
จับตา 4 คดีค้างเติ่งในศาลฎีกา "ปล่อยกู้กรุงไทย-แปลงสัมปทานมือถือ-ปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า-หวยบนดิน" หลังฝุ่นจับเกือบ 10 ปี ก่อนกฎหมายใหม่เปิดช่อง "พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้" อัยการสูงสุดเล็งรื้อขึ้นมาใหม่ ส่วน ป.ป.ช. ลุ้นที่ประชุมชุดใหญ่เคาะอังคารนี้
หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา
หนึ่งในประเด็นที่จับตามองมากที่สุด คือ ถ้าคดีไหน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับฟ้องคดีไว้แล้ว แต่จำเลยหลบหนีคดี หรือติดตามตัวจำเลยมาไต่สวนคดีไม่ได้
ถ้าเป็นสมัยก่อน หากจำเลยหลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ ต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว คดีก็ค้างเติ่งอยู่ในศาล หากหมดอายุความ ศาลก็พิจารณคดีไม่ได้
คนที่หลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ จึงเลือกที่จะรอให้หมดอายุความ แล้วค่อยกลับประเทศอย่างใสๆ
แต่กฎหมายใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถ "พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้"
สองมาตราที่น่าจับตามอง คือ มาตรา 28 กรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้แล้ว ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยไม่มาศาล ให้ศาลออกหมายจับ และให้ผู้มีหน้าที่ติดตามจับกุมรายงานผลเป็นระยะ
แต่ถ้าออกหมายจับจำเลยแล้ว จับกุมจำเลยไม่ได้ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่ออกหมายจับ ให้ศาลฎีกาฯ มีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยตั้งทนายความดำเนินการแทนตน
ส่วน มาตรา 69 บทบัญญัติใน พ.ร.ป. ไม่กระทบต่อการดำเนินการใด ในคดีที่ยื่นฟ้องไว้ และได้ดำเนินการไปแล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ
"ส่วนการดําเนินการต่อไป ให้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้"
นั่นเท่ากับว่า เปิดช่องให้คดีที่ยังไม่มีการไต่สวน และถูกจำหน่ายออกจากสารบบเพราะจำเลยหนีคดี โดยเฉพาะ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังมีคดีค้างเติ่งมาตั้งแต่หลบหนีคดีในปี 2551
ปัจจุบัน คดีของนายทักษิณ ที่ศาลฎีกาฯ จำหน่ายคดีออกจากสารบบ ได้แก่
1. คดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง 26 ส.ค. 2558 ศาลฎีกาตัดสินจำคุก นายวิโรจน์ นวลแข อดีต กก.ผจก.ธ.กรุงไทย 18 ปี พร้อมกับพวก รวม 27 คน
แต่นายทักษิณ จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ จึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัวนายทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของนายทักษิณไว้เป็นการชั่วคราว
แต่คดีนี้เป็นคนละส่วนกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ที่มีส่วนพัวพันการปล่อยกู้ให้กฤษฎามหานคร ซึ่งจะแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินในวันที่ 24 ต.ค. นี้
หากอัยการสั่งฟ้องนายพานทองแท้ ก็จะตกเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ซึ่งเป็นคนละศาลกับพ่อ
2. คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจของตัวเองและครอบครัว ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง
อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2551 และศาลฎีกาฯ รับฟ้องไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2551 นัดพิจารณาคดีครั้งแรก 15 ต.ค. 2551 แต่ศาลฎีกาฯ ได้ออกหมายจับนายทักษิณ เนื่องจากไม่มาศาล และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไว้เป็นการชั่วคราว
3. คดีปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้แก่รัฐบาลพม่า เพื่อเอื้อประโยชน์สั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัทชิน แซทเทลไลท์ และบริษัทในเครือตระกูลชินวัตร
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับไม้ผลัดจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยื่นฟ้องนายทักษิณ
แต่นายทักษิณ จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2551 ศาลฎีกาฯ ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว และให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
4. คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว (หวยบนดิน) ป.ป.ช. รับไม้ผลัดจาก คตส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ และพวกรวม 47 คน
วันที่ 30 ก.ย. 2552 ศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก นายวราเทพ รัตนากร, นายสมใจนึก เองตระกูล และ นายชัยวัฒน์ พสกภักดี คนละ 2 ปี (แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี)
แต่นายทักษิณ จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว
ทั้ง 4 คดี มี 2 คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของอัยการสูงสุด คนล่าสุดอย่าง นายเข็มชัย ชุติวงศ์ ส่งสัญญาณชัดเจนว่า คดีดังกล่าวสามารถรื้อฟื้นกลับมาพิจารณาใหม่ได้
นายเข็มชัย กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ โดยให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เดิมเคยเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบคดีเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะทำงานที่เหมาะสมขึ้นมา ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ
หากศาลฎีกาฯ เห็นตรงกันในการบังคับใช้กฎหมายส่วนนี้ก็สามารถดำเนินการต่อได้ ยืนยันว่าจำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกวิจารณ์จากอีกฝ่ายว่าไม่บังคับใช้กฎหมาย
สำหรับอีก 2 คดี อยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช. นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกฎหมายฉบับนี้ กับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา
เพราะคดีดังกล่าว ทำไว้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดก่อนที่หมดวาระไปแล้ว ต้องใช้เวลาศึกษาข้อกฎหมายกันก่อน ก็ถือว่าเป็นการทำต่อให้จบ
เตรียมนำเข้าหารือในที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. วันอังคารที่ 10 ต.ค. นี้ หากเห็นด้วยจะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อให้ศาลนำคดีกลับมาไต่สวนอีกครั้ง
รอลุ้นกันว่า คดีนายทักษิณที่ค้างเติ่งในศาลฎีกาฯ ยาวนานเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่หลบหนีไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในต่างประเทศ จะได้รับการสะสางหรือไม่ ถึงแม้เจ้าตัวเลือกที่จะหนีรอบโลก ไม่กลับประเทศไทยก็ตาม
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000102943
ลุ้น 4 คดี "ทักษิณ" ค้างเติ่งในศาลฎีกาฯ "อัยการ-ป.ป.ช." ปัดฝุ่น เปิดช่อง "พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้"
จับตา 4 คดีค้างเติ่งในศาลฎีกา "ปล่อยกู้กรุงไทย-แปลงสัมปทานมือถือ-ปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า-หวยบนดิน" หลังฝุ่นจับเกือบ 10 ปี ก่อนกฎหมายใหม่เปิดช่อง "พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้" อัยการสูงสุดเล็งรื้อขึ้นมาใหม่ ส่วน ป.ป.ช. ลุ้นที่ประชุมชุดใหญ่เคาะอังคารนี้
หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา
หนึ่งในประเด็นที่จับตามองมากที่สุด คือ ถ้าคดีไหน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับฟ้องคดีไว้แล้ว แต่จำเลยหลบหนีคดี หรือติดตามตัวจำเลยมาไต่สวนคดีไม่ได้
ถ้าเป็นสมัยก่อน หากจำเลยหลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ ต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว คดีก็ค้างเติ่งอยู่ในศาล หากหมดอายุความ ศาลก็พิจารณคดีไม่ได้
คนที่หลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ จึงเลือกที่จะรอให้หมดอายุความ แล้วค่อยกลับประเทศอย่างใสๆ
แต่กฎหมายใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถ "พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้"
สองมาตราที่น่าจับตามอง คือ มาตรา 28 กรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้แล้ว ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยไม่มาศาล ให้ศาลออกหมายจับ และให้ผู้มีหน้าที่ติดตามจับกุมรายงานผลเป็นระยะ
แต่ถ้าออกหมายจับจำเลยแล้ว จับกุมจำเลยไม่ได้ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่ออกหมายจับ ให้ศาลฎีกาฯ มีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยตั้งทนายความดำเนินการแทนตน
ส่วน มาตรา 69 บทบัญญัติใน พ.ร.ป. ไม่กระทบต่อการดำเนินการใด ในคดีที่ยื่นฟ้องไว้ และได้ดำเนินการไปแล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ
"ส่วนการดําเนินการต่อไป ให้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้"
นั่นเท่ากับว่า เปิดช่องให้คดีที่ยังไม่มีการไต่สวน และถูกจำหน่ายออกจากสารบบเพราะจำเลยหนีคดี โดยเฉพาะ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังมีคดีค้างเติ่งมาตั้งแต่หลบหนีคดีในปี 2551
ปัจจุบัน คดีของนายทักษิณ ที่ศาลฎีกาฯ จำหน่ายคดีออกจากสารบบ ได้แก่
1. คดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง 26 ส.ค. 2558 ศาลฎีกาตัดสินจำคุก นายวิโรจน์ นวลแข อดีต กก.ผจก.ธ.กรุงไทย 18 ปี พร้อมกับพวก รวม 27 คน
แต่นายทักษิณ จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ จึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัวนายทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของนายทักษิณไว้เป็นการชั่วคราว
แต่คดีนี้เป็นคนละส่วนกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ที่มีส่วนพัวพันการปล่อยกู้ให้กฤษฎามหานคร ซึ่งจะแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินในวันที่ 24 ต.ค. นี้
หากอัยการสั่งฟ้องนายพานทองแท้ ก็จะตกเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ซึ่งเป็นคนละศาลกับพ่อ
2. คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจของตัวเองและครอบครัว ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง
อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2551 และศาลฎีกาฯ รับฟ้องไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2551 นัดพิจารณาคดีครั้งแรก 15 ต.ค. 2551 แต่ศาลฎีกาฯ ได้ออกหมายจับนายทักษิณ เนื่องจากไม่มาศาล และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไว้เป็นการชั่วคราว
3. คดีปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้แก่รัฐบาลพม่า เพื่อเอื้อประโยชน์สั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัทชิน แซทเทลไลท์ และบริษัทในเครือตระกูลชินวัตร
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับไม้ผลัดจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยื่นฟ้องนายทักษิณ
แต่นายทักษิณ จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2551 ศาลฎีกาฯ ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว และให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อพิจารณาคดีต่อไป
4. คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว (หวยบนดิน) ป.ป.ช. รับไม้ผลัดจาก คตส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ และพวกรวม 47 คน
วันที่ 30 ก.ย. 2552 ศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก นายวราเทพ รัตนากร, นายสมใจนึก เองตระกูล และ นายชัยวัฒน์ พสกภักดี คนละ 2 ปี (แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี)
แต่นายทักษิณ จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว
ทั้ง 4 คดี มี 2 คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของอัยการสูงสุด คนล่าสุดอย่าง นายเข็มชัย ชุติวงศ์ ส่งสัญญาณชัดเจนว่า คดีดังกล่าวสามารถรื้อฟื้นกลับมาพิจารณาใหม่ได้
นายเข็มชัย กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ โดยให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เดิมเคยเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบคดีเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะทำงานที่เหมาะสมขึ้นมา ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ
หากศาลฎีกาฯ เห็นตรงกันในการบังคับใช้กฎหมายส่วนนี้ก็สามารถดำเนินการต่อได้ ยืนยันว่าจำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกวิจารณ์จากอีกฝ่ายว่าไม่บังคับใช้กฎหมาย
สำหรับอีก 2 คดี อยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช. นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อกฎหมายฉบับนี้ กับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา
เพราะคดีดังกล่าว ทำไว้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดก่อนที่หมดวาระไปแล้ว ต้องใช้เวลาศึกษาข้อกฎหมายกันก่อน ก็ถือว่าเป็นการทำต่อให้จบ
เตรียมนำเข้าหารือในที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช. วันอังคารที่ 10 ต.ค. นี้ หากเห็นด้วยจะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อให้ศาลนำคดีกลับมาไต่สวนอีกครั้ง
รอลุ้นกันว่า คดีนายทักษิณที่ค้างเติ่งในศาลฎีกาฯ ยาวนานเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่หลบหนีไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในต่างประเทศ จะได้รับการสะสางหรือไม่ ถึงแม้เจ้าตัวเลือกที่จะหนีรอบโลก ไม่กลับประเทศไทยก็ตาม
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000102943