บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36950792
บทที่ 4 ศพพี่สาว
กัลยารู้สึกผิดหวังที่ร้อยตำรวจเอกหญิงสุจิตราบอกว่าจะไม่ได้เดินทางมาด้วยเพราะมีงานสำคัญต้องไปทำ แต่จะมีนายตำรวจจากกองปราบปรามอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนไปรอรับที่สนามบินเชียงใหม่ น้องสาวของผู้ตายจึงเอาแต่นั่งเงียบในรถที่ผู้กองหญิงขับมาส่งยังสนามบินสุวรรณภูมิ เธอพบกับทนายความอัครเดชที่หน้าเคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินภายในประเทศของการบินไทยและขึ้นเครื่องบินมากับทนายความเพียงสองคน เธอหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าขนาดเล็กและกระเป๋าถือติดตัวอย่างละใบ ส่วนทนายความใช้กระเป๋าแบบมีล้อลากและถือกระเป๋าเอกสารใบเดิม
เมื่อคืน เธอโทร. ขอลางานสองหรืออาจเป็นสามวันซึ่งได้รับอนุญาตพร้อมคำแสดงความเสียใจและปลอบโยนจากหัวหน้าแผนกแม่บ้านของโรงแรม แต่ถ้าต้องลากิจนานกว่านั้นเพื่อทำธุระให้เสร็จก็ให้รีบโทร. บอกแต่เนิ่นๆ จะได้จัดหาคนทำหน้าที่แทนได้ทันเวลา จากนั้นเธอก็นอนหลับๆ ตื่นๆ ในใจนึกถึงแต่พี่สาวและหลานกาเหว่า
กัลยาเลี้ยงกาเหว่ามาตั้งแต่เกิดจนอายุหกขวบ เลี้ยงในห้องที่เธอพักอยู่ในปัจจุบัน เวลาเธอไปทำงานก็จะเอาหลานสาวไปฝากบ้านรับเลี้ยงเด็กอ่อนที่ท้ายซอย ส่วนแม่ของกาเหว่า จะโผล่หัวมาเดือนละครั้ง เอาเงินค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่บางครั้งก็มาๆ หายๆ ไม่สม่ำเสมอ เวลามาเยี่ยมลูกก็จะอยู่ได้ไม่กี่วัน และจะชวนเธอพากาเหว่าไปเที่ยวทะเล เหมารถตู้ไปเช้าเย็นกลับ เธอถามว่าพี่สาวทำงานอะไรที่ไหน ก็ไม่เคยบอก พูดแค่ว่า มีเงินมาให้อยู่ให้กินก็พอแล้ว อย่าถามอะไรมากนักเลย เธอก็เลยเลิกถามเลิกยุ่งเรื่องส่วนตัวของพี่สาวจากวันนั้น
เธอดูแลทะนุถนอมกาเหว่าจนคนอื่นคิดว่าเป็นลูกสาวของเธอเอง รักเอ็นดูสงสาร แม่อยู่ทาง พ่ออยู่ไหนเป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าพ่อของกาเหว่าเป็นใคร เดาเอาว่าคงเป็นพวกนิโกรเพราะผิวกาเหว่าออกดำๆ เหมือนคนพวกนั้น เพียงแต่ผมไม่หยิก แค่หยักศกและยาวดำเป็นมันเงางาม
พอหลานโตขึ้นก็พาไปเข้าโรงเรียนอนุบาลในซอยรามคำแหง 30 ถัดไปไม่ไกลจากห้องพัก เรียนจนจบชั้นอนุบาล 3 พี่สาวของเธอก็ยังคงมาๆ หายๆ เช่นเคย แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งพี่สาวของเธอก็มาบอกว่าไม่เอาลูกแล้ว จะให้พ่อเด็กมาเอาไปเลี้ยง และห้ามไม่ให้เธอเลี้ยงต่ออีกด้วย ถ้าเธอไม่ยอม รับรองสองพี่น้องมีเรื่องกันแน่นอน พี่สาวของเธอเป็นคนติดต่อพ่อของกาเหว่าให้มารับตัวลูกสาวไปอยู่ด้วย กัลยาได้พบพ่อของกาเหว่าในตอนที่เขามาอยู่กรุงเทพฯ ชั่วคราวเพื่อทำเรื่องเอกสารเอาตัวกาเหว่าไปอยู่เมืองนอกด้วยกัน เขามาจากอเมริกา เป็นคนผิวดำตัวใหญ่ๆ หนาๆ ก่อนกลับอเมริกาทั้งสี่คนเหมารถตู้ไปเที่ยวทะเลหัวหินกัน กินข้าวเล่นน้ำถ่ายรูปกันแบบแกนๆ ไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก
แต่ตอนไปส่งหลานขึ้นเครื่องบิน เธอร้องไห้แทบขาดใจ ไม่อยากให้หลานไป รักและผูกพันเหมือนลูกในไส้ หลานก็ร้องไห้ไม่อยากไป อยากอยู่กับน้าและอยู่ใกล้ๆ แม่ แต่แม่มันใจยักษ์ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ปล่อยลูกสาวไปได้อย่างไม่อาลัยอาวรณ์ ไล่ลูกสาวตัวเองไปให้พ้นๆ หน้า ด่าว่าลูกสาวเหมือนหมาเหมือนแมว เธอกับพี่สาวทะเลาะกันอย่างรุนแรงหลังจากหลานเดินทางออกนอกประเทศไปกับพ่อแล้ว เธอต่อว่าพี่สาวเป็นมารใจร้ายใจดำ ไม่รักลูก ผลักไสลูกให้ออกจากชีวิตตัวเอง หมามันยังรู้จักรักลูก แต่พี่สาวเธอมันจิตใจต่ำกว่าหมาเสียอีก หลังจากทะเลาะแล้วขู่ว่าจะตัดพี่ตัดน้องกัน พี่สาวของเธอก็หายเงียบไป ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
แกหายไปไหนตั้งนานพี่กิ๊ก ทำไมแกไม่ติดต่อฉัน กลับมาอีกที แกก็กลายเป็นศพไปแล้ว แกไปทำอะไรมาถึงได้พบจุดจบน่าเวทนาเช่นนี้ น่าสงสารก็แต่เจ้ากาเหว่า ถ้ารู้ว่าแม่ตาย จะต้องเสียใจมากมายขนาดไหน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอเขียนคุยกับหลานสาวผ่านทางเฟซบุ๊คเป็นระยะ ในช่วงแรกๆ ที่เป็นเพื่อนกันบนโซเชียล มีเดีย ก็ได้คุยกันบ่อยครั้ง แทบจะวันเว้นวัน แต่ระยะหลังๆ มานี้ ห่างกันออกไปไม่ค่อยได้ทักทายกันเหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมายในชีวิตประจำวันจึงไม่มีเวลาเขียนถึงกัน
เจ้านกกาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบเอาข้าวมาเผื่อ ไปคาบเอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน..เธอนึกถึงเนื้อเพลง กาเหว่า ที่ทั้งเธอและพี่สาวเคยร้องขับกล่อมหลานและลูกสาวตัวน้อยในช่วงวัยแบเบาะจนถึงระดับอนุบาล และเห็นภาพเด็กหญิงกาเหว่าตบมือพร้อมโยกหัวโยกตัวไปมาซ้ายขวาตามทำนองเพลงอย่างมีความสุขพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้น้ากับแม่
กัลยาแอบนั่งร้องไห้ไม่หยุดและไม่คุยกับทนายความตลอดเส้นทาง เธอเอาแต่เฝ้ามองออกนอกหน้าต่าง ใจหวนคิดไปถึงพี่สาวที่เป็นญาติโดยสายเลือดเพียงคนเดียวที่เธอมี พี่สาวที่เพิ่งจบชั้นประถม 6 แล้วพาน้องสาวอายุสิบขวบเข้ามาเสี่ยงโชคในกรุงเทพฯ หลังจากพ่อกับแม่ตายและถูกเจ้าหนี้ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ยึดบ้านยึดที่นาไปทั้งหมด พี่สาวผู้พาน้องมาอาศัยนอนใต้เพิงพักอยู่ในสลัมมักกะสันและทำงานทุกอย่างตั้งแต่เด็กเพื่อให้น้องสาวคนนี้มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าใส่และได้เรียนหนังสือ พี่สาวผู้ประเสริฐไม่ต่างจากพ่อแม่ พี่สาวผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทำไม..ทำไม..น้ำตาเธอไหลเอ่อล้นสองดวงตา
ชั่วอึดใจใหญ่ถัดมา เธอก็ลงที่สนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ทนายความเดินนำมาที่ประตูทางออก และเปิดประตูรถเก๋งสีดำคันใหญ่ที่จอดรอรับอยู่ให้เธอขึ้นนั่งเบาะหลัง ส่วนทนายความนั่งข้างคนขับ ก่อนรถเคลื่อนออก ทนายความแนะนำให้เธอรู้จักกับคนที่มารับว่าชื่อ พันตำรวจโทธีระเทพ พงศ์วีรศักดิ์ สารวัตรสืบสวนและปราบปราม กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม นายตำรวจหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมนางสาวกันตา มีคำ เมื่อนายตำรวจหันมา เธอยกมือไหว้และพบว่าเขาหน้าตาหล่อคม ผิวขาว หวีผมเรียบติดศีรษะ สวมเสื้อคลุมแบบเดียวกับตำรวจหญิงคนเมื่อวาน อายุเขาน่าจะสี่สิบต้นๆ แววตาดูมีอำนาจมาก และอีกยี่สิบนาทีต่อมาทุกคนก็มาถึงลานจอดรถโรงพยาบาลนครพิงค์
กัลยารู้สึกชื่นชมการทำงานสืบสวนอย่างรวดเร็วของตำรวจจนได้มาพบตัวเธอซึ่งเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่จะสามารถชี้ตัวผู้ตายและให้คำยืนยันได้ว่าเป็นพี่สาวของเธอเอง
“คุณกัลยา ผมได้รับรายงานการให้ปากคำของคุณจากผู้กองสุจิตราแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ แต่เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใส ทางตำรวจจึงเชิญทนายความมาร่วมเป็นพยานในการสืบสวนสอบสวนด้วย” นายตำรวจพูดเมื่อรถหยุดสนิทในลานจอด เสียงใหญ่ทุ้มนุ่มลึกและเย็นเฉียบ
“ฉันรู้ค่ะ ตำรวจหญิงที่กรุงเทพฯ บอกแล้ว”
“ก่อนอื่น ผมมีเอกสารให้คุณดู ช่วยส่งกระเป๋าใบข้างๆ คุณให้ผมหน่อย”
เธอหยิบกระเป๋ารูปร่างแบนๆ เหมือนแฟ้มสีดำส่งให้นายตำรวจ เขารับไปแล้วรูดซิปเปิด ดึงเอากระดาษออกมาหนึ่งชุด ยื่นกลับมาให้กัลยา
“นี่เป็นเอกสารทางการเงินที่เราตรวจสอบจากบัญชีธนาคารของผู้ตาย ตามชื่อและนามสกุล เราพบว่านางสาวกันตา มีคำ มีเงินสดในบัญชีธนาคารสามสิบเจ็ดล้านบาท มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีนี้ทุกเดือนตลอดระยะเวลาสิบสามปีมานี้ ปีละสามล้านบาท พบรายการเบิกถอนบ้าง แต่ไม่กี่ล้าน” สารวัตรตำรวจบอก
“สามสิบเจ็ดล้าน!” กัลยาตกใจยกมือซ้ายขึ้นทาบอก และมองดูตัวเลขระบุจำนวนเงินที่เรียงจากบนลงล่างซึ่งพิมพ์อยู่บนกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า มือขวาของเธอที่ถือเอกสารสั่นระริก แต่ใจสั่นรุนแรงยิ่งกว่า
“นอกนั้นยังมีบ้าน ที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินมีค่าที่ฝากไว้ในตู้เซฟธนาคารอีกหลายรายการ รวมมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาท เดี๋ยวเราจะเอาเอกสารพวกนั้นให้คุณดูอีกทีเมื่อกลับถึงที่พัก”
(กรุณาอ่านต่อในหน้าถัดไป)
[นิยาย] ฝ่าฝูงโจร (บทที่ 4 ศพพี่สาว)
บทที่ 4 ศพพี่สาว
กัลยารู้สึกผิดหวังที่ร้อยตำรวจเอกหญิงสุจิตราบอกว่าจะไม่ได้เดินทางมาด้วยเพราะมีงานสำคัญต้องไปทำ แต่จะมีนายตำรวจจากกองปราบปรามอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนไปรอรับที่สนามบินเชียงใหม่ น้องสาวของผู้ตายจึงเอาแต่นั่งเงียบในรถที่ผู้กองหญิงขับมาส่งยังสนามบินสุวรรณภูมิ เธอพบกับทนายความอัครเดชที่หน้าเคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินภายในประเทศของการบินไทยและขึ้นเครื่องบินมากับทนายความเพียงสองคน เธอหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าขนาดเล็กและกระเป๋าถือติดตัวอย่างละใบ ส่วนทนายความใช้กระเป๋าแบบมีล้อลากและถือกระเป๋าเอกสารใบเดิม
เมื่อคืน เธอโทร. ขอลางานสองหรืออาจเป็นสามวันซึ่งได้รับอนุญาตพร้อมคำแสดงความเสียใจและปลอบโยนจากหัวหน้าแผนกแม่บ้านของโรงแรม แต่ถ้าต้องลากิจนานกว่านั้นเพื่อทำธุระให้เสร็จก็ให้รีบโทร. บอกแต่เนิ่นๆ จะได้จัดหาคนทำหน้าที่แทนได้ทันเวลา จากนั้นเธอก็นอนหลับๆ ตื่นๆ ในใจนึกถึงแต่พี่สาวและหลานกาเหว่า
กัลยาเลี้ยงกาเหว่ามาตั้งแต่เกิดจนอายุหกขวบ เลี้ยงในห้องที่เธอพักอยู่ในปัจจุบัน เวลาเธอไปทำงานก็จะเอาหลานสาวไปฝากบ้านรับเลี้ยงเด็กอ่อนที่ท้ายซอย ส่วนแม่ของกาเหว่า จะโผล่หัวมาเดือนละครั้ง เอาเงินค่าเลี้ยงดูมาให้ แต่บางครั้งก็มาๆ หายๆ ไม่สม่ำเสมอ เวลามาเยี่ยมลูกก็จะอยู่ได้ไม่กี่วัน และจะชวนเธอพากาเหว่าไปเที่ยวทะเล เหมารถตู้ไปเช้าเย็นกลับ เธอถามว่าพี่สาวทำงานอะไรที่ไหน ก็ไม่เคยบอก พูดแค่ว่า มีเงินมาให้อยู่ให้กินก็พอแล้ว อย่าถามอะไรมากนักเลย เธอก็เลยเลิกถามเลิกยุ่งเรื่องส่วนตัวของพี่สาวจากวันนั้น
เธอดูแลทะนุถนอมกาเหว่าจนคนอื่นคิดว่าเป็นลูกสาวของเธอเอง รักเอ็นดูสงสาร แม่อยู่ทาง พ่ออยู่ไหนเป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าพ่อของกาเหว่าเป็นใคร เดาเอาว่าคงเป็นพวกนิโกรเพราะผิวกาเหว่าออกดำๆ เหมือนคนพวกนั้น เพียงแต่ผมไม่หยิก แค่หยักศกและยาวดำเป็นมันเงางาม
พอหลานโตขึ้นก็พาไปเข้าโรงเรียนอนุบาลในซอยรามคำแหง 30 ถัดไปไม่ไกลจากห้องพัก เรียนจนจบชั้นอนุบาล 3 พี่สาวของเธอก็ยังคงมาๆ หายๆ เช่นเคย แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งพี่สาวของเธอก็มาบอกว่าไม่เอาลูกแล้ว จะให้พ่อเด็กมาเอาไปเลี้ยง และห้ามไม่ให้เธอเลี้ยงต่ออีกด้วย ถ้าเธอไม่ยอม รับรองสองพี่น้องมีเรื่องกันแน่นอน พี่สาวของเธอเป็นคนติดต่อพ่อของกาเหว่าให้มารับตัวลูกสาวไปอยู่ด้วย กัลยาได้พบพ่อของกาเหว่าในตอนที่เขามาอยู่กรุงเทพฯ ชั่วคราวเพื่อทำเรื่องเอกสารเอาตัวกาเหว่าไปอยู่เมืองนอกด้วยกัน เขามาจากอเมริกา เป็นคนผิวดำตัวใหญ่ๆ หนาๆ ก่อนกลับอเมริกาทั้งสี่คนเหมารถตู้ไปเที่ยวทะเลหัวหินกัน กินข้าวเล่นน้ำถ่ายรูปกันแบบแกนๆ ไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก
แต่ตอนไปส่งหลานขึ้นเครื่องบิน เธอร้องไห้แทบขาดใจ ไม่อยากให้หลานไป รักและผูกพันเหมือนลูกในไส้ หลานก็ร้องไห้ไม่อยากไป อยากอยู่กับน้าและอยู่ใกล้ๆ แม่ แต่แม่มันใจยักษ์ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ปล่อยลูกสาวไปได้อย่างไม่อาลัยอาวรณ์ ไล่ลูกสาวตัวเองไปให้พ้นๆ หน้า ด่าว่าลูกสาวเหมือนหมาเหมือนแมว เธอกับพี่สาวทะเลาะกันอย่างรุนแรงหลังจากหลานเดินทางออกนอกประเทศไปกับพ่อแล้ว เธอต่อว่าพี่สาวเป็นมารใจร้ายใจดำ ไม่รักลูก ผลักไสลูกให้ออกจากชีวิตตัวเอง หมามันยังรู้จักรักลูก แต่พี่สาวเธอมันจิตใจต่ำกว่าหมาเสียอีก หลังจากทะเลาะแล้วขู่ว่าจะตัดพี่ตัดน้องกัน พี่สาวของเธอก็หายเงียบไป ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว
แกหายไปไหนตั้งนานพี่กิ๊ก ทำไมแกไม่ติดต่อฉัน กลับมาอีกที แกก็กลายเป็นศพไปแล้ว แกไปทำอะไรมาถึงได้พบจุดจบน่าเวทนาเช่นนี้ น่าสงสารก็แต่เจ้ากาเหว่า ถ้ารู้ว่าแม่ตาย จะต้องเสียใจมากมายขนาดไหน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอเขียนคุยกับหลานสาวผ่านทางเฟซบุ๊คเป็นระยะ ในช่วงแรกๆ ที่เป็นเพื่อนกันบนโซเชียล มีเดีย ก็ได้คุยกันบ่อยครั้ง แทบจะวันเว้นวัน แต่ระยะหลังๆ มานี้ ห่างกันออกไปไม่ค่อยได้ทักทายกันเหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากมายในชีวิตประจำวันจึงไม่มีเวลาเขียนถึงกัน
เจ้านกกาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบเอาข้าวมาเผื่อ ไปคาบเอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน..เธอนึกถึงเนื้อเพลง กาเหว่า ที่ทั้งเธอและพี่สาวเคยร้องขับกล่อมหลานและลูกสาวตัวน้อยในช่วงวัยแบเบาะจนถึงระดับอนุบาล และเห็นภาพเด็กหญิงกาเหว่าตบมือพร้อมโยกหัวโยกตัวไปมาซ้ายขวาตามทำนองเพลงอย่างมีความสุขพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้น้ากับแม่
กัลยาแอบนั่งร้องไห้ไม่หยุดและไม่คุยกับทนายความตลอดเส้นทาง เธอเอาแต่เฝ้ามองออกนอกหน้าต่าง ใจหวนคิดไปถึงพี่สาวที่เป็นญาติโดยสายเลือดเพียงคนเดียวที่เธอมี พี่สาวที่เพิ่งจบชั้นประถม 6 แล้วพาน้องสาวอายุสิบขวบเข้ามาเสี่ยงโชคในกรุงเทพฯ หลังจากพ่อกับแม่ตายและถูกเจ้าหนี้ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ยึดบ้านยึดที่นาไปทั้งหมด พี่สาวผู้พาน้องมาอาศัยนอนใต้เพิงพักอยู่ในสลัมมักกะสันและทำงานทุกอย่างตั้งแต่เด็กเพื่อให้น้องสาวคนนี้มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าใส่และได้เรียนหนังสือ พี่สาวผู้ประเสริฐไม่ต่างจากพ่อแม่ พี่สาวผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทำไม..ทำไม..น้ำตาเธอไหลเอ่อล้นสองดวงตา
ชั่วอึดใจใหญ่ถัดมา เธอก็ลงที่สนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ทนายความเดินนำมาที่ประตูทางออก และเปิดประตูรถเก๋งสีดำคันใหญ่ที่จอดรอรับอยู่ให้เธอขึ้นนั่งเบาะหลัง ส่วนทนายความนั่งข้างคนขับ ก่อนรถเคลื่อนออก ทนายความแนะนำให้เธอรู้จักกับคนที่มารับว่าชื่อ พันตำรวจโทธีระเทพ พงศ์วีรศักดิ์ สารวัตรสืบสวนและปราบปราม กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม นายตำรวจหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมนางสาวกันตา มีคำ เมื่อนายตำรวจหันมา เธอยกมือไหว้และพบว่าเขาหน้าตาหล่อคม ผิวขาว หวีผมเรียบติดศีรษะ สวมเสื้อคลุมแบบเดียวกับตำรวจหญิงคนเมื่อวาน อายุเขาน่าจะสี่สิบต้นๆ แววตาดูมีอำนาจมาก และอีกยี่สิบนาทีต่อมาทุกคนก็มาถึงลานจอดรถโรงพยาบาลนครพิงค์
กัลยารู้สึกชื่นชมการทำงานสืบสวนอย่างรวดเร็วของตำรวจจนได้มาพบตัวเธอซึ่งเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวที่จะสามารถชี้ตัวผู้ตายและให้คำยืนยันได้ว่าเป็นพี่สาวของเธอเอง
“คุณกัลยา ผมได้รับรายงานการให้ปากคำของคุณจากผู้กองสุจิตราแล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ แต่เพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใส ทางตำรวจจึงเชิญทนายความมาร่วมเป็นพยานในการสืบสวนสอบสวนด้วย” นายตำรวจพูดเมื่อรถหยุดสนิทในลานจอด เสียงใหญ่ทุ้มนุ่มลึกและเย็นเฉียบ
“ฉันรู้ค่ะ ตำรวจหญิงที่กรุงเทพฯ บอกแล้ว”
“ก่อนอื่น ผมมีเอกสารให้คุณดู ช่วยส่งกระเป๋าใบข้างๆ คุณให้ผมหน่อย”
เธอหยิบกระเป๋ารูปร่างแบนๆ เหมือนแฟ้มสีดำส่งให้นายตำรวจ เขารับไปแล้วรูดซิปเปิด ดึงเอากระดาษออกมาหนึ่งชุด ยื่นกลับมาให้กัลยา
“นี่เป็นเอกสารทางการเงินที่เราตรวจสอบจากบัญชีธนาคารของผู้ตาย ตามชื่อและนามสกุล เราพบว่านางสาวกันตา มีคำ มีเงินสดในบัญชีธนาคารสามสิบเจ็ดล้านบาท มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีนี้ทุกเดือนตลอดระยะเวลาสิบสามปีมานี้ ปีละสามล้านบาท พบรายการเบิกถอนบ้าง แต่ไม่กี่ล้าน” สารวัตรตำรวจบอก
“สามสิบเจ็ดล้าน!” กัลยาตกใจยกมือซ้ายขึ้นทาบอก และมองดูตัวเลขระบุจำนวนเงินที่เรียงจากบนลงล่างซึ่งพิมพ์อยู่บนกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่า มือขวาของเธอที่ถือเอกสารสั่นระริก แต่ใจสั่นรุนแรงยิ่งกว่า
“นอกนั้นยังมีบ้าน ที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินมีค่าที่ฝากไว้ในตู้เซฟธนาคารอีกหลายรายการ รวมมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาท เดี๋ยวเราจะเอาเอกสารพวกนั้นให้คุณดูอีกทีเมื่อกลับถึงที่พัก”
(กรุณาอ่านต่อในหน้าถัดไป)