สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์
MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการอีก 1 วันครับ
วันอาทิตย์ที่แล้วได้เริ่มเรื่องพระนางสามาวดี ซึ่งเป็นเรื่องจากธรรมบทไป 1 ตอนแล้ว ก็ขอต่อตอนที่ 2 วันนี้เลย และจะนำมาทุกวันอาทิตย์ครับจนกว่าจะจบ สำหรับใครที่ไม่ได้อ่านตอนที่ 1 ก็อ่านได้ตามลิ้งค์นี้ครับ =>
https://ppantip.com/topic/36931450/
สามาวดี ตอนที่ 2
ที่อยู่ของอัลลกัปปดาบส ก็อยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น. โดยปกติ ในวันมีฝนตก พระดาบสนั้นจะไม่ไปสู่ป่าเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่ เพราะกลัวความหนาว, จึงไปยังโคนไม้นั้น เก็บกระดูกเนื้อที่นกจิกกินแล้ว เอามาทุบต้มให้มีรสแล้วดื่มกิน เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระดาบสก็คิดว่า จักเก็บกระดูก จึงไปที่ต้นไม้นั้น แสวงหากระดูกที่โคนไม้อยู่ ได้ยินเสียงเด็กข้างบน จึงแลดู เห็นพระราชเทวี จึงถามว่า
"ท่านเป็นใคร ?"
"ข้าพเจ้าเป็นหญิงมนุษย์"
"ท่านมาได้อย่างไร ? "
เมื่อพระนางกล่าวว่า 'นกหัสดีลิงค์นำข้าพเจ้ามา' พระดาบสจึงกล่าวว่า 'ท่านจงลงมา'
"ข้าพเจ้าหวั่นเกรงการเจือปนด้วยชาติเชื้อ พระคุณเจ้า"
"ท่านเป็นใครกัน ?"
"ข้าพเจ้าเป็นเชื้อกษัตริย์"
"แม้อาตมาก็เป็นเชื้อกษัตริย์เหมือนกัน"
"ถ้ากระนั้น ท่านจงบอกแจ้งมายาแห่งเชื้อกษัตริย์มาดู ?"
เมื่อพระดาบสนั้นบอกแจ้งแล้ว พระราชเทวีจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้น ท่านจงขึ้นมาพาบุตรน้อยของข้าพเจ้าลงไป"
พระดาบสทำทางขึ้นไปด้านหนึ่ง ขึ้นไปแล้วรับเด็ก,เมื่อพระราชเทวีกล่าวห้ามว่า "อย่าเอามือถูกต้องข้าพเจ้า," ก็ไม่ถูกต้องพระนางเลย อุ้มเด็กลงมา แล้วพระราชเทวีก็ลงมาบ้าง
บัดนั้น พระดาบส นำพระนางไปสู่อาศรมบท มิได้กระทำศีลให้ขาดเลย เลี้ยงดูพระนางด้วยความอนุเคราะห์, นำน้ำผึ้งที่ไร้ตัวผึ้งมาให้ นำข้าวสาลีอันเกิดเองตามธรรมชาติมาต้มเป็นข้าวยาคูให้นาง
เมื่อพระดาบสนั้น เลี้ยงดูพระนางอยู่อย่างนั้น, ต่อมา พระนางจึงคิดว่า "เราไม่รู้จักหนทางมาทางไปเลย, แม้เหตุสักว่าความคุ้นเคยของเรากับพระดาบสนี้ ก็ไม่มี ก็ถ้าหากว่าเขาจักทอดทิ้งเราไปไหนเสียละก็, เราแม่ลูกทั้งสองคนก็จักถึงความตายในที่นี้เป็นแน่, ควรที่เราจะทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำลายศีลของเขาเสียอย่างที่เขาจะไม่ปล่อยปละละเลยเราไปได้"
ทีนั้น พระราชเทวี จึงประเล้าประโลมพระดาบสด้วยการให้ท่านเห็นผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ย ทำให้ท่านถึงความพินาศแห่งศีลแล้ว และตั้งแต่วันนั้น คนทั้งสองก็ได้อยู่ด้วยกัน
ต่อมาวันหนึ่ง พระดาบส ตรวจดูฤกษ์ยามดาวนักษัตร เห็นความหม่นหมองแห่งดาวนักษัตรของพระเจ้าปรันตปะ จึงตรัสว่า "แม่นาง พระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี สวรรคตแล้ว"
พระราชเทวีตรัสถามว่า "เหตุไร พระคุณเจ้าจึงกล่าวอย่างนี้ ? ท่านมีความอาฆาตกับพระเจ้าปรันตปะนั้นหรือ ? "
"ไม่มีดอกแม่นาง เราเห็นดาวนักษัตรประจำตัวของพระเจ้าปรันตปะหม่นหมอง จึงพูดอย่างนี้"
พระราชเทวีทรงกันแสง ทีนั้น พระดาบสจึงตรัสถามพระนางว่า "เพราะเหตุไร เธอจึงร้องไห้?" เมื่อพระราชเทวีตรัสบอกว่าพระเจ้าปรันตปะนั้นเป็นพระสวามีของตน, จึงบอกว่า " อย่าร้องไห้ไปเลยแม่นาง ธรรมดาสัตว์ที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายเป็นแน่แท้"
"หม่อมฉันทราบเพคะ พระคุณเจ้า"
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไฉน เธอจึงร้องไห้เล่า ? "
"บุตรของหม่อมฉัน เป็นผู้ควรแก่ราชสมบัติซึ่งเป็นของตระกูล, ถ้าหากว่าเขาอยู่ที่เมืองนั้น เขาก็จักให้เหล่าเสนายกเศวตฉัตรขึ้นเป็นกษัตริย์ได้, บัดนี้เขากลายเป็นผู้ที่เสื่อมเสียอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว ด้วยความโศกเศร้าเช่นนี้ หม่อมฉันจึงร้องไห้ พระคุณเจ้า"
"ช่างมันเถิดน่ะ แม่นาง อย่าคิดไปเลย, ถ้าหากเธอปรารถนาราชสมบัติให้แก่บุตร, ฉันจักทำให้เขาได้ครองราชสมบัติ"
ครั้งนั้น พระดาบส ได้ให้พิณและมนต์สะกดช้างแก่บุตรของพระนาง
ในกาลนั้น ช้างหลายแสนเชือก มาพัวพันอยู่ที่โคนต้นไทรย้อย
ลำดับนั้น พระดาบสจึงตรัสกะพระกุมารนั้นว่า "เมื่อช้างทั้งหลายยังไม่มาถึงกันเลย, เจ้าจงขึ้นต้นไม้, เมื่อช้างทั้งหลายมาถึงแล้ว, จงร่ายมนต์บทนี้ ดีดพิณสายนี้; ช้างทั้งหมดจะไม่อาจแม้แต่จะหันกลับมาแลดู จักหนีไป, ถึงตอนนั้น เจ้าค่อยลงมา"
พระกุมารนั้น ทรงกระทำตามนั้นแล้วกลับมาทูลบอกความเป็นไปทุกอย่าง ครั้นถึงวันที่ ๒ พระดาบสจึงตรัสกับพระกุมารนั้นว่า "ในวันนี้ เจ้าจงร่ายมนต์บทนี้ ดีดพิณสายนี้; ช้างทั้งหลายจักเหลียวกลับมาดูข้างหลังพลางหนีไป
แม้ในกาลนั้น พระกุมารก็ทรงทำตามนั้นแล้วกลับมาทูลบอกความเป็นไปนั้น
ทีนั้น พระดาบสตรัสเรียกพระมารดาของกุมารนั้นมาแล้ว ตรัสว่า "แม่นาง เธอจงมอบข่าวสาส์นให้แก่บุตรของเธอเถิด, พอเขาไปจากที่นี่ ก็จักได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน"
พระราชเทวี ตรัสเรียกพระโอรสมาแล้วตรัสว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของพระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี, นกหัสดีลิงค์นำแม่มาที่นี่ทั้งที่มีครรภ์" ดังนี้แล้ว ตรัสบอกชื่อของเสนาบดีเป็นต้นแล้วตรัสว่า "เมื่อเขาพากันไม่เชื่อ เจ้าพึงเอาผ้ากัมพลอันเป็นพระภูษาห่ม และพระธำมรงค์อันเป็นเครื่องประดับของบิดานี้แสดงให้พวกเขาเห็น" ดังนี้แล้วจึงส่งไป
พระกุมารทูลถามพระดาบสว่า "บัดนี้ หม่อมฉันจะทำอย่างไรดี ?"
พระดาบสกล่าวว่า "เจ้าจงนั่งกิ่งไม้ข้างล่าง ร่ายมนต์บทนี้ ดีดพิณสายนี้ ช้างจ่าโขลงจะน้อมหลังเข้ามาหาเจ้า เจ้านั่งบนหลังของมันนั่นแหละ จงไปยึดเอาราชสมบัติเถิด"
พระกุมารนั้น ถวายบังคมพระราชบิดาเลี้ยงและพระราชมารดาแล้วทรงทำตามนั้น นั่งบนหลังของช้างตัวที่มาถึงแล้ว กระซิบบอกมันว่า "ข้าเป็นโอรสของพระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี, ขอท่านจงช่วยยึดเอาราชสมบัติอันเป็นของบิดาให้แก่ข้าด้วยเถิด พี่ช้าง"
ช้างจ่าโขลง ฟังคำนั้นแล้ว จึงร้องเป็นเป็นภาษาช้างไปว่า "ช้างทั้งหลาย จงมาชุมนุมกันหลาย ๆ พัน"
ช้างหลายพันเชือกก็มาชุมนุมกัน ช้างจ่าโขลงร้องอีกว่า "พวกช้างแก่ ๆ จงถอยไป" ช้างแก่ทั้งหลายก็พากันถอยออกไป
ช้างจ่าโขลง ร้องอีกว่า "พวกลูกช้าง จงกลับไป"
ลูกช้างเหล่านั้น ก็พากันกลับไป
พระกุมารนั้น มีช้างนักรบหลายพันเชือกห้อมล้อม เสด็จถึงหมู่บ้านปลายแดนแล้ว ประกาศว่า "เราเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน, ผู้ที่ปรารถนาทรัพย์สมบัติ จงมากับเรา"
ตั้งแต่เขตคามนั้นไป ก็ทรงทำการรวบรวมผู้คน แล้วไปล้อมพระนครไว้แล้วจึงส่งสาส์นยื่นคำขาดไปว่า "พวกชาวพระนคร จะให้เรารบ หรือจะมอบราชสมบัติให้แก่เรา ?"
ชาวพระนครทั้งหลายกล่าวตอบว่า "พวกเราจักไม่ให้มีทั้ง ๒ อย่าง, ความจริง พระราชเทวีของพวกเรามีพระครรภ์แก่ ถูกนกหัสดีลิงค์พาไปแล้ว, พวกเราไม่ทราบว่าพระนางยังมีพระชนม์อยู่หรือว่าหาพระชนม์ไม่แล้ว ตราบใดที่พวกเรายังไม่ทราบข่างคราวของพระนาง เราก็จักไม่ให้ทั้งการรบและราชสมบัติ"
เล่ากันว่า ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยการสืบเชื้อสาย ได้มีแล้วในกาลนั้น
ลำดับนั้น พระกุมารจึงตรัสว่า "เราคือโอรสรของพระนาง" แล้วอ้างชื่อพวกเจ้านายใหญ่โตทั้งหลายมีเสนาบดีเป็นต้น เมื่อพวกชาวพระนครเหล่านั้นไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น จึงทรงแสดงผ้ากัมพลแดงและพระธำมรงค์ให้พวกเขาเห็น
ชาวพระนครทั้งหลาย จำผ้ากัมพลแดงและพระธำมรงค์นั้นได้ จึงสิ้นความสงสัย พากันเปิดประตูพระนคร แล้วอภิเษกพระกุมารนั้นไว้ในราชสมบัติ
นี่คือ เรื่องกำเนิดพระเจ้าอุเทนก่อน
ก็เมื่อเกิดทุพภิกขภัยในแคว้นอัลลกัปปะ ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า โกตุหลิกะ ไม่อาจจะเลี้ยงชีพอยู่ต่อไปได้ จึงพาภรรยาชื่อนางกาลีผู้มีบุตรอ่อน จัดแจงเสบียงอาหารออกไปจากแคว้น โดยมุ่งหมายว่า จะไปทำมาหากินที่เมืองโกสัมพี" อาจารย์บางท่านกล่าวว่า เขาออกไปในเมื่อมหาชนกำลังล้มตายกันด้วยโรคอหิวาต์ ดังนี้ก็มี
สองสามีภรรยานั้น ขณะกำลังเดินไป เมื่อเสบียงอาหารหมดสิ้นแล้ว ถูกความหิวเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะนำเด็กไปด้วยได้
ทีนั้น สามีจึงกล่าวกะภรรยาว่า "นี่หล่อน เราเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จักได้ลูกอีก, ทิ้งเขาเสีย แล้วไปกันเถิด"
ธรรมดาดวงใจของมารดา ย่อมอ่อนโยน เพราะฉะนั้นนางจึงพูดว่า "ดิฉันไม่อาจทิ้งลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ดอก"
"เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรกัน ? "
"เราก็ผลัดเปลี่ยนกันอุ้มนำเขาไปสิ"
มารดายกลูกขึ้น ประหนึ่งยกพวงดอกไม้ ในวาระของตน กกไว้แนบอก อุ้มไปแล้วมอบให้แก่บิดา
ทุกขเวทนาซึ่งมีกำลังแม้กว่าความหิว บังเกิดแก่ชายผู้เป็นสามีนั้น ในที่ซึ่งเขารับเด็กผู้เป็นลูกนั้นแล้ววางลง เขาก็พูดกะภรรยานั้นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า " นี่หล่อน เรามีชีวิตอยู่ก็จักมีลูกได้อีกนะ ทิ้งมันเสียเถิด"
ฝ่ายภรรยาก็ห้ามเขาไว้ตั้งหลายครั้ง แล้วก็เฉยเสีย
เด็กน้อยถูกผลัดเปลี่ยนกันอุ้มไปตามวาระ จนเหนื่อยอ่อน เลยนอนหลับอยู่ในมือของบิดา
ชายผู้เป็นสามี รู้ว่าลูกชายนั้นหลับ จึงปล่อยให้มารดาเดินไปข้างหน้าก่อน แล้วเอาเด็กนอนไว้บนใบไม้ลาดใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วจึงเดินตามไป
มารดาเหลียวกลับแลดู ไม่เห็นลูก จึงถามว่า "พี่ ลูกของเราไปไหนแล้ว ?"
"ฉันให้เขานอนอยู่ภายใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง"
"พี่ อย่าทำความ Ship หายแก่ฉันเลย, ฉันเว้นลูกเสียแล้วไม่อาจเมีชีวิตอยู่ได้, พี่นำลูกฉันมาเถิด ว่าแล้วก็ตีอกชกหัวตัวเองคร่ำครวญ ชายผู้เป็นสามีจึงกลับไปเอาเด็กนั้นมา แต่ว่า ฝ่ายลูกน้อยนั้นก็ตายเสียแล้ว ในระหว่างทาง
นายโกตุหลิก ทิ้งบุตรในฐานะประมาณเท่านี้ จึงถูกเขาทอดทิ้ง ๗ วาระ ในระหว่างภพ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ด้วยประการฉะนี้
ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนี้ บคคลไม่ควรดูหมิ่นว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย
สองสามีภรรยานั้น เดินทางไปถึงตระกูลของคนเลี้ยงโคแห่งหนึ่ง
ก็ในวันนั้น มีการทำขวัญแม่โคนมของนายโคบาล และในเรือนของนายโคบาล พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งฉันอยู่เป็นนิตย์.
นายโคบาลนั้น นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าฉันเสร็จแล้วจึงได้ทำการมงคล มีข้าวปายาสซึ่งเขาจัดแจงไว้เป็นอันมาก
นายโคบาล เห็น ๒ สามีภรรยานั้นมา จึงถามว่า " ท่านมาจากไหน ?" เมื่อทราบเรื่องนั้นแล้ว เพราะเป็นกุลบุตรผู้มีใจอ่อนโยน จึงกระทำความสงเคราะห์ สามีภรรยานั้น ใช้บริวารนำข้าวปายาสกับเนยใสเป็นอันมากมาให้
ภรรยาจึงกล่าวกะสามีว่า "พี่ เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ฉันก็ชื่อว่ามีชีวิตอยู่, ท่านท้องกิ่วมานาน, จงบริโภคตามความต้องการเถิด" แล้วจึงวางข้าวปายาสไว้เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเนยใส ตนเองบริโภคแต่เนยเหลวเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ส่วนนายโกตุหลิกะ บริโภคมากเกินไป ไม่อาจตัดความอยากความกระหายในอาหารได้ เพราะความที่ตนเองหิวมาตั้ง 7-8 วัน
นายโคบาล ครั้นใช้บริวารเอาข้าวปายาสให้แก่ ๒ ผัวเมียแล้ว ตนเองจึงจะเริ่มจะบริโภค
นายโกตุหลิกะ นั่งแลดูเขาแล้ว เห็นก้อนข้าวปายาสที่นายโคบาลปั้นให้แก่นางสุนัขซึ่งนอนอยู่ใต้ตั่ง คิดว่า "แม่หมาตัวนี้ มีบุญนัก จึงได้โภชนาหารแบบนี้เป็นประจำ"
ตกกลางคืน นายโกตุหลิกะนั้น ไม่สามารถจะยังข้าวปายาสนั้นให้ย่อยได้ เพราะกินมากไป จึงสิ้นใจ แล้วไปเกิดในท้องแห่งนางสุนัขตัวนั้น
ครั้งนั้น ภรรยาของเขาทำการเผาศพสามีแล้ว ก็ยังทำการรับจ้างอยู่ในเรือนนั่นเอง ได้ข้าวสารมาทะนานหนึ่ง หุงแล้วเอาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกล่าวอธิษฐาน ว่า "ท่านเจ้าข้า ขอกุศลอันนี้ จงถึงแก่ทาสของท่านเถิด" ดังนี้แล้วจึงคิดว่า "สมควรที่เราจะอยู่ในที่นี้แหละ, พระคุณเจ้าย่อมมาในที่นี้เนืองนิตย์, ไทยธรรมจักมีหรือไม่ก็ช่างเถิด, เราไหว้อยู่ ทำความขวนขวายอยู่ ยังใจให้เลื่อมใสอยู่ทุกๆ วัน จักประสบบุญมากแน่" คิดได้ดังนี้แล้วจึงทำการรับจ้างอยู่ในบ้านนั้นนั่นเอง
ในเดือนที่ ๖ หรือที่ ๗ นางสุนัขนั้นก็คลอดลูกออกมาตัวหนึ่ง นายโคบาลจึงใช้บริวารให้เอาน้ำนมของแม่โคนมตัวหนึ่งแก่ลูกสุนัขนั้น ไม่นานเท่าไรนัก มันก็เติบโต
โปรดติดตามตอนต่อไปในวันอาทิตย์หน้าครับ
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 8/10/2560 - พระนางสามาวดี ตอนที่ 2
สวัสดีครับ สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการอีก 1 วันครับ
วันอาทิตย์ที่แล้วได้เริ่มเรื่องพระนางสามาวดี ซึ่งเป็นเรื่องจากธรรมบทไป 1 ตอนแล้ว ก็ขอต่อตอนที่ 2 วันนี้เลย และจะนำมาทุกวันอาทิตย์ครับจนกว่าจะจบ สำหรับใครที่ไม่ได้อ่านตอนที่ 1 ก็อ่านได้ตามลิ้งค์นี้ครับ => https://ppantip.com/topic/36931450/
สามาวดี ตอนที่ 2
ที่อยู่ของอัลลกัปปดาบส ก็อยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น. โดยปกติ ในวันมีฝนตก พระดาบสนั้นจะไม่ไปสู่ป่าเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่ เพราะกลัวความหนาว, จึงไปยังโคนไม้นั้น เก็บกระดูกเนื้อที่นกจิกกินแล้ว เอามาทุบต้มให้มีรสแล้วดื่มกิน เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระดาบสก็คิดว่า จักเก็บกระดูก จึงไปที่ต้นไม้นั้น แสวงหากระดูกที่โคนไม้อยู่ ได้ยินเสียงเด็กข้างบน จึงแลดู เห็นพระราชเทวี จึงถามว่า
"ท่านเป็นใคร ?"
"ข้าพเจ้าเป็นหญิงมนุษย์"
"ท่านมาได้อย่างไร ? "
เมื่อพระนางกล่าวว่า 'นกหัสดีลิงค์นำข้าพเจ้ามา' พระดาบสจึงกล่าวว่า 'ท่านจงลงมา'
"ข้าพเจ้าหวั่นเกรงการเจือปนด้วยชาติเชื้อ พระคุณเจ้า"
"ท่านเป็นใครกัน ?"
"ข้าพเจ้าเป็นเชื้อกษัตริย์"
"แม้อาตมาก็เป็นเชื้อกษัตริย์เหมือนกัน"
"ถ้ากระนั้น ท่านจงบอกแจ้งมายาแห่งเชื้อกษัตริย์มาดู ?"
เมื่อพระดาบสนั้นบอกแจ้งแล้ว พระราชเทวีจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้น ท่านจงขึ้นมาพาบุตรน้อยของข้าพเจ้าลงไป"
พระดาบสทำทางขึ้นไปด้านหนึ่ง ขึ้นไปแล้วรับเด็ก,เมื่อพระราชเทวีกล่าวห้ามว่า "อย่าเอามือถูกต้องข้าพเจ้า," ก็ไม่ถูกต้องพระนางเลย อุ้มเด็กลงมา แล้วพระราชเทวีก็ลงมาบ้าง
บัดนั้น พระดาบส นำพระนางไปสู่อาศรมบท มิได้กระทำศีลให้ขาดเลย เลี้ยงดูพระนางด้วยความอนุเคราะห์, นำน้ำผึ้งที่ไร้ตัวผึ้งมาให้ นำข้าวสาลีอันเกิดเองตามธรรมชาติมาต้มเป็นข้าวยาคูให้นาง
เมื่อพระดาบสนั้น เลี้ยงดูพระนางอยู่อย่างนั้น, ต่อมา พระนางจึงคิดว่า "เราไม่รู้จักหนทางมาทางไปเลย, แม้เหตุสักว่าความคุ้นเคยของเรากับพระดาบสนี้ ก็ไม่มี ก็ถ้าหากว่าเขาจักทอดทิ้งเราไปไหนเสียละก็, เราแม่ลูกทั้งสองคนก็จักถึงความตายในที่นี้เป็นแน่, ควรที่เราจะทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำลายศีลของเขาเสียอย่างที่เขาจะไม่ปล่อยปละละเลยเราไปได้"
ทีนั้น พระราชเทวี จึงประเล้าประโลมพระดาบสด้วยการให้ท่านเห็นผ้านุ่งผ้าห่มหลุดลุ่ย ทำให้ท่านถึงความพินาศแห่งศีลแล้ว และตั้งแต่วันนั้น คนทั้งสองก็ได้อยู่ด้วยกัน
ต่อมาวันหนึ่ง พระดาบส ตรวจดูฤกษ์ยามดาวนักษัตร เห็นความหม่นหมองแห่งดาวนักษัตรของพระเจ้าปรันตปะ จึงตรัสว่า "แม่นาง พระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี สวรรคตแล้ว"
พระราชเทวีตรัสถามว่า "เหตุไร พระคุณเจ้าจึงกล่าวอย่างนี้ ? ท่านมีความอาฆาตกับพระเจ้าปรันตปะนั้นหรือ ? "
"ไม่มีดอกแม่นาง เราเห็นดาวนักษัตรประจำตัวของพระเจ้าปรันตปะหม่นหมอง จึงพูดอย่างนี้"
พระราชเทวีทรงกันแสง ทีนั้น พระดาบสจึงตรัสถามพระนางว่า "เพราะเหตุไร เธอจึงร้องไห้?" เมื่อพระราชเทวีตรัสบอกว่าพระเจ้าปรันตปะนั้นเป็นพระสวามีของตน, จึงบอกว่า " อย่าร้องไห้ไปเลยแม่นาง ธรรมดาสัตว์ที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายเป็นแน่แท้"
"หม่อมฉันทราบเพคะ พระคุณเจ้า"
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไฉน เธอจึงร้องไห้เล่า ? "
"บุตรของหม่อมฉัน เป็นผู้ควรแก่ราชสมบัติซึ่งเป็นของตระกูล, ถ้าหากว่าเขาอยู่ที่เมืองนั้น เขาก็จักให้เหล่าเสนายกเศวตฉัตรขึ้นเป็นกษัตริย์ได้, บัดนี้เขากลายเป็นผู้ที่เสื่อมเสียอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว ด้วยความโศกเศร้าเช่นนี้ หม่อมฉันจึงร้องไห้ พระคุณเจ้า"
"ช่างมันเถิดน่ะ แม่นาง อย่าคิดไปเลย, ถ้าหากเธอปรารถนาราชสมบัติให้แก่บุตร, ฉันจักทำให้เขาได้ครองราชสมบัติ"
ครั้งนั้น พระดาบส ได้ให้พิณและมนต์สะกดช้างแก่บุตรของพระนาง
ในกาลนั้น ช้างหลายแสนเชือก มาพัวพันอยู่ที่โคนต้นไทรย้อย
ลำดับนั้น พระดาบสจึงตรัสกะพระกุมารนั้นว่า "เมื่อช้างทั้งหลายยังไม่มาถึงกันเลย, เจ้าจงขึ้นต้นไม้, เมื่อช้างทั้งหลายมาถึงแล้ว, จงร่ายมนต์บทนี้ ดีดพิณสายนี้; ช้างทั้งหมดจะไม่อาจแม้แต่จะหันกลับมาแลดู จักหนีไป, ถึงตอนนั้น เจ้าค่อยลงมา"
พระกุมารนั้น ทรงกระทำตามนั้นแล้วกลับมาทูลบอกความเป็นไปทุกอย่าง ครั้นถึงวันที่ ๒ พระดาบสจึงตรัสกับพระกุมารนั้นว่า "ในวันนี้ เจ้าจงร่ายมนต์บทนี้ ดีดพิณสายนี้; ช้างทั้งหลายจักเหลียวกลับมาดูข้างหลังพลางหนีไป
แม้ในกาลนั้น พระกุมารก็ทรงทำตามนั้นแล้วกลับมาทูลบอกความเป็นไปนั้น
ทีนั้น พระดาบสตรัสเรียกพระมารดาของกุมารนั้นมาแล้ว ตรัสว่า "แม่นาง เธอจงมอบข่าวสาส์นให้แก่บุตรของเธอเถิด, พอเขาไปจากที่นี่ ก็จักได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน"
พระราชเทวี ตรัสเรียกพระโอรสมาแล้วตรัสว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของพระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี, นกหัสดีลิงค์นำแม่มาที่นี่ทั้งที่มีครรภ์" ดังนี้แล้ว ตรัสบอกชื่อของเสนาบดีเป็นต้นแล้วตรัสว่า "เมื่อเขาพากันไม่เชื่อ เจ้าพึงเอาผ้ากัมพลอันเป็นพระภูษาห่ม และพระธำมรงค์อันเป็นเครื่องประดับของบิดานี้แสดงให้พวกเขาเห็น" ดังนี้แล้วจึงส่งไป
พระกุมารทูลถามพระดาบสว่า "บัดนี้ หม่อมฉันจะทำอย่างไรดี ?"
พระดาบสกล่าวว่า "เจ้าจงนั่งกิ่งไม้ข้างล่าง ร่ายมนต์บทนี้ ดีดพิณสายนี้ ช้างจ่าโขลงจะน้อมหลังเข้ามาหาเจ้า เจ้านั่งบนหลังของมันนั่นแหละ จงไปยึดเอาราชสมบัติเถิด"
พระกุมารนั้น ถวายบังคมพระราชบิดาเลี้ยงและพระราชมารดาแล้วทรงทำตามนั้น นั่งบนหลังของช้างตัวที่มาถึงแล้ว กระซิบบอกมันว่า "ข้าเป็นโอรสของพระเจ้าปรันตปะในกรุงโกสัมพี, ขอท่านจงช่วยยึดเอาราชสมบัติอันเป็นของบิดาให้แก่ข้าด้วยเถิด พี่ช้าง"
ช้างจ่าโขลง ฟังคำนั้นแล้ว จึงร้องเป็นเป็นภาษาช้างไปว่า "ช้างทั้งหลาย จงมาชุมนุมกันหลาย ๆ พัน"
ช้างหลายพันเชือกก็มาชุมนุมกัน ช้างจ่าโขลงร้องอีกว่า "พวกช้างแก่ ๆ จงถอยไป" ช้างแก่ทั้งหลายก็พากันถอยออกไป
ช้างจ่าโขลง ร้องอีกว่า "พวกลูกช้าง จงกลับไป"
ลูกช้างเหล่านั้น ก็พากันกลับไป
พระกุมารนั้น มีช้างนักรบหลายพันเชือกห้อมล้อม เสด็จถึงหมู่บ้านปลายแดนแล้ว ประกาศว่า "เราเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน, ผู้ที่ปรารถนาทรัพย์สมบัติ จงมากับเรา"
ตั้งแต่เขตคามนั้นไป ก็ทรงทำการรวบรวมผู้คน แล้วไปล้อมพระนครไว้แล้วจึงส่งสาส์นยื่นคำขาดไปว่า "พวกชาวพระนคร จะให้เรารบ หรือจะมอบราชสมบัติให้แก่เรา ?"
ชาวพระนครทั้งหลายกล่าวตอบว่า "พวกเราจักไม่ให้มีทั้ง ๒ อย่าง, ความจริง พระราชเทวีของพวกเรามีพระครรภ์แก่ ถูกนกหัสดีลิงค์พาไปแล้ว, พวกเราไม่ทราบว่าพระนางยังมีพระชนม์อยู่หรือว่าหาพระชนม์ไม่แล้ว ตราบใดที่พวกเรายังไม่ทราบข่างคราวของพระนาง เราก็จักไม่ให้ทั้งการรบและราชสมบัติ"
เล่ากันว่า ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยการสืบเชื้อสาย ได้มีแล้วในกาลนั้น
ลำดับนั้น พระกุมารจึงตรัสว่า "เราคือโอรสรของพระนาง" แล้วอ้างชื่อพวกเจ้านายใหญ่โตทั้งหลายมีเสนาบดีเป็นต้น เมื่อพวกชาวพระนครเหล่านั้นไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น จึงทรงแสดงผ้ากัมพลแดงและพระธำมรงค์ให้พวกเขาเห็น
ชาวพระนครทั้งหลาย จำผ้ากัมพลแดงและพระธำมรงค์นั้นได้ จึงสิ้นความสงสัย พากันเปิดประตูพระนคร แล้วอภิเษกพระกุมารนั้นไว้ในราชสมบัติ
นี่คือ เรื่องกำเนิดพระเจ้าอุเทนก่อน
ก็เมื่อเกิดทุพภิกขภัยในแคว้นอัลลกัปปะ ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า โกตุหลิกะ ไม่อาจจะเลี้ยงชีพอยู่ต่อไปได้ จึงพาภรรยาชื่อนางกาลีผู้มีบุตรอ่อน จัดแจงเสบียงอาหารออกไปจากแคว้น โดยมุ่งหมายว่า จะไปทำมาหากินที่เมืองโกสัมพี" อาจารย์บางท่านกล่าวว่า เขาออกไปในเมื่อมหาชนกำลังล้มตายกันด้วยโรคอหิวาต์ ดังนี้ก็มี
สองสามีภรรยานั้น ขณะกำลังเดินไป เมื่อเสบียงอาหารหมดสิ้นแล้ว ถูกความหิวเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะนำเด็กไปด้วยได้
ทีนั้น สามีจึงกล่าวกะภรรยาว่า "นี่หล่อน เราเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จักได้ลูกอีก, ทิ้งเขาเสีย แล้วไปกันเถิด"
ธรรมดาดวงใจของมารดา ย่อมอ่อนโยน เพราะฉะนั้นนางจึงพูดว่า "ดิฉันไม่อาจทิ้งลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ดอก"
"เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรกัน ? "
"เราก็ผลัดเปลี่ยนกันอุ้มนำเขาไปสิ"
มารดายกลูกขึ้น ประหนึ่งยกพวงดอกไม้ ในวาระของตน กกไว้แนบอก อุ้มไปแล้วมอบให้แก่บิดา
ทุกขเวทนาซึ่งมีกำลังแม้กว่าความหิว บังเกิดแก่ชายผู้เป็นสามีนั้น ในที่ซึ่งเขารับเด็กผู้เป็นลูกนั้นแล้ววางลง เขาก็พูดกะภรรยานั้นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า " นี่หล่อน เรามีชีวิตอยู่ก็จักมีลูกได้อีกนะ ทิ้งมันเสียเถิด"
ฝ่ายภรรยาก็ห้ามเขาไว้ตั้งหลายครั้ง แล้วก็เฉยเสีย
เด็กน้อยถูกผลัดเปลี่ยนกันอุ้มไปตามวาระ จนเหนื่อยอ่อน เลยนอนหลับอยู่ในมือของบิดา
ชายผู้เป็นสามี รู้ว่าลูกชายนั้นหลับ จึงปล่อยให้มารดาเดินไปข้างหน้าก่อน แล้วเอาเด็กนอนไว้บนใบไม้ลาดใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วจึงเดินตามไป
มารดาเหลียวกลับแลดู ไม่เห็นลูก จึงถามว่า "พี่ ลูกของเราไปไหนแล้ว ?"
"ฉันให้เขานอนอยู่ภายใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง"
"พี่ อย่าทำความ Ship หายแก่ฉันเลย, ฉันเว้นลูกเสียแล้วไม่อาจเมีชีวิตอยู่ได้, พี่นำลูกฉันมาเถิด ว่าแล้วก็ตีอกชกหัวตัวเองคร่ำครวญ ชายผู้เป็นสามีจึงกลับไปเอาเด็กนั้นมา แต่ว่า ฝ่ายลูกน้อยนั้นก็ตายเสียแล้ว ในระหว่างทาง
นายโกตุหลิก ทิ้งบุตรในฐานะประมาณเท่านี้ จึงถูกเขาทอดทิ้ง ๗ วาระ ในระหว่างภพ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ด้วยประการฉะนี้
ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนี้ บคคลไม่ควรดูหมิ่นว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย
สองสามีภรรยานั้น เดินทางไปถึงตระกูลของคนเลี้ยงโคแห่งหนึ่ง
ก็ในวันนั้น มีการทำขวัญแม่โคนมของนายโคบาล และในเรือนของนายโคบาล พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งฉันอยู่เป็นนิตย์.
นายโคบาลนั้น นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าฉันเสร็จแล้วจึงได้ทำการมงคล มีข้าวปายาสซึ่งเขาจัดแจงไว้เป็นอันมาก
นายโคบาล เห็น ๒ สามีภรรยานั้นมา จึงถามว่า " ท่านมาจากไหน ?" เมื่อทราบเรื่องนั้นแล้ว เพราะเป็นกุลบุตรผู้มีใจอ่อนโยน จึงกระทำความสงเคราะห์ สามีภรรยานั้น ใช้บริวารนำข้าวปายาสกับเนยใสเป็นอันมากมาให้
ภรรยาจึงกล่าวกะสามีว่า "พี่ เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ฉันก็ชื่อว่ามีชีวิตอยู่, ท่านท้องกิ่วมานาน, จงบริโภคตามความต้องการเถิด" แล้วจึงวางข้าวปายาสไว้เบื้องหน้าเขาพร้อมกับเนยใส ตนเองบริโภคแต่เนยเหลวเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ส่วนนายโกตุหลิกะ บริโภคมากเกินไป ไม่อาจตัดความอยากความกระหายในอาหารได้ เพราะความที่ตนเองหิวมาตั้ง 7-8 วัน
นายโคบาล ครั้นใช้บริวารเอาข้าวปายาสให้แก่ ๒ ผัวเมียแล้ว ตนเองจึงจะเริ่มจะบริโภค
นายโกตุหลิกะ นั่งแลดูเขาแล้ว เห็นก้อนข้าวปายาสที่นายโคบาลปั้นให้แก่นางสุนัขซึ่งนอนอยู่ใต้ตั่ง คิดว่า "แม่หมาตัวนี้ มีบุญนัก จึงได้โภชนาหารแบบนี้เป็นประจำ"
ตกกลางคืน นายโกตุหลิกะนั้น ไม่สามารถจะยังข้าวปายาสนั้นให้ย่อยได้ เพราะกินมากไป จึงสิ้นใจ แล้วไปเกิดในท้องแห่งนางสุนัขตัวนั้น
ครั้งนั้น ภรรยาของเขาทำการเผาศพสามีแล้ว ก็ยังทำการรับจ้างอยู่ในเรือนนั่นเอง ได้ข้าวสารมาทะนานหนึ่ง หุงแล้วเอาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกล่าวอธิษฐาน ว่า "ท่านเจ้าข้า ขอกุศลอันนี้ จงถึงแก่ทาสของท่านเถิด" ดังนี้แล้วจึงคิดว่า "สมควรที่เราจะอยู่ในที่นี้แหละ, พระคุณเจ้าย่อมมาในที่นี้เนืองนิตย์, ไทยธรรมจักมีหรือไม่ก็ช่างเถิด, เราไหว้อยู่ ทำความขวนขวายอยู่ ยังใจให้เลื่อมใสอยู่ทุกๆ วัน จักประสบบุญมากแน่" คิดได้ดังนี้แล้วจึงทำการรับจ้างอยู่ในบ้านนั้นนั่นเอง
ในเดือนที่ ๖ หรือที่ ๗ นางสุนัขนั้นก็คลอดลูกออกมาตัวหนึ่ง นายโคบาลจึงใช้บริวารให้เอาน้ำนมของแม่โคนมตัวหนึ่งแก่ลูกสุนัขนั้น ไม่นานเท่าไรนัก มันก็เติบโต
โปรดติดตามตอนต่อไปในวันอาทิตย์หน้าครับ