการทีวีเสื้อแดง หยิบข้อความหมอเสื้อแดงมาด่า "ตูน บอดี้สแลม" วิ่งบริจาคเงินช่วย 11 โรงพยาบาล หยิบภาพห้องพักแพทย์สุดหรู รพ.ราชบุรี ซัดหมอเองนั่นแหละใช้เงินหรูหราฟุ่มเฟือย แล้วไปโทษบัตรทอง เศรษฐีราชบุรีบอกกับหมอ ดูแล้วสวยงาม อยากเป็นที่หนึ่ง ลั่นคนไข้ก็ช่วยเหลืออยู่แล้ว อยากให้หมอได้พัก อัดกลับ "ที่หลังไปดูเสียก่อน"

จากกรณีที่รายการโอเวอร์วิว ดำเนินรายการโดย นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ของนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน ได้จัดรายการวิจารณ์กรณีที่นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้แสลม จะจัดกิจกรรมวิ่งการกุศล โครงการก้าวคนละเก้า เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

โดยได้หยิบภาพห้องพักหมอ หรือ ห้ององค์กรแพทย์ โรงพยาบาลราชบุรี โดยนำภาพโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี 1 ใน 11 แห่งที่ตูน บอดี้แสลม ขอรับบริจาค บริเวณห้องพักหมอ หรือห้องพักแพทย์ หรือห้ององค์กรแพทย์ เป็นห้องพักหรูซึ่งภายในมีเคาน์เตอร์เตรียมอาหารและเครื่องดื่ม ดูสภาพแล้วหรู สวยงามกว่าโรงแรมเกรดเอ มีชุดเก้าอี้พักผ่อน มีห้องประชุม มีห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็ก

นายศิโรตม์ อ้างว่า ภาพดังกล่าวได้มาจาก นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล ที่ประกาศตัวว่าเป็นแพทย์คนเสื้อแดง และกล่าวว่า การวิ่งของตูน บอดี้แสลม เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าคงจะต้องตั้งคำถามต่อไปว่า การวิ่งดังกล่าวนั้น สะท้อนปัญหาการจัดงบประมาณของภาครัฐหรือไม่ ที่ควรจะจัดแก้งบประมาณให้โรงพยาบาลศูนย์ได้รับงบประมาณมากขึ้น เมื่อเทียบกับงบที่จัดสรรไปยังกระทรวงอื่น

"นี่เป็นภาพโรงหนังส่วนตัว โชคดีของคุณหมอในโรงพยาบาลดังกล่าว ทำงานแบบข้าราชการทั่วไป แต่ว่ามีห้องสำหรับพักผ่อน ดูภาพยนตร์สบายใจ ผมเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ที่เสียภาษีให้โรงพยาบาลบ้านเราไม่มีจอหนังส่วนตัวแบบนี้ ไม่มีแม้กระทั่งทีวี หรือที่นั่งใหญ่ๆ แบบนี้ แต่นี่เป็นสภาพของห้องพักของหมอในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งตูน บอดี้แสลมจะวิ่ง บริจาคเงินเข้าไป" นายศิโรตม์ กล่าว

นายศิโรตม์ อ้างคำพูดของ นพ.พงษ์ศักดิ์ แพทย์คนเสื้อแดง ชาว จ.ราชบุรี ว่า ก่อนที่โรงพยาบาลศูนย์บางแห่งจะบอกว่าตัวเองขาดทุน และกลุ่มบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มต้านบัตรทอง ซึ่งที่ผ่านมามีพฤติกรรมโหนตูน บอดี้แสลมชัดเจน การวิ่งของตูน บอดี้แสลม ซึ่งทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำเพราะว่าห่วงใยประชาชน แต่กลุ่มต้านบัตรทองเริ่มขับเคลื่อนในโซเชียลมีเดียว่าการที่ตูนวิ่งเป็นเพราะว่า บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้โรงพยาบาลล้มเหลว และต้องมีการขับเคลื่อน มีการแก้บัตรทอง ล้มบัตรทองต่อไป

"นพ.พงษ์ศักดิ์ บอกว่าจริงๆ โรงพยาบาลที่มันมีปัญหา เป็นเพราะว่าการใช้งบฟุ่มเฟือยไปเองหรือเปล่า เป็นเพราะว่ามีการใช้งบจัดซื้อยาอย่างเกินความจำเป็นหรือเปล่า เป็นเพราะว่ามีการเอาเงินไปปรนเปรอหมอจนเกินกว่าเหตุหรือเปล่า ผู้บริหารโรงพยาบาลใช้จ่ายเงินอย่างเหมาะสม ควรแก่สถานะและความจำเป็นอย่างถูกต้องหรือไม่ และถามต่อว่า ตอนที่ตูนไปตรวจข้อมูลโรงพยาบาลดังกล่าวให้ตูนเยี่ยมชมห้องพักแพทย์ของโรงพยาบาลศูนย์แห่งนี้หรือไม่ เรื่องความหรูหรา เรื่องความสุขสบาย เรื่องการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือยของแพทย์ (เน้นเสียงดัง) เป็นเรื่องซึ่งประชาชนจำนวนมากไม่ทราบ และเป็นเรื่องซึ่งประชาชนอาจยังไม่เห็นภาพว่ามีส่วนทำให้งบประมาณค่ายา มีส่วนทำให้โอกาสของประชาชนที่จะได้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ดี หรือนั่นเท่ากับการปกป้องชีวิตประชาชนได้อย่างดีมากขึ้นนั้นสูญเสียไปอย่างไรบ้าง" นายศิโรตม์ กล่าว

ด้านเฟซบุ๊กเพจ Drama-addict ได้มีสมาชิกเพจชี้แจงว่า ห้องพักแพทย์ของโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี สร้างจากเงินบริจาคของเศรษฐีรายหนึ่ง ระบุเฉพาะให้สร้างห้องพักแพทย์ เนื่องจากมารักษาแล้วเห็นการทำงานหนักของหมอ เลยอยากช่วยให้มีห้องพักแพทย์ดีๆ เป็นการตอบแทนที่ดูแลรักษาจนมีอาการดีขึ้น แต่โรงพยาบาลนี้ขาดแคลนไม่ต่างจากโรงพยาบาลศูนย์อื่นๆ คนไข้เยอะและขาดแคลนเหมือนกัน แต่ห้องนี้เกิดจากเศรษฐีรายหนึ่งประทับใจการบริการของแพทย์ จึงอยากสร้างห้องพักดีๆ ให้หมอได้พักกัน
ขณะที่เฟซบุ๊ก โรงพยาบาลราชบุรี โพสต์ข้อความสัมภาษณ์นางสมจิต (สงวนนามสกุล) ผู้บริจาคห้องประชุมองค์กรแพทย์ เพื่อใช้ในการประชุมวิชาการและการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ โดยนางสมจิต กล่าวว่า "คนอื่นอาจจะดูหรูหรา สำหรับดิฉัน ผู้บริจาค รู้สึกภูมิใจที่ทำได้ดังใจ ดูแล้วสวยงาม ขอโทษ อยากเป็นที่หนึ่ง (หัวเราะ)" เมื่อถามว่า ถ้าไม่ต้องหรูหรามากแล้วแบ่งเงินที่เหลือไปช่วยคนไข้ นางสมจิต กล่าวว่า "คนไข้ฉันก็ช่วยเหลืออยู่แล้ว เครื่องมือแพทย์ก็บริจาค แต่อยากให้คุณหมอได้พักบ้างหลังจากทำงานหนัก" และว่า "ขออีกนิดนะคะ สื่อมวลชนที่หลังไปดูเสียก่อนว่าเรื่องจริงไม่จริง ลงไปทำให้คนที่ไม่นั่นนะเค้าเสียหาย ดิฉันบริจาคด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ"
นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก Drama-addict ยังกล่าวอีกว่า กรณีที่นายศิโรตม์ กล่าวว่า "การจัดซื้อเครื่องมือการแพทย์ที่ไม่จำเป็นเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ รพ ขาดทุน องค์การอนามัยโลกวิจัยพบว่ามีการลงทุนขยะ เอางบประมาณไปซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ไม่มีความจำเป็นเพื่อสนองความต้องการของหมอและโรงพยาบาล หนึ่งในเครื่องมือแพทย์ที่แพงที่สุดในโลกคือ PET/CT scan ที่ไทยมี 6 เครื่อง ทั้งที่ต้องการแค่ 4 เครื่อง และเครื่องนี้อาจขาดทุนวันละหนึ่งแสนบาทจากค่าบำรุงรักษา ขณะที่ี่ตูนวิ่งระดมทุน 700 ล้านบาท" นั้น

อย่างแรก PET scan เป็นเทคโนโลยีด้านรังสีวิทยาที่ถือว่าใหม่พอสมควรในบ้านเรา โดยจะใช้น้ำตาลชนิดพิเศษที่มีกัมมันตรังสี ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ใส่เข้าไปในร่างกาย น้ำตาลที่ว่านี้จะเข้าสู่เซลล์ร่างกายทุกชนิด แต่จะมากเป็นพิเศษ ในเนื้อเยื่อบางส่วนที่มีการทำงานเยอะผิดปกติ หรือมีการแบ่งตัวมากผิดปกติ แบบเซลล์มะเร็ง แล้วพอได้ตำแหน่งที่ผิดปกติ ก็จะมีการใช้ CT scan มาตรวจเนื้อเยื่อ อวัยวะตรงนั้นอีกที เพื่อให้เห็นตำแหน่งที่เป็นโรคชัดเจนยิ่งขึ้น คือเทคโนโลยีในการตรวจคนไข้ ที่มีความแม่นยำและไวต่อโรคยิ่งกว่า CT ธรรมดาหรือ MRI

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงเริ่มมีการนำอุปกรณ์ตัวนี้มาใช้กับคนไข้ในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะใช้ตรวจหาตำแหน่ง และกำหนดระยะของมะเร็งได้แม่นกว่า ทำให้การวางแผนทางรักษา และการตรวจว่ามะเร็งกลับมาเป็นซ้ำของหมอทำได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถใช้กับโรคทางสมอง เช่น โรคลมชัก โรคเส้นเลือดในสมอง โรคพาร์กินสัน หรือใช้กับโรคหัวใจก็ได้

ในบ้านเรา เริ่มมีการนำเข้าเครื่องนี้มารักษาคนไข้เมื่อหลายปีก่อน มีศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติที่สถาบันจุฬาภรณ์ด้วย และปัจจุบันก็มีเครื่องนี้กระจายตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วไทยหลายที่ แต่ที่เหมือนกันคือ มีผู้รอเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมาก เพราะใช้ทั้งตรวจวินิจฉัยเพื่อรักษาก็ได้ เพื่อการวิจัยก็ได้ ดังนั้นสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ต้องห่วงว่าซื้อมาแล้วจะไม่มีคนไข้ให้ใช้ แต่ใช้กันจนเครื่องจะไหม้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ รายการของนายศิโรตม์ นำบทความ 4-5 ปีก่อนมาอ่าน ส่วนหนึ่งระบุว่า ในสหรัฐอเมริการัฐบาลให้สนับสนุนการใช้ เพ็ต-ซีที สแกน ในการตรวจวินิจฉัยทั้งโรคมะเร็ง โรคทางระบบประสาท และโรคหัวใจ สำหรับประเทศอังกฤษสนับสนุนการใช้ เพ็ต-ซีที สแกน เพื่อการตรวจวินิจฉัยมะเร็งหลายชนิด แต่ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ว่า ควรมีเครื่อง เพ็ต-ซีที สแกน 1 เครื่อง ต่อจำนวนประชากร 1.5 ล้านคน และสนับสนุนให้มีระบบส่งต่อผู้ป่วยที่ดี แทนที่จะกระจายให้มีเครื่องครอบคลุมทั้งประเทศ ไม่น่ามีคำว่า "ประเทศไทยต้องการ PET/CT scan เพียงแค่หกเครื่อง" หลุดออกมาในเนื้อหาข่าวได้เลย

"การนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวกับงานวิจัยทางการแพทย์นั้น ข้อมูลคุณต้องอัพเดทมาก การหยิบงานสำรวจหรืองานวิจัยที่เก่าถึงห้าหกปีมาอ้างอิงนี่ อันนี้ไม่ได้นะครับ เพราะเพียงห้าปีเท่านั้นทั้งองค์ความรู้ด้านการแพทย์ หรือสถานการณ์ของผู้ป่วย วิธีการตรวจการรักษา สามารถเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้เลย" เฟซบุ๊ก Drama-addict ระบุ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่