เริ่มดู "ละอองดาว" เพราะชอบ อ๋อม นาว มาตั้งแต่เป็น เมืองใจ และ เจ้าจัน ใน "อตีตา" ติดตามชมตั้งแต่ตอนแรกภาพของละครสวยงามมาก เสื้อผ้าหน้าผม องค์ประกอบฉากต่างๆ สวยงามเหมาะสม โดยเฉพาะรถยนต์โบราณสวยงามเหมือนใหม่มาก ๆ ทำให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้จัดและทีมงานเป็นอย่างดี
นอกจากนี้การแสดงของ อ๋อม นาว และนักแสดงสมทบทั้งหลายในเรื่องเหมือนดึงให้เราย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตช่วงเวลานั้น ทั้งคำพูด บทสนทนา การวางท่าทางต่างๆ แตกต่างกับสมัยปัจจุบันอย่างชัดเจน ตอนดูละครเรื่องนี้ครั้งแรกยอมรับว่าไม่คุ้นชินกับภาษาค่อนข้างเป็นทางการและบทสนทนายาวๆ ที่บางครั้งมีการเปรียบเปรย หรือตัดพ้อต่อว่าด้วยคำพูดและน้ำเสียงธรรมดา แต่เมื่อคิดตามแล้วเจ็บ เมื่อติดตามชมไปเรื่อยกลับรู้สึกชื่นชมและชื่นชอบบทสนทนาเหล่านี้ ที่หาได้ยากในละครยุคปัจจุบันที่อาจจะเน้นความตรงไปตรงมา การใช้คำพูดวาจาเผ็ดร้อน และความสะใจของผู้พูด ผู้ชม และกลับมาถามตัวเองว่าเราเสพละครที่สวยงามละเมียดละไมทั้งภาพ เสียง วรรณศิลป์ วาทศิลป์ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ละครเรื่องนี้ทำให้เราย้อนคิดถึงคำว่า "สมบัติผู้ดี" คืออะไรบ้าง ความอ่อนโยน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีมรรยาท รู้จักกาละเทศะ และความหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีที่ไม่ได้วัดกันที่ความรวยความจน ความอดทนอดกลั้น และคุณสมบัติดีๆ หลายๆ อย่างที่สะท้อนออกมาในแต่ละตัวละคร
เพลงประกอบละคร และซาวน์ประกอบต่างๆ มีความไพเราะทั้งคำร้อง ทำนอง และดนตรี ทำให้เหมือนย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น ที่ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบมาก ต้องรู้จักการรอคอย ความคิดถึง ความโหยหา และทำให้รู้คุณค่าของความรักที่กว่าจะได้มาครอบครอง ชีวิตที่ไม่มีเครื่องมือสื่อสารนอกจากโทรศัพท์บ้าน ยุคสมัยที่ยังต้องส่งจดหมาย และรอคอยคำตอบด้วยความลุ้นระทึก อารมณ์ของพระเอกที่ได้แค่เห็นหลังคาบ้านก็ดีใจ หรือแค่ได้ติดตามความเป็นไปโดยการสืบถามจากคนรอบ ๆ ตัว ในยุคที่ไม่มีโซเชี่ยล
เด็กยุคใหม่อาจจะไม่เคยได้สัมผัสและรู้จักกับความรู้สึกเหล่านี้ ความละมุนละไมของชีวิตในอดีตที่ยังไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ละครเรื่องนี้ก็จะสะท้อนให้เห็นภาพ สภาพสังคม และการใช้ชีวิตของคนในสมัยนั้น สำหรับคนที่เกิดมาในช่วงรอยต่อของเทคโนโลยี คนที่เคยส่งจดหมายถึงคนรักและรอคำตอบ คนที่เคยต้องเดินผ่านบ้านคนรักและชะเง้อดูหลังคาบ้านก็มีความสุข หรือคนที่เคยเล่นดนตรีบรรเทาอาการคิดถึงคนรัก อย่างกรกฎพระเอกในเรื่อง อาจจะคิดถึงความทรมานด้วยความรัก ความคิดถึง แต่เป็นความทรมานที่หอมหวาน
นอกจากความงดงามของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ละครเรื่องนี้เดินเรื่องตามบทประพันธ์ของ "พนมเทียน" ที่สุดรักสุดหวงของท่าน เชื่อว่าแฟนนิยายที่เคยอ่านมาแล้ว ดูไปแล้วแทบจะคิดหน้ากระดาษต่างๆ ที่เล่าเรื่องราวของตัวละครออกมาได้ตรงตามบทประพันธ์มากๆ เรื่องหนึ่งค่ะ
สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้นักแสดง ทีมงาน และผู้จัด ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของละครไทย ที่ละมุนละไมสัมผัสได้ทั้งทาง "รูป" ภาพสวยงามของละคร, "รส" ชาติของบทประพันธ์, "กลิ่น" ไอของอดีต และ "เสียง" ดนตรี เพลงประกอบอันไพเราะ ที่สร้างความสุข ความอบอุ่น รอยยิ้ม ที่เอิบซ่านในใจแบบประหลาดที่อาจหาได้ยากในละครยุคปัจจุบัน
"ละอองดาว" ละครที่ทำให้หวนถึงความงดงามของชีวิต Slow Life ในอดีต
นอกจากนี้การแสดงของ อ๋อม นาว และนักแสดงสมทบทั้งหลายในเรื่องเหมือนดึงให้เราย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตช่วงเวลานั้น ทั้งคำพูด บทสนทนา การวางท่าทางต่างๆ แตกต่างกับสมัยปัจจุบันอย่างชัดเจน ตอนดูละครเรื่องนี้ครั้งแรกยอมรับว่าไม่คุ้นชินกับภาษาค่อนข้างเป็นทางการและบทสนทนายาวๆ ที่บางครั้งมีการเปรียบเปรย หรือตัดพ้อต่อว่าด้วยคำพูดและน้ำเสียงธรรมดา แต่เมื่อคิดตามแล้วเจ็บ เมื่อติดตามชมไปเรื่อยกลับรู้สึกชื่นชมและชื่นชอบบทสนทนาเหล่านี้ ที่หาได้ยากในละครยุคปัจจุบันที่อาจจะเน้นความตรงไปตรงมา การใช้คำพูดวาจาเผ็ดร้อน และความสะใจของผู้พูด ผู้ชม และกลับมาถามตัวเองว่าเราเสพละครที่สวยงามละเมียดละไมทั้งภาพ เสียง วรรณศิลป์ วาทศิลป์ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ละครเรื่องนี้ทำให้เราย้อนคิดถึงคำว่า "สมบัติผู้ดี" คืออะไรบ้าง ความอ่อนโยน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีมรรยาท รู้จักกาละเทศะ และความหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีที่ไม่ได้วัดกันที่ความรวยความจน ความอดทนอดกลั้น และคุณสมบัติดีๆ หลายๆ อย่างที่สะท้อนออกมาในแต่ละตัวละคร
เพลงประกอบละคร และซาวน์ประกอบต่างๆ มีความไพเราะทั้งคำร้อง ทำนอง และดนตรี ทำให้เหมือนย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น ที่ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบมาก ต้องรู้จักการรอคอย ความคิดถึง ความโหยหา และทำให้รู้คุณค่าของความรักที่กว่าจะได้มาครอบครอง ชีวิตที่ไม่มีเครื่องมือสื่อสารนอกจากโทรศัพท์บ้าน ยุคสมัยที่ยังต้องส่งจดหมาย และรอคอยคำตอบด้วยความลุ้นระทึก อารมณ์ของพระเอกที่ได้แค่เห็นหลังคาบ้านก็ดีใจ หรือแค่ได้ติดตามความเป็นไปโดยการสืบถามจากคนรอบ ๆ ตัว ในยุคที่ไม่มีโซเชี่ยล
เด็กยุคใหม่อาจจะไม่เคยได้สัมผัสและรู้จักกับความรู้สึกเหล่านี้ ความละมุนละไมของชีวิตในอดีตที่ยังไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ละครเรื่องนี้ก็จะสะท้อนให้เห็นภาพ สภาพสังคม และการใช้ชีวิตของคนในสมัยนั้น สำหรับคนที่เกิดมาในช่วงรอยต่อของเทคโนโลยี คนที่เคยส่งจดหมายถึงคนรักและรอคำตอบ คนที่เคยต้องเดินผ่านบ้านคนรักและชะเง้อดูหลังคาบ้านก็มีความสุข หรือคนที่เคยเล่นดนตรีบรรเทาอาการคิดถึงคนรัก อย่างกรกฎพระเอกในเรื่อง อาจจะคิดถึงความทรมานด้วยความรัก ความคิดถึง แต่เป็นความทรมานที่หอมหวาน
นอกจากความงดงามของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ละครเรื่องนี้เดินเรื่องตามบทประพันธ์ของ "พนมเทียน" ที่สุดรักสุดหวงของท่าน เชื่อว่าแฟนนิยายที่เคยอ่านมาแล้ว ดูไปแล้วแทบจะคิดหน้ากระดาษต่างๆ ที่เล่าเรื่องราวของตัวละครออกมาได้ตรงตามบทประพันธ์มากๆ เรื่องหนึ่งค่ะ
สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้นักแสดง ทีมงาน และผู้จัด ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของละครไทย ที่ละมุนละไมสัมผัสได้ทั้งทาง "รูป" ภาพสวยงามของละคร, "รส" ชาติของบทประพันธ์, "กลิ่น" ไอของอดีต และ "เสียง" ดนตรี เพลงประกอบอันไพเราะ ที่สร้างความสุข ความอบอุ่น รอยยิ้ม ที่เอิบซ่านในใจแบบประหลาดที่อาจหาได้ยากในละครยุคปัจจุบัน