Iceland อันดับใน Fifa ranking ณ ปัจจุบันอยู่ที่อันดับที่ 22 .. ซึ่งถ้าในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ Iceland สามารถเปิดบ้านเอาชนะ Kosovo ทีมอันดับบ๊วยไปได้ ก็จะสามารถการันตีผ่านเข้าไปร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซียอย่างเป็นที่แน่นอน ซึ่งเจ้าของสถิติประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดที่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกก็คือ Trinidad and Tobago (ประชากร 1.6 ล้าน) สถิติดังกล่าวกำลังจะถูก Iceland ทำลายในไม่ช้า
แต่เมื่อย้อนกลับไปในปี 2010 นั้น Iceland มีอันดับอยู่ห่างไกลถึงอันดับที่ 120 เลยทีเดียว .. อะไรคือปัจจัยที่ทำให้วงการฟุตบอลของประเทศที่มีประชากรเพียง 330,000
และเมื่อย้อนกลับไปในปี 2016 ที่ผ่านมาในรายการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป Iceland ก็สามารถผ่านไปได้ไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และในรอบ 16 ทีมก็ยังสามารถผ่านประเทศที่มีทรัพยากรนักฟุตบอลมั่งคั่งอย่าง England ลงได้
..
โดยเมื่อย้อนกลับไปในปี 2009 ในยุคสมัยที่ฟุตบอล Iceland ยังมีอันดับโลกวนเวียนแถวๆ ที่ 80-100 อยู่นั้นรวมถึงในอดีตที่ผ่านมา หากคุณเป็นนักบอลที่เกิดใน Iceland และอยากมีอนาคตในวงการฟุตบอลนั้น คุณจะต้องเก่งและคุณจะต้องเดินทางออกจาก Iceland โดยวัยเฉลี่ยที่นักบอล Iceland เริ่มเดินทางออกมาเพื่อฝึกฝนต่อยังสโมสรชั้นนำของยุโรปคือ 15-16 ปี โดยเดินทางกระจายไปทั่วในยุโรป ทั้งในอังกฤษ อิตาลี แดนมาร์ก หรือในเยอรมัน .. ซึ่งผลผลิตของแผนการส่งนักเตะระดับเยาวชนอายุเพียงม.ต้น ไปเติบโตในสโมสรต่างๆ ในยุโรปกำลังเริ่มออกผล ซึ่งอายุเฉลี่ยของนักบอลเหล่านั้น ณ ปัจจุบันจะอยู่ที่ราวๆ 25-28 ปี ซึ่งเป็นขุมกำลังหลักของ Iceland เลย
ถามว่าสิ่งนี้คือกลยุทธแปลกใหม่ของ Iceland เลยใช่หรือไม่ .. คำตอบคือไม่ใช่ เพราะ Iceland ในวิธีการแบบนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น Eiður Smári Guðjohnsen ก็เริ่มไปฝึกกับ PSV ตั้งแต่อายุ 15-16 เช่นเดียวกัน
ถามว่า งั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันคือจุดสูงสุดของ Iceland แล้วหรือยัง .. คำตอบคือไม่ใช่เช่นกัน งั้นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกและมีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมกำลังวางแผนอะไรอยู่
.. เรามาย้อนกลับไปสู่ปี 2000 ต้นๆ กับสิ่งที่ Iceland ได้วางแผนและลงมือทำไปแล้วดูกันบ้างว่ามีอะไรบ้าง
- เริ่มจากปี 2002 สมาคมฟุตบอล Iceland ได้จ้าง Sigurdur Ragnar Eyjolfsson เข้ามาดูแลในตำแหน่ง head of coach education และสิ่งที่ Eyjolfsson ทำก็คือการยกระดับโค้ชทั้งหมดใน Iceland ให้อยู่ในระดับที่มีคุณภาพสูง โดยบุคลากรที่จะเป็นโค้ชใน Iceland ส่วนใหญ่ จบการศึกษามาทางด้านครูพละ หรือทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาทั้งสิ้น และ 70% ของโค้ชในประเทศได้รับการรับรอง UEFA B licence (ประมาณ 600 คน) และที่เหลือเกือบ 30% UEFA A licence (ประมาณ 180 คน) โดยโค้ชระดับ UEFA B licence จะรับผิดชอบในการดูแลระดับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปีลงไป
.. ซึ่งอัตราโค้ชต่อนักฟุตบอลอยู่ที่ 1:500 ขณะที่ถ้าเทียบกับประเทศอังกฤษอัตราจะอยู่ที่ 1:5000 เลยทีเดียว และมีบ้างข้อมูลบอกว่า Iceland เป็นประเทศที่มีประชากรโค้ชต่อประชากรอยู่ในอัตราสูงที่สุดในโลกด้วย
- เนื่องด้วย Iceland เป็นประเทศในเขตเมืองหนาว ดังนั้นช่วงเวลาในการใช้สนามฟุตบอลกลางแจ้งในปีๆ หนึ่งสามารถใช้ได้เพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นในปี 2001 ทางสมาคมจึงเริ่มวางแผนในการสร้างสนามฟุตบอลในร่มมากกว่า 100 สนาม โดย ณ ปัจจุบัน Iceland มีสนามฟุตบอลไซด์มาตรฐานในร่มมากกว่า 179 สนาม และสนามขนาดเล็กอีกกว่า 166 สนาม .. แต่เนื่องด้วย Iceland เป็นประเทศที่มีประชากรไม่สูงมาก และมีความเชื่อมั่นในความเท่าเทียมกัน ดังนั้นดังนั้นจึงมีกฏง่ายๆ สำหรับการใช้สนามก็คือ ทุกคนไม่ว่าจะเพศหรืออายุใดก็มีสิทธิเข้าถึงการใช้งานสนามอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงสิทธิในการเข้าร่วมการฝึกกับทางโค้ชด้วยเช่นกัน (จนกระทั้งถึงวัย 19 ปี)
- แผนการพัฒนา Facility ของ Iceland ก็ใช่ว่าจะผ่านไปอย่างเรียบง่าย ในปี 2008 ที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ Iceland ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นเพื่อประหยัดงบลงทุนทางสมาคมจึงมุ่งเน้นไปยังการพัฒนาโค้ชมากกว่าพัฒนาสนาม
- เป้ายหมายจริงๆ ของ Iceland สำหรับการเข้าร่วมฟุตบอลโลกนั้นไม่ใช่ครั้งนี้ที่รัสเซียในปี 2018 หากแต่เป็น การ์ต้า2022 .. นั่นแปลว่า Iceland นั้นทำสำเร็จเร็วกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
- ในขณะที่เด็กชาติอื่นๆ ในยุโรปมันจะเริ่มเข้าฝึกซ้อมกับ Academy ตอนช่วงอายุ 5-6 ปีนั้น .. Iceland นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ที่ Iceland นั้นเด็กๆ จะเริ่มเข้า Academy ตอนช่วงอายุ 3-4 ขวบ โดยผู้ปกครองสามารถส่งเด็กเข้าสู่ Academy ใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะของสโมสรอาชีพ กึ่งอาชีพ ของสมาคม เพียงแค่คุณจ่ายค่าใช้จ่ายตามที่ Academy กำหนด โดย Academy ไม่มีสิทธิปฏิเสธ .. ส่วนใหญ่ก็เลือกทีมใกล้บ้านหรือใกล้เมืองที่พัก แต่นั่นก็หมายความว่าถ้ามี Academy ของบาซ่าอยู่ใกล้บ้าน ผมแค่กำตังไปจ่าย ลูกของผมก็จะได้รับการฝึกซ้อมที่บาซ่าทันทีแบบไม่ต้องมีคัดตัว
.. แต่ที่พิเศษออนท๊อปเหนือสิ่งใดก็คือ โค้ชทั้งหมดที่กำลังสอนลูกคุณนั้น มีดีกรีขั้นต่ำๆ ก็คือ UEFA B licence หรือบางทีก็ได้ UEFA A licence มาสอนเลยทีเดียว
- Iceland นั้นมีความตระหนักถึงจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองเป็นอย่างดี .. จริงอยู่ที่ Iceland นั่นมีระบบพัฒนาฟุตบอลในระดับเยาวชนที่ยอดเยี่ยม แต่เช่นเดียวกัน Iceland นั่นมีจำนวนประชากรนักฟุตบอลที่น้อย และลีคภายในประเทศที่ไม่แข็งแรง ดังนั้นแผนการพัฒนาวงการฟุตบอลของ Iceland จึงไม่แตกต่างไปจากในอดีตก็คือ เขามุ่งเน้นพัฒนาในระดับเยาวชนด้วยทุกสิ่งอย่างที่เขามี จนกระทั้งเด็กๆ เหล่านั่นมีอายุในช่วง 15-16 ปี พวกเด็กๆ เหล่านั่นจะเริ่มเดินสายไปคัดตัวกับสโมสรในลีคที่มีความแข็งแกร่งทั่วทั้งยุโรป ซึ่งเป้าหมายประเทศแรกๆ ที่เด็กๆ เหล่านั่นเดินทางไปก็จะเป็นประเทศที่ใกล้ๆ Iceland เช่น England Norway Denmark Holland เป็นต้น
- ย้อนกลับมาแซวผู้จัดการทีมชาติ Iceland กันนิดหน่อย Heimir Hallgrímsson ถือว่ามีประวัติที่แปลกและน่าสนใจอยู่เช่นกัน Hallgrímsson พี่แกเป็นหมอฟัน แต่กระนั้นในวัยรุ่นแกก็ใช้เวลาว่างของแกไปรับงานเป็นนักฟุตบอลในทีมใกล้บ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นลีคระดับล่างๆ แต่ที่แปลกคือตอน Hallgrímsson อายุ 26 ย้ายไปเล่นให้กับทีม Höttur และรับงานคุมทีมหญิงของสโมสรนี้ไปพร้อมๆ กัน รวมถึงพออายุ 27 แกก็ย้ายไปเล่นให้กับทีม IBV และรับงานคุมทีมหญิงคู่กันด้วย แปลว่าพี่แกรับเงิน 3 ทางเลยทีเดียวทั้งจากงานหมอฟัน จากการเล่นบอล และจากการคุมทีม ..
ก็จบลงไปแล้วสำหรับวงการฟุตบอล Iceland ซึ่งมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หลายๆ ปัจจัยที่ไม่อาจนำมาปรับใช้ในไทยได้ เช่น Iceland เป็นประเทศในยุโรปซึ่งเขาสามารถพัฒนาในระดับเยาวชนเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้วส่งไปโตต่อในประเทศอื่นได้ แต่ก็มีหลายประเด็นน่าสนใจเช่น เรื่องการพัฒนาโค้ชให้ได้โค้ชที่มีศักยภาพสูงนั้นมีผลกระทบต่อการพัฒนาการของเยาวชนโดยตรงเลยทีเดียว และ ณ ปัจจุบันเรามีประชากรเด็กทั้งหญิงชายในช่วงวัย 4-10 ปีประมาณ 5.5 ล้านคน หากเรามีโค้ชสัก 100-200 คนที่มีมาตรฐานมาช่วยดูแลเด็กๆ ในช่วงวัยนี้ เชื่อได้เลยว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าเราจะกลายเป็นมหาอำนาจฟุตบอลในเวทีระดับเอเชียและเข้าร่วมระดับโลกแน่นอน และหากมีข้อมูลตรงจุดใดขาดตกบกพร่องก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ และสามารถเสริมเพิ่มเติมได้ครับ
Iceland ปาฏิหาริย์? หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ
แต่เมื่อย้อนกลับไปในปี 2010 นั้น Iceland มีอันดับอยู่ห่างไกลถึงอันดับที่ 120 เลยทีเดียว .. อะไรคือปัจจัยที่ทำให้วงการฟุตบอลของประเทศที่มีประชากรเพียง 330,000
และเมื่อย้อนกลับไปในปี 2016 ที่ผ่านมาในรายการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป Iceland ก็สามารถผ่านไปได้ไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และในรอบ 16 ทีมก็ยังสามารถผ่านประเทศที่มีทรัพยากรนักฟุตบอลมั่งคั่งอย่าง England ลงได้
..
โดยเมื่อย้อนกลับไปในปี 2009 ในยุคสมัยที่ฟุตบอล Iceland ยังมีอันดับโลกวนเวียนแถวๆ ที่ 80-100 อยู่นั้นรวมถึงในอดีตที่ผ่านมา หากคุณเป็นนักบอลที่เกิดใน Iceland และอยากมีอนาคตในวงการฟุตบอลนั้น คุณจะต้องเก่งและคุณจะต้องเดินทางออกจาก Iceland โดยวัยเฉลี่ยที่นักบอล Iceland เริ่มเดินทางออกมาเพื่อฝึกฝนต่อยังสโมสรชั้นนำของยุโรปคือ 15-16 ปี โดยเดินทางกระจายไปทั่วในยุโรป ทั้งในอังกฤษ อิตาลี แดนมาร์ก หรือในเยอรมัน .. ซึ่งผลผลิตของแผนการส่งนักเตะระดับเยาวชนอายุเพียงม.ต้น ไปเติบโตในสโมสรต่างๆ ในยุโรปกำลังเริ่มออกผล ซึ่งอายุเฉลี่ยของนักบอลเหล่านั้น ณ ปัจจุบันจะอยู่ที่ราวๆ 25-28 ปี ซึ่งเป็นขุมกำลังหลักของ Iceland เลย
ถามว่าสิ่งนี้คือกลยุทธแปลกใหม่ของ Iceland เลยใช่หรือไม่ .. คำตอบคือไม่ใช่ เพราะ Iceland ในวิธีการแบบนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น Eiður Smári Guðjohnsen ก็เริ่มไปฝึกกับ PSV ตั้งแต่อายุ 15-16 เช่นเดียวกัน
ถามว่า งั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันคือจุดสูงสุดของ Iceland แล้วหรือยัง .. คำตอบคือไม่ใช่เช่นกัน งั้นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกและมีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมกำลังวางแผนอะไรอยู่
.. เรามาย้อนกลับไปสู่ปี 2000 ต้นๆ กับสิ่งที่ Iceland ได้วางแผนและลงมือทำไปแล้วดูกันบ้างว่ามีอะไรบ้าง
- เริ่มจากปี 2002 สมาคมฟุตบอล Iceland ได้จ้าง Sigurdur Ragnar Eyjolfsson เข้ามาดูแลในตำแหน่ง head of coach education และสิ่งที่ Eyjolfsson ทำก็คือการยกระดับโค้ชทั้งหมดใน Iceland ให้อยู่ในระดับที่มีคุณภาพสูง โดยบุคลากรที่จะเป็นโค้ชใน Iceland ส่วนใหญ่ จบการศึกษามาทางด้านครูพละ หรือทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาทั้งสิ้น และ 70% ของโค้ชในประเทศได้รับการรับรอง UEFA B licence (ประมาณ 600 คน) และที่เหลือเกือบ 30% UEFA A licence (ประมาณ 180 คน) โดยโค้ชระดับ UEFA B licence จะรับผิดชอบในการดูแลระดับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปีลงไป
.. ซึ่งอัตราโค้ชต่อนักฟุตบอลอยู่ที่ 1:500 ขณะที่ถ้าเทียบกับประเทศอังกฤษอัตราจะอยู่ที่ 1:5000 เลยทีเดียว และมีบ้างข้อมูลบอกว่า Iceland เป็นประเทศที่มีประชากรโค้ชต่อประชากรอยู่ในอัตราสูงที่สุดในโลกด้วย
- เนื่องด้วย Iceland เป็นประเทศในเขตเมืองหนาว ดังนั้นช่วงเวลาในการใช้สนามฟุตบอลกลางแจ้งในปีๆ หนึ่งสามารถใช้ได้เพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นในปี 2001 ทางสมาคมจึงเริ่มวางแผนในการสร้างสนามฟุตบอลในร่มมากกว่า 100 สนาม โดย ณ ปัจจุบัน Iceland มีสนามฟุตบอลไซด์มาตรฐานในร่มมากกว่า 179 สนาม และสนามขนาดเล็กอีกกว่า 166 สนาม .. แต่เนื่องด้วย Iceland เป็นประเทศที่มีประชากรไม่สูงมาก และมีความเชื่อมั่นในความเท่าเทียมกัน ดังนั้นดังนั้นจึงมีกฏง่ายๆ สำหรับการใช้สนามก็คือ ทุกคนไม่ว่าจะเพศหรืออายุใดก็มีสิทธิเข้าถึงการใช้งานสนามอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงสิทธิในการเข้าร่วมการฝึกกับทางโค้ชด้วยเช่นกัน (จนกระทั้งถึงวัย 19 ปี)
- แผนการพัฒนา Facility ของ Iceland ก็ใช่ว่าจะผ่านไปอย่างเรียบง่าย ในปี 2008 ที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ Iceland ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นเพื่อประหยัดงบลงทุนทางสมาคมจึงมุ่งเน้นไปยังการพัฒนาโค้ชมากกว่าพัฒนาสนาม
- เป้ายหมายจริงๆ ของ Iceland สำหรับการเข้าร่วมฟุตบอลโลกนั้นไม่ใช่ครั้งนี้ที่รัสเซียในปี 2018 หากแต่เป็น การ์ต้า2022 .. นั่นแปลว่า Iceland นั้นทำสำเร็จเร็วกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
- ในขณะที่เด็กชาติอื่นๆ ในยุโรปมันจะเริ่มเข้าฝึกซ้อมกับ Academy ตอนช่วงอายุ 5-6 ปีนั้น .. Iceland นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ที่ Iceland นั้นเด็กๆ จะเริ่มเข้า Academy ตอนช่วงอายุ 3-4 ขวบ โดยผู้ปกครองสามารถส่งเด็กเข้าสู่ Academy ใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะของสโมสรอาชีพ กึ่งอาชีพ ของสมาคม เพียงแค่คุณจ่ายค่าใช้จ่ายตามที่ Academy กำหนด โดย Academy ไม่มีสิทธิปฏิเสธ .. ส่วนใหญ่ก็เลือกทีมใกล้บ้านหรือใกล้เมืองที่พัก แต่นั่นก็หมายความว่าถ้ามี Academy ของบาซ่าอยู่ใกล้บ้าน ผมแค่กำตังไปจ่าย ลูกของผมก็จะได้รับการฝึกซ้อมที่บาซ่าทันทีแบบไม่ต้องมีคัดตัว
.. แต่ที่พิเศษออนท๊อปเหนือสิ่งใดก็คือ โค้ชทั้งหมดที่กำลังสอนลูกคุณนั้น มีดีกรีขั้นต่ำๆ ก็คือ UEFA B licence หรือบางทีก็ได้ UEFA A licence มาสอนเลยทีเดียว
- Iceland นั้นมีความตระหนักถึงจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองเป็นอย่างดี .. จริงอยู่ที่ Iceland นั่นมีระบบพัฒนาฟุตบอลในระดับเยาวชนที่ยอดเยี่ยม แต่เช่นเดียวกัน Iceland นั่นมีจำนวนประชากรนักฟุตบอลที่น้อย และลีคภายในประเทศที่ไม่แข็งแรง ดังนั้นแผนการพัฒนาวงการฟุตบอลของ Iceland จึงไม่แตกต่างไปจากในอดีตก็คือ เขามุ่งเน้นพัฒนาในระดับเยาวชนด้วยทุกสิ่งอย่างที่เขามี จนกระทั้งเด็กๆ เหล่านั่นมีอายุในช่วง 15-16 ปี พวกเด็กๆ เหล่านั่นจะเริ่มเดินสายไปคัดตัวกับสโมสรในลีคที่มีความแข็งแกร่งทั่วทั้งยุโรป ซึ่งเป้าหมายประเทศแรกๆ ที่เด็กๆ เหล่านั่นเดินทางไปก็จะเป็นประเทศที่ใกล้ๆ Iceland เช่น England Norway Denmark Holland เป็นต้น
- ย้อนกลับมาแซวผู้จัดการทีมชาติ Iceland กันนิดหน่อย Heimir Hallgrímsson ถือว่ามีประวัติที่แปลกและน่าสนใจอยู่เช่นกัน Hallgrímsson พี่แกเป็นหมอฟัน แต่กระนั้นในวัยรุ่นแกก็ใช้เวลาว่างของแกไปรับงานเป็นนักฟุตบอลในทีมใกล้บ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นลีคระดับล่างๆ แต่ที่แปลกคือตอน Hallgrímsson อายุ 26 ย้ายไปเล่นให้กับทีม Höttur และรับงานคุมทีมหญิงของสโมสรนี้ไปพร้อมๆ กัน รวมถึงพออายุ 27 แกก็ย้ายไปเล่นให้กับทีม IBV และรับงานคุมทีมหญิงคู่กันด้วย แปลว่าพี่แกรับเงิน 3 ทางเลยทีเดียวทั้งจากงานหมอฟัน จากการเล่นบอล และจากการคุมทีม ..
ก็จบลงไปแล้วสำหรับวงการฟุตบอล Iceland ซึ่งมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หลายๆ ปัจจัยที่ไม่อาจนำมาปรับใช้ในไทยได้ เช่น Iceland เป็นประเทศในยุโรปซึ่งเขาสามารถพัฒนาในระดับเยาวชนเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้วส่งไปโตต่อในประเทศอื่นได้ แต่ก็มีหลายประเด็นน่าสนใจเช่น เรื่องการพัฒนาโค้ชให้ได้โค้ชที่มีศักยภาพสูงนั้นมีผลกระทบต่อการพัฒนาการของเยาวชนโดยตรงเลยทีเดียว และ ณ ปัจจุบันเรามีประชากรเด็กทั้งหญิงชายในช่วงวัย 4-10 ปีประมาณ 5.5 ล้านคน หากเรามีโค้ชสัก 100-200 คนที่มีมาตรฐานมาช่วยดูแลเด็กๆ ในช่วงวัยนี้ เชื่อได้เลยว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าเราจะกลายเป็นมหาอำนาจฟุตบอลในเวทีระดับเอเชียและเข้าร่วมระดับโลกแน่นอน และหากมีข้อมูลตรงจุดใดขาดตกบกพร่องก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ และสามารถเสริมเพิ่มเติมได้ครับ