[นิยาย] ฝ่าฝูงโจร (บทที่ 3 นักสืบขวานทอง)

กระทู้สนทนา
บทที่ 2 https://ppantip.com/topic/36943936

บทที่ 3 นักสืบขวานทอง

การประชุมด่วนกับหัวหน้าฝ่ายครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นในตอนที่กลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอสเริ่มบุกยึดเมืองมาราวี บนเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์เป็นคืนแรก ซึ่งนั่นก็นานมากแล้ว แต่สมองของเธอยังคงจดจำวันนั้นได้เสมอ

        เธอวิเคราะห์สถานการณ์ว่า การที่พวกไอเอสใช้ผู้ก่อการร้ายที่ประกาศตัวสวามิภักดิ์ต่อตนเองอย่างกลุ่มอาบู ไซยยาฟและแก๊งโจรติดอาวุธเมาเตเป็นทัพหน้าเปิดฉากโจมตีหมายยึดครองเขตพื้นที่เมืองนั้นเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะผู้นำสายเหยี่ยวของฟิลิปปินส์จะไม่มีวันปล่อยให้พวกผู้ก่อการร้ายเหิมเกริมได้ใจ เขาจะประกาศกฎอัยการศึกในทันทีแล้วสั่งการให้เจ้าหน้าที่และกองทัพทหารยกกำลังเข้าทำลายล้างอย่างเด็ดขาดชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันไม่ต่างจากที่เขาทำสงครามปราบปรามพวกค้ายาเสพย์ติด

        จากนั้นพันธมิตรอย่างรัสเซียและจีนก็จะเสนอตัวเข้าร่วมรบเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายในครั้งนี้ พร้อมกับส่งกำลังบำรุงด้วยไพร่พลและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามมาสนับสนุน ไม่นานนักพวกผู้ก่อการร้ายก็จะอ่อนกำลังลงแล้วหลบหนีไปซ่อนตัวตามชุมชนในพื้นที่พร้อมกับจะใช้ชาวบ้านเป็นทั้งโล่ห์และตัวประกันตามวิถีถนัดเพื่อต่อรองไม่ให้เจ้าหน้าที่ตามสังหารเด็ดหัวพวกตัวเอง ท้ายที่สุดพวกโจรกบฏติดอาวุธก็จะต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแล้วพากันหนีตายข้ามทะเลกลับไปกบดานอยู่บนเกาะบาซิลันตามเดิม

        แต่เช้านี้มีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้นนะ หัวหน้าถึงต้องเรียกเธอเข้าประชุมเร่งด่วนแบบนี้ แถมยังสั่งให้เก็บกระเป๋าเดินทางไปทำงานภาคสนามที่เชียงรายอีกด้วย...หญิงสาวคิด

        อัญมณี กานต์ภักดี เจ้าหน้าที่ข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายสากล สำนักข่าวกรองแห่งชาติ รีบบึ่งรถยนต์นิสสัน มาร์ช สีดำเพื่อมาให้ทันเวลาเข้าประชุมที่หน่วยงานต้นสังกัดบนถนนราชดำเนินนอก ในวัย 32 ปี เธอยังเป็นโสดและสด หน้าตาไม่ได้สะสวยอะไรมากมาย ตัวเล็กเตี้ยติดดินกับความสูงแค่ 153ซม จึงไม่เคยมีใครมาจีบ เธอก็เลยยังไม่ได้ออกเหย้าออกเรือนไปจากแม่และน้องสาวสองคนสักที แต่เธอก็แข็งแรงมีกล้ามเนื้อแน่นปั๋งจากการวิ่งวันละสิบกิโลเมตรเป็นประจำในตอนเช้า ลุกนั่งและดันพื้นอีกอย่างละห้าสิบครั้ง การฝึกรบในระยะประชิดทั้งด้วยมีดและอาวุธปืนและการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าสม่ำเสมอช่วยให้ร่างกายของเธอฟิตเปรี๊ยะและคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งขึ้น นอกจากนั้นเธอก็ยังเรียนมวยไทยนานกว่าสามชั่วโมงในทุกสุดสัปดาห์

        เธอเรียนจบปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์วิชาเอกการเมืองการปกครอง จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทด้านปรัชญาการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ ลอสแองเจลีส หรือ ยูซีแอลเอ สหรัฐอเมริกา เริ่มต้นรับราชการในสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ในฐานะนักวิเคราะห์ข่าวของฝ่ายข่าวกรองและต่อต้านข่าวกรองต่างประเทศ ด้วยการพูดอ่านเขียนได้คล่องหลายภาษาทั้งของชาติตะวันตกและตะวันออกทำให้เธอสามารถติดตามสถานการณ์ของทุกประเทศในทวีปเอเชียและทั่วโลกจากแหล่งข่าวเปิดและปิดแล้วนำมาวิเคราะห์พร้อมตั้งสมมุติฐานถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมา ขณะเดียวกันก็หาความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ ความสัมพันธ์ของคนในกลุ่มต่างๆ และคาดการณ์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิผล
    
        แต่ต่อมาเธอก็ขอย้ายมาทำงานกับฝ่ายข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายสากล ซึ่งเธอเป็นทั้งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข่าวและออกลุยงานภาคสนามในเวลาเดียวกัน เธอเริ่มสนใจศึกษาเกี่ยวกับการก่อการร้ายสากลอย่างจริงจังตั้งแต่กลุ่มรัฐอิสลามปรากฏตัวตนขึ้นมาบนโลก

    หญิงสาวแสดงบัตรต่อพนักงานรักษาความปลอดภัย ก่อนนำรถเข้ามาจอดภายในพื้นที่ของวังปารุสกวัน ที่ทำการใหญ่ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ คว้ากระเป๋าเป้และโทรศัพท์ วิ่งขึ้นชั้นสอง ผลักประตูเข้าห้องประชุมเล็กด้านปีกซ้ายของอาคารที่เคยเป็นพระตำหนักของเจ้าฟ้าจักรพงษภูวนาถ พระราชโอรสในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถของในหลวงรัชการที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี

    “คนเก่งของเรามาถึงเสียที” เสียงหัวหน้าวิศรุต ศรีสมบัติจากฝ่ายข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายสากลพูดขึ้น “ล็อกประตูด้วย”

    หญิงสาวปฏิบัติตาม แล้วทำหน้าเจื่อนๆ หันมายกมือไหว้ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมไม้สักขัดมันสะท้อนแสงเป็นเงางาม คุณพิชัย สุริยะประสิทธิ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือ สขช. นั่งอยู่หัวโต๊ะ ถัดมาทางขวาคือคุณศิวลักษณ์ พรสีนิล รองผู้อำนวยการ สขช. รับผิดชอบด้านข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายสากล ข้างกันเป็นหัวหน้าวิศรุต เจ้านายของเธอ ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นคุณเชษฐา ประภาพันธ์ หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองและต่อต้านข่าวกรองภายในประเทศ และสุดท้ายคือคุณสุรชาติ เกษมเปรมจิต ลูกน้องคุณเชษฐา ที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี แต่หัวหน้าไม่ได้บอกว่าต้องเข้าประชุมกับท่านผู้อำนายการฯ และท่านรองฯ รวมทั้งหัวหน้าฝ่ายอื่นด้วย เธอก็เลยรู้สึกแย่กับตัวเองที่มาถึงช้ากว่าผู้ใหญ่ในองค์กร

        “องค์ประชุมมาครบแล้ว เรามาเริ่มกันเลย” ท่านผู้อำนวยการพิชัยพูดขึ้นหลังจากอัญมณีนั่งลงข้างหัวหน้าของเธอ “สิ่งที่คุณอัญมณีจะได้รับทราบในวันนี้ ขอให้ปกปิดไว้เป็นความลับในกลุ่มผู้เข้าร่วมรับฟังเพียงหกท่านนี้เท่านั้น ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนนอกห้องนี้รู้เป็นอันขาด เพราะสิ่งที่ผมจะกล่าวถึงในลำดับต่อไป มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างใหญ่หลวง”

        “ทราบค่ะ” เจ้าของชื่อรับปากและหันสบตาทีละคน พร้อมกันนั้นท่านรองฯ ศิวลักษณ์ก็ยื่นแฟ้มเอกสารให้เธอ

        อัญมณีรับมาเปิดออกดู พบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของหญิงชื่อนางสาวกันตา มีคำ พร้อมเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน และภูมิลำเนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดขอนแก่น นายพิชัยชาญ วัฒนศรีชัยกุล ที่มีภูมิลำเนาอยู่บนถนนสุขสวัสดิ์ฝั่งธนบุรี และนางวิจิตราภรณ์ วัฒนศรีชัยกุล ซึ่งมีที่อยู่เดียวกันกับนายพิชัยชาญ นอกนั้นเป็นรูปถ่ายหลายๆ มุมของนางสาวกันตากับชายหน้าตาคล้ายชาวอาหรับร่างกายสูงใหญ่ด้วยกล้องที่ติดเลนส์ซูมระยะไกล ที่เหลือเป็นข้อมูลประวัติบุคคลและรายงานการสะกดรอยอีกหลายแผ่น นี่เราเป็นคนเดียวในห้องประชุมที่ยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหมเนี่ย...เธอคิด

        “มีเวลาแล้วค่อยอ่าน” ท่านรองผู้อำนวยการฯ บอกหญิงสาว

        “ผมจะพูดยาวๆ ให้คุณอัญมณีเข้าใจและมองเห็นภาพตาม อย่าเพิ่งพูดแทรกจนกกว่าผมจะพูดจบ เอาภาพขึ้นจอซิ” ท่านผู้อำนวยการฯ สั่ง สักพักคุณสุรชาติก็กดปุ่มแล็ปท็อป แล้วเครื่องฉายเหนือศีรษะก็ส่งภาพใบหน้าบุคคลที่อยู่ในแฟ้มไปปรากฏบนจอที่ผนังด้านหลังห้อง “นางสาวกันตา มีคำ หรือที่เราให้ชื่อรหัสแทนตัวว่า นกน้อย เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีค้ามนุษย์ที่ตำรวจกำลังจับตาดูอยู่ ส่วนนายพิชัยชาญ วัฒนศรีชัยกุล หรือชื่อรหัส นกใหญ่ เป็นผู้จัดการใหญ่โรงแรม ดิ เอ็กเซลลิเซอร์ แถวสะพานตากสิน และนางวิจิตราภรณ์ หรือ อีแร้ง เป็นภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของนกใหญ่ เป็นเจ้าของร้านขายเพชรพลอยชื่อ เฮฟเวนส์ จิลเวลรี ย่านถนนสีลม โดยทั้งสามคนนนี้ เราตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนรวมทั้งให้ที่พักพิงกบดานในประเทศไทยแก่เครือข่ายพวกผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ ข้อมูลประวัติบางส่วนของคนทั้งสามนี้มีอยู่ในแฟ้มข้างหน้าคุณอัญมณีแล้ว”

        ท่านผู้อำนวยการฯ หยุดเพื่อส่งยิ้มให้หญิงสาวคนเดียวที่โต๊ะประชุม แล้วจึงพูดต่อ “เมื่อหลายปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์หรือ ปคม. พบว่านกน้อยมีส่วนเชื่อมโยงกับการลักลอบพาพวกโรฮิงญาเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายและให้ที่พักพิงกับคนพวกนั้นเพื่อเรียกเงินค่าคุ้มครองและ/หรือค่าไถ่ เธอทำหน้าที่เป็นนางนกต่อให้กับหัวหน้าเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ที่ถูกทางการจับกุมตัวและดำเนินคดีจนถึงที่สุดไปบ้างแล้ว ถ้าทุกคนยังพอจำกันได้ ส่วนตัวเธอหลบหนีไปทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วหายเงียบไป ซึ่งทาง ปคม. คาดว่าเธอน่าจะออกนอกประเทศไปทางชายแดนจังหวัดนราธิวาสเพื่อเข้ามาเลเซีย แต่เมื่อห้าวันที่แล้วหรือในวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง เธอกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ เธอกลับเข้าประเทศไทยพร้อมกับชายต่างชาติคนหนึ่งที่มีรูปพรรณสัญฐานคล้ายชาวอาหรับจากประเทศในแถบตะวันออกกลาง แต่ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาในชื่อนายนโรดม สีหกำปง เข้าเมืองมา และเราให้ชื่อรหัสแทนตัวนายคนนี้ว่า ซัดดัม”

        ภาพบนจอเลื่อนไปเป็นรูปจากกล้องที่ถ่ายชายใบหน้าตามแบบฉบับคนอาหรับที่โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลาและสวมสูทสากลจากระยะไกล “ฝ่าย ปคม. รีบส่งภาพถ่ายและข้อมูลหนังสือเดินทางของซัดดัมไปให้ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายสากล กองบัญชาการกองทัพไทยหรือ ศตก. ตามขั้นตอนปฏิบัติมาตรฐานเพื่อส่งใบหน้าไปตรวจสอบต่อยังศูนย์ฯ ของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนรวมทั้งของชาติพันธมิตรในทวีปอเมริกาเหนือ ใต้ ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และออสเตรเลียอย่างเร่งด่วน ในวันรุ่งขึ้นทางการกัมพูชาแจ้งกลับมาว่า หนังสือเดินทางเล่มนั้นเป็นฉบับจริงที่กระทรวงการต่างประเทศออกให้กับชายชาวกัมพูชาที่ชื่อนายนโรดม สีหกำปง พร้อมกับส่งเอกสารมายืนยันว่านายนโรดมไม่ใช่คนเดียวกับชายหน้าตาแบบชาวอาหรับตามรูปถ่ายที่ ศตก. ส่งไปให้อย่างแน่นอน แต่ทางการกัมพูชายังตามหาตัวนายนโรดมไม่พบ ซึ่งเรื่องนี้สัญนิษฐานได้ว่า มีคนดัดแปลงหนังสือเดินทางกัมพูชาฉบับนั้นด้วยการเอารูปถ่ายของซัดดัมใส่ลงไปแทนรูปเจ้าของเดิม แต่ยังคงรักษาข้อมูลชื่อวันเดือนปีเกิดจริงเอาไว้ จากนั้นก็ให้ซัดดัมแอบอ้างตนเป็นผู้ถือหนังสือเดินทางตัวจริงเพื่อข้ามเข้ามาในเมืองไทย”

        ท่านเว้นวรรคหายใจเฮือกหนึ่ง “แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ศตก. ก็ได้รับอีกเบาะแสหนึ่ง แต่เชื่อไหมว่าเป็นเบาะแสจากหน่วยข่าวกรองต่อต้านการก่อการร้ายสากลของรัสเซีย ไม่ได้มาจากหน่วยข่าวของอเมริกา อังกฤษ อิสราเอลหรือแม้แต่ออสเตรเลียที่ทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายสากลมาโดยตลอด ทางรัสเซียซึ่งส่งหน่วยข่าวกรองเข้าไปช่วยรบในซีเรียแจ้งมาว่า รูปหน้าของซัดดัมมีส่วนคล้ายคลึงกับใบหน้าของนายอาฮ์หมัด อัลกีรฮ์ ฮัจจา ผู้บังคับการกองพันที่ 1 แห่งกองทัพซีเรียเสรีหรือทหารกบฏซีเรียที่กำลังทำสงครามกับกองทัพรัฐบาลเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาดอยู่ในขณะนี้ โดยผู้บังคับกองพันคนนี้เคยนำกำลังเข้ายึดครองเมืองอะเลปโปมาแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็หันไปเข้าร่วมสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอสและได้ขึ้นเป็นมือซ้ายของนายอาบู บัฆร์ อัล บัฆฮ์ดาดี หัวหน้ากลุ่มไอเอสอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งไอเอสและทหารกบฎก็ช่วยกันสู้รบกับกองทัพรัฐบาลเซียเรียอย่างที่เรารู้ในปัจจุบัน แต่ว่าซัดดัมคนนี้จะเป็นคนเดียวกับผู้บังคับกองพันคนนั้นหรือไม่ ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะตลอดสองถึงสามปีมานี้ ไม่มีใครพบเห็นเขาในสมรภูมิรบในซีเรียและอิรักอีกเลย”

        ท่านผู้อำนวยการหยุดเพื่อจิบน้ำ ก่อนพูดต่อ “ฝ่าย ศตก. รายงานขึ้นตามสายการบังคับบัญชาอย่างเร่งด่วนและรายงานก็ถูกส่งถึงมือท่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงด่วนที่สุด ท่านรองนายกฯ อ่านคิดวิเคราะห์แยกแยะแล้วก็เชิญท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และตัวผมเข้าร่วมประชุมโดยด่วนที่สุดในคืนนั้นเช่นกัน หลังจากทุกฝ่ายทำการชี้แจงและกำหนดข้อปฏิบัติต่างๆ แล้ว องค์ประชุมต่างลงมติให้เรา สขช. เป็นผู้นำและรับผิดชอบในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ต่อไปแต่เพียงหน่วยงานเดียว เชิญหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองภายในประเทศกล่าวต่อได้เลยครับ”

(กรุณาอ่านต่อในหน้าถัดไป)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่