นับว่าเป็นปีที่ดีมากสำหรับ Denis Villeneuve ที่พี่แกจับทำอะไรก็เกิดไปหมด และก็เป็นโอกาสทองของพี่แกที่ได้มารับหน้าที่กำกับภาคต่อภาพยนตร์ไซไฟในตำนานอย่าง Blade Runner 2049 ซึ่งผมติดตามข่าวของเรื่องนี้มาระยะหนึ่ง ดูจะเป็นที่เก็บเงียบและไม่ค่อยมีอะไรให้ติดตาม จนกระทั่งแผนการโปรโมทตามสไตล์ปู่ Ridley Scott (ที่หันไปนั่งเป็น Executive Producer แทน) ก็ปล่อยออกมาในรูปแบบของหนังสั้น หลัง ๆ ปู่เริ่มโปรโมทงานในเครือของแกด้วยวิธีนี้บ่อยขึ้น และดูเป็นที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
ใครไม่ดูภาคแรก “งง” แน่นอน
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้ถ้าใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน การันตีเลยครับว่า “งง” แน่นอน และยิ่งตัวหนังสือ Do Android Dream of Electric Sheep ที่เป็นต้นเรื่องในการสร้าง Blade Runner ก็หายากมาก (โชคดีที่ผมไปควานหามาได้ แต่เป็นภาษาอังกฤษ ใช้เวลาอ่านนานมาก เพราะไม่เก่งภาษาเท่าไหร่) แถมดัดแปลงไปพอสมควร
Blade Runner ในภาคแรกเล่าถึงโลกในปี 2019 ที่ถูกครอบครองด้วยองค์กรนามว่า Tyrell ซึ่งแนวคิดของปู่ Scott เคยกล่าวไว้ (จำไม่ได้ว่าในไหน ลืม!) ว่าอนาคตโลกจะถูกปกครองโดยนายทุนไม่ใช่นักการเมือง และหลายสิ่งหลายอย่างจะขึ้นกับองค์กรนั้น ๆ (ปู่มองการณ์ไกลและชัดเจนมาก) โดย Tyrell ได้ผลิตหุ่น Nexus 6 หรือมนุษย์เทียม ออกมาเพื่อใช้เป็นแรงงานในอาณานิคมนอกโลก แต่ทว่าหุ่น Nexus 6 กลับมีความคิดอ่านมากเกินไปและเริ่มแข็งข้อ ทำให้บนโลกออกกฎหมายว่ามนุษย์เทียมคือสิ่งผิดกฎหมายและโทษถึงตาย แต่กระนั้นเมื่อพวกมนุษย์เทียมมีความคิดและความรู้สึก จึงมักจะมีพวกลักลอบกลับเข้ามาอยู่บนโลก ทำให้ต้องมีนักล่าค่าหัวอย่าง Blade Runner ออกปฏิบัติการ และ Rick Deckard (ลุง Ford) คือนักล่าค่าหัวตัวเอกของเรื่อง ที่มีหน้าที่ว่า “การฆ่ามนุษย์เทียมนั้นไม่ได้เป็นการสังหารแต่เป็นการปลดระวาง”
จนกระทั่ง Deckard ได้พบกับ Rachele ที่เป็นมนุษย์เทียมที่ Tyrell พัฒนาขึ้นมา Deckard ได้ลองทดสอบและพบว่าเธอเป็นมนุษย์เทียม แต่ Rachele นั้นแตกต่างกว่าตัวอื่น ขณะที่ Deckard ออกไล่ล่าเหล่ามนุษย์เทียม แต่มนุษย์เทียมกลับแสดงออกมาให้เห็นว่า “พวกเขาก็มีชีวิตจิตใจไม่ต่างกับมนุษย์แท้บนโลก” โดยเฉพาะช่วงที่ Roy Batty มนุษย์เทียมตัวร้ายของเรื่องเปลี่ยนใจไม่ฆ่าและช่วยชีวิต Deckard แทน ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อมนุษย์เทียมและหลบหนีหน้าที่ไปกับ Rachele แทน
นี่คือฉาก Tears in Rain ที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เทียมมีจิตใจดี บางทีก็อาจจะมีดีกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำไป
30 ปีผ่านมา ปาฏิหาริย์บังเกิด
ฉากนี้ผมชอบมากครับ เก็บรายละเอียดได้ดีมาก แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า 30 ปีที่ผ่านมาโลกเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน หากจำได้ตอนที่ K (Ryan) Blade Runner ที่แตกต่างจากภาคก่อน ๆ คือ K เป็นมนุษย์เทียมไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ออกทำหน้าที่ในช่วงแรกแล้วพบเจอกับ Sepper (Bautista) แล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงพักหนึ่งที่กล่าวว่า “แกคงยังไม่เคยเจอปาฏิหาริย์สินะ” ก่อนที่จะถูกลั่นไก และนั่นเป็นจุดที่ทำให้ K ได้พบเจอกับกล่องลึกลับบรรจุกระดูกมนุษย์เทียมและได้พบว่ามีเด็กที่เกิดจากมนุษย์เทียมคนนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ Wallace (Jared) พยายามสร้างมันมาตลอด จนทำให้เขาต้องออกปฏิบัติภารกิจตามหาเด็กคนนั้น
ในส่วนนี้จะขอข้ามไปตีความแบบสำหรับคนที่ไม่เคยดูภาคแรกแล้วไปดูจนงง ๆ หลังออกจากโรงมานะครับ
K เป็นมนุษย์เทียมรุ่นใหม่ แต่เขาก็มีความรู้สึกไม่ตางอะไรกับมนุษย์และรู้สึกว่าการเป็นมนุษย์เทียมเป็นปมที่เขาอยากจะสะบัดมันออก ถ้าใครได้ดูฉากแรก ๆ จะเห็นว่าเขาตั้งใจทำงานตามหน้าที่และมีสังคมในกลุ่มทำงานที่ดี แต่เมื่อเขากลับมายังห้องพัก K กลับเหงาและว้าเหว่ แถมยังถูกมนุษย์แท้ (ในสภาพไม่เป็นโล้เป็นพาย) เหยียดหยามรังเกียจ จนเขาต้องพึ่งพา Joi ที่เป็น Visual เสมือนจริงมาช่วยคลายเหงาให้เขารู้สึกดี นี่ถ้า Joi มีขายในความเป็นจริง ผมจะรูดบัตรเครดิตไปซื้อมาใช้และจะไม่หาคู่ชีวิตให้เมื่อยเลย
(ตรงนี้ผมตีความเพิ่มเอาเองว่า มนุษย์แท้เปรียบเสมือนเจ้าของโลกที่ไม่ทำห่าอะไรนอกจากเป็นภาระสังคม แต่ในขณะที่มนุษย์เทียมที่ไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้กลับทำงานทำการให้สังคมซะงั้น)
ขณะที่เขาออกค้นหาเด็ก เขาก็พบเจอว่ามนุษย์เทียมคนนั้นคือ Rachele ที่เคยเป็นมนุษย์เทียมของ Tyrell และนั่นทำให้เขาย้อนหาอดีตที่เคยเป็นเด็กกำพร้า และทำให้ความคิดของเขาต้องแตกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งยังคงยืนยันว่าเขาเป็นมนุษย์เทียม แต่อีกฝั่งพยายามให้เชื่อว่าเขาคือเด็กคนที่เกิดจาก Rachelle โดยเชื่อว่า Deckard ก็คือพ่อของเขา ความคิดสองฝั่งนี้ทำให้เขาหมดหนทางปรึกษากับคนอื่น แต่ต้องหันมาพึ่ง Joi ที่เป็น Visual และนั่นยิ่งทำให้เขารัก Joi มากขึ้นจนลืมไปว่า Joi เป็นเพียง Visual ไม่ได้เป็นมนุษย์ และนั่นทำให้เขาเข้าใจความหมายของ Sepper ที่กล่าวไว้ก่อนตายที่ว่า ปาฏิหาริย์ ก็คือตัวเขาเอง
ขณะที่เขาได้พบกับ Deckard นั้น K พยายามที่จะบอกว่าเขาคือลูก แต่ตรงนี้ยอมรับว่าการแสดงออกลุง Ford แสดงเก่งมากตรงที่ว่าแม้ K จะพยายามแสดงออกว่าเขาคือลูก แต่สีหน้าของ Deckard กลับสื่อว่า
“ไม่ใช่ลูกกูแน่นอน”
จนถึงช่วงที่ K ได้พบเจอกลุ่มมนุษย์เทียมที่มาเผยความจริงให้ K ได้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดและสั่งให้สังหาร Deckard เพื่อยุติเรื่องทุกอย่าง นั่นเองที่ K พบความจริงว่าเขาไม่ใช่ลูกของ Deckard และคิดไปเองตลอด ปมของการเป็นมนุษย์เทียมทำให้เขาทำใจได้ยากที่โกหกตัวเองมาตลอด จนถึงฉากที่เขาเดินบนสะพานและพบกับโฆษณาของ Joi ก็กลับทำให้เขาทำใจยอมรับได้ว่า Joi ที่ถูกทำลายไปก็เป็นแค่ Visual ที่พังแล้วก็พังเลย กู้คืนไม่ได้ ไม่ใช่มนุษย์ ตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์เทียมก็ยังเป็นมนุษย์เทียมอยู่วันยังค่ำ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาลบล้างปมออกจากจิตใจได้นั่นคือการที่เขาตัดสินใจบุกไปช่วย Deckard แทบถวายชีวิต จนถึงช่วงท้ายที่ Deckard รู้ดีว่าตัวเขาคือเป้าหมายที่จะต้องถูกกำจัด แต่ K กลับไม่ทำและช่วยชีวิต แถมยังพาเขามาพบเจอลูกสาว K แสดงให้ Deckard เห็นถึงความดีจากจิตใจเหมือนที่ Roy Batty แสดงออกโดยการไม่ฆ่าเขาในเชิง “ความดีไม่ได้วัดจากการเป็นมนุษย์แท้หรือเทียม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจต่างหาก”
[ตีความ] Blade Runner 2049 มนุษย์แท้เทียมวัดกันที่ใด? [Spoil]
นับว่าเป็นปีที่ดีมากสำหรับ Denis Villeneuve ที่พี่แกจับทำอะไรก็เกิดไปหมด และก็เป็นโอกาสทองของพี่แกที่ได้มารับหน้าที่กำกับภาคต่อภาพยนตร์ไซไฟในตำนานอย่าง Blade Runner 2049 ซึ่งผมติดตามข่าวของเรื่องนี้มาระยะหนึ่ง ดูจะเป็นที่เก็บเงียบและไม่ค่อยมีอะไรให้ติดตาม จนกระทั่งแผนการโปรโมทตามสไตล์ปู่ Ridley Scott (ที่หันไปนั่งเป็น Executive Producer แทน) ก็ปล่อยออกมาในรูปแบบของหนังสั้น หลัง ๆ ปู่เริ่มโปรโมทงานในเครือของแกด้วยวิธีนี้บ่อยขึ้น และดูเป็นที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
ใครไม่ดูภาคแรก “งง” แน่นอน
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้ถ้าใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน การันตีเลยครับว่า “งง” แน่นอน และยิ่งตัวหนังสือ Do Android Dream of Electric Sheep ที่เป็นต้นเรื่องในการสร้าง Blade Runner ก็หายากมาก (โชคดีที่ผมไปควานหามาได้ แต่เป็นภาษาอังกฤษ ใช้เวลาอ่านนานมาก เพราะไม่เก่งภาษาเท่าไหร่) แถมดัดแปลงไปพอสมควร
Blade Runner ในภาคแรกเล่าถึงโลกในปี 2019 ที่ถูกครอบครองด้วยองค์กรนามว่า Tyrell ซึ่งแนวคิดของปู่ Scott เคยกล่าวไว้ (จำไม่ได้ว่าในไหน ลืม!) ว่าอนาคตโลกจะถูกปกครองโดยนายทุนไม่ใช่นักการเมือง และหลายสิ่งหลายอย่างจะขึ้นกับองค์กรนั้น ๆ (ปู่มองการณ์ไกลและชัดเจนมาก) โดย Tyrell ได้ผลิตหุ่น Nexus 6 หรือมนุษย์เทียม ออกมาเพื่อใช้เป็นแรงงานในอาณานิคมนอกโลก แต่ทว่าหุ่น Nexus 6 กลับมีความคิดอ่านมากเกินไปและเริ่มแข็งข้อ ทำให้บนโลกออกกฎหมายว่ามนุษย์เทียมคือสิ่งผิดกฎหมายและโทษถึงตาย แต่กระนั้นเมื่อพวกมนุษย์เทียมมีความคิดและความรู้สึก จึงมักจะมีพวกลักลอบกลับเข้ามาอยู่บนโลก ทำให้ต้องมีนักล่าค่าหัวอย่าง Blade Runner ออกปฏิบัติการ และ Rick Deckard (ลุง Ford) คือนักล่าค่าหัวตัวเอกของเรื่อง ที่มีหน้าที่ว่า “การฆ่ามนุษย์เทียมนั้นไม่ได้เป็นการสังหารแต่เป็นการปลดระวาง”
จนกระทั่ง Deckard ได้พบกับ Rachele ที่เป็นมนุษย์เทียมที่ Tyrell พัฒนาขึ้นมา Deckard ได้ลองทดสอบและพบว่าเธอเป็นมนุษย์เทียม แต่ Rachele นั้นแตกต่างกว่าตัวอื่น ขณะที่ Deckard ออกไล่ล่าเหล่ามนุษย์เทียม แต่มนุษย์เทียมกลับแสดงออกมาให้เห็นว่า “พวกเขาก็มีชีวิตจิตใจไม่ต่างกับมนุษย์แท้บนโลก” โดยเฉพาะช่วงที่ Roy Batty มนุษย์เทียมตัวร้ายของเรื่องเปลี่ยนใจไม่ฆ่าและช่วยชีวิต Deckard แทน ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อมนุษย์เทียมและหลบหนีหน้าที่ไปกับ Rachele แทน
30 ปีผ่านมา ปาฏิหาริย์บังเกิด
ฉากนี้ผมชอบมากครับ เก็บรายละเอียดได้ดีมาก แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า 30 ปีที่ผ่านมาโลกเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน หากจำได้ตอนที่ K (Ryan) Blade Runner ที่แตกต่างจากภาคก่อน ๆ คือ K เป็นมนุษย์เทียมไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ออกทำหน้าที่ในช่วงแรกแล้วพบเจอกับ Sepper (Bautista) แล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงพักหนึ่งที่กล่าวว่า “แกคงยังไม่เคยเจอปาฏิหาริย์สินะ” ก่อนที่จะถูกลั่นไก และนั่นเป็นจุดที่ทำให้ K ได้พบเจอกับกล่องลึกลับบรรจุกระดูกมนุษย์เทียมและได้พบว่ามีเด็กที่เกิดจากมนุษย์เทียมคนนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ Wallace (Jared) พยายามสร้างมันมาตลอด จนทำให้เขาต้องออกปฏิบัติภารกิจตามหาเด็กคนนั้น
ในส่วนนี้จะขอข้ามไปตีความแบบสำหรับคนที่ไม่เคยดูภาคแรกแล้วไปดูจนงง ๆ หลังออกจากโรงมานะครับ
K เป็นมนุษย์เทียมรุ่นใหม่ แต่เขาก็มีความรู้สึกไม่ตางอะไรกับมนุษย์และรู้สึกว่าการเป็นมนุษย์เทียมเป็นปมที่เขาอยากจะสะบัดมันออก ถ้าใครได้ดูฉากแรก ๆ จะเห็นว่าเขาตั้งใจทำงานตามหน้าที่และมีสังคมในกลุ่มทำงานที่ดี แต่เมื่อเขากลับมายังห้องพัก K กลับเหงาและว้าเหว่ แถมยังถูกมนุษย์แท้ (ในสภาพไม่เป็นโล้เป็นพาย) เหยียดหยามรังเกียจ จนเขาต้องพึ่งพา Joi ที่เป็น Visual เสมือนจริงมาช่วยคลายเหงาให้เขารู้สึกดี นี่ถ้า Joi มีขายในความเป็นจริง ผมจะรูดบัตรเครดิตไปซื้อมาใช้และจะไม่หาคู่ชีวิตให้เมื่อยเลย
(ตรงนี้ผมตีความเพิ่มเอาเองว่า มนุษย์แท้เปรียบเสมือนเจ้าของโลกที่ไม่ทำห่าอะไรนอกจากเป็นภาระสังคม แต่ในขณะที่มนุษย์เทียมที่ไม่ได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้กลับทำงานทำการให้สังคมซะงั้น)
ขณะที่เขาออกค้นหาเด็ก เขาก็พบเจอว่ามนุษย์เทียมคนนั้นคือ Rachele ที่เคยเป็นมนุษย์เทียมของ Tyrell และนั่นทำให้เขาย้อนหาอดีตที่เคยเป็นเด็กกำพร้า และทำให้ความคิดของเขาต้องแตกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งยังคงยืนยันว่าเขาเป็นมนุษย์เทียม แต่อีกฝั่งพยายามให้เชื่อว่าเขาคือเด็กคนที่เกิดจาก Rachelle โดยเชื่อว่า Deckard ก็คือพ่อของเขา ความคิดสองฝั่งนี้ทำให้เขาหมดหนทางปรึกษากับคนอื่น แต่ต้องหันมาพึ่ง Joi ที่เป็น Visual และนั่นยิ่งทำให้เขารัก Joi มากขึ้นจนลืมไปว่า Joi เป็นเพียง Visual ไม่ได้เป็นมนุษย์ และนั่นทำให้เขาเข้าใจความหมายของ Sepper ที่กล่าวไว้ก่อนตายที่ว่า ปาฏิหาริย์ ก็คือตัวเขาเอง
ขณะที่เขาได้พบกับ Deckard นั้น K พยายามที่จะบอกว่าเขาคือลูก แต่ตรงนี้ยอมรับว่าการแสดงออกลุง Ford แสดงเก่งมากตรงที่ว่าแม้ K จะพยายามแสดงออกว่าเขาคือลูก แต่สีหน้าของ Deckard กลับสื่อว่า “ไม่ใช่ลูกกูแน่นอน”
จนถึงช่วงที่ K ได้พบเจอกลุ่มมนุษย์เทียมที่มาเผยความจริงให้ K ได้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดและสั่งให้สังหาร Deckard เพื่อยุติเรื่องทุกอย่าง นั่นเองที่ K พบความจริงว่าเขาไม่ใช่ลูกของ Deckard และคิดไปเองตลอด ปมของการเป็นมนุษย์เทียมทำให้เขาทำใจได้ยากที่โกหกตัวเองมาตลอด จนถึงฉากที่เขาเดินบนสะพานและพบกับโฆษณาของ Joi ก็กลับทำให้เขาทำใจยอมรับได้ว่า Joi ที่ถูกทำลายไปก็เป็นแค่ Visual ที่พังแล้วก็พังเลย กู้คืนไม่ได้ ไม่ใช่มนุษย์ ตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์เทียมก็ยังเป็นมนุษย์เทียมอยู่วันยังค่ำ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาลบล้างปมออกจากจิตใจได้นั่นคือการที่เขาตัดสินใจบุกไปช่วย Deckard แทบถวายชีวิต จนถึงช่วงท้ายที่ Deckard รู้ดีว่าตัวเขาคือเป้าหมายที่จะต้องถูกกำจัด แต่ K กลับไม่ทำและช่วยชีวิต แถมยังพาเขามาพบเจอลูกสาว K แสดงให้ Deckard เห็นถึงความดีจากจิตใจเหมือนที่ Roy Batty แสดงออกโดยการไม่ฆ่าเขาในเชิง “ความดีไม่ได้วัดจากการเป็นมนุษย์แท้หรือเทียม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจต่างหาก”