สวัสดีค่ะ ขอแทนตัวเองว่า เรา นะคะ ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนเหนือและนี่ก็เป็นกระทู้แรกของเราที่อยากจะมาแชร์เรื่องราวของตัวเองให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ อย่างที่รู้ๆกันว่าทางภาคเหนือตอนบนจะมีความเชื่อในเรื่องของสิ่งลี้ลับหรือความเชื่อเรื่องผีสาง เทวดาประจำตัวรวมถึงเจ้าแม่หรือองค์ทรงเจ้ากันมาตั้งแต่อดีตแล้ว เราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะที่มีองค์หรือเรียกง่ายๆว่าของดีนั่นแหละค่ะคอยคุ้มครองปกป้องเรา และเราก็เป็นคนมีเซนต์ตั้งแต่เด็ก
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและอย่าหลงงมงายจนเกินกว่าเหตุค่ะ ถ้าหากท่านไหนไม่เชื่อหรือคิดว่าเราแต่งเรื่องขึ้นมา เราก็ไม่ว่าอะไรนะคะ แต่ขอเพียงแค่ว่าอ่านเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อฆ่าเวลาไปก็ได้ เรื่องบางเรื่องไม่ลบหลู่จะดีกว่า บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองก็ไม่มีทางรู้ได้เนอะ มาค่ะ เข้าเรื่อง เกริ่นมากเสียเวลา เราจะขอเล่าเรื่องเป็นตอนนะคะ จะเริ่มตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเพื่อให้ทราบถึงที่มาของสิ่งเหล่านี้ ที่บอกว่าเรามีเซนต์ตั้งแต่เด็กแล้วนั้นมันยังไม่ค่อยแรงมากเท่าไหร่จะสามารถรับรู้ได้เพียง กลิ่น และเห็นวิญญาณในลักษณะเป็นเงาดำแค่นั้นค่ะ แต่เมื่อโตขึ้นมันก็แรงขึ้นตามลำดับอายุ ตอนนี้เราอายุ22 ตอนนี้ก็สัมผัสได้ในหลายๆอย่างบางทีเราก็ยังไม่เชื่อตัวเองและมีการต่อต้านด้วยซ้ำไป บางอย่างเราคิดว่าเรามโนภาพขึ้นมาเองแน่ๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่มันคือความจริง
ทุกอย่างคือความจริงที่เกิดขึ้นค่ะเซนต์เราแรงมากขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี 59 หรือปีก่อนค่ะ เรื่องมันเกิดขึ้นจากความฝัน ฝันที่ทำให้เราตรึงใจจนถึงตอนนี้ก็ลืมไม่ลงเป็นฝันที่ชัดมากซะเหมือนจริงเลย และฝันนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ตามมาค่ะ คืนนั้นเราฝันถึงผู้หญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง รูปร่างท้วม ผิวขาวเหลือง ท่าทางใจดี เข้ามาหาเราแล้วจูงมือเราให้เดินตามเขาไป เราก็เดินตามไปโดยไม่เอะใจหรือปฏิเสธเลย เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างทาง เราสังเกตเห็นสองข้างทางมืดสนิทชนิดที่ว่าเป็นสีดำดาร์กเลยทีเดียว แต่ทางเดินกลับสว่างไสวมาก เดินไปเรื่อยจนถึงจุดหมายปลายทางเป็นบ้านทรงไทยหลังเก่าๆ ตั้งอยู่หลังเดียว เขาก็พาเราเข้าไปในบ้าน แต่ข้างในกลับว่างเปล่าไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนอกจากเก้าอี้ไม้เก่าๆตัวนึงตรงกลางบ้าน เขาบอกให้เรานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ เราก็นั่งรอจนเขากลับมาอีกครั้งพร้อมมีดในมือ (ลักษณะมีดคล้ายกับมีดหมอผีค่ะ หากเคยเห็นนะ) เราก็มองที่มีดดูเก่าสนิมเขรอะมาก เราก็ถามว่าเอามีดมาทำไร
เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น จากนั้นก็เอามีดนั่นกรีดตรงระหว่างคิ้วเราแต่สูงกว่าคิ้วหน่อยนึงนะคะ กรีดลงมาเป็นเส้นตรง แต่เราไม่เจ็บไม่มีเลือดไหลเลย เราก็ถามอีกว่ากรีดเราทำไม เพื่ออะไร เขายิ้มให้แล้วบอกเราว่า “ท่านบอกให้มอบสิ่งนี้ให้กับเรา เขาก็แค่ทำตามคำสั่ง ทำให้แล้วนะ มีอยู่กับตัวก็รักษาไว้ให้ดี ต่อไปนี้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เราก็ทำหน้างง คำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งท้ายให้เราคือ “ตาที่สาม” จากนั้นภาพทุกอย่างก็หายวับเลยค่ะ หลังจากความฝันนั้นเราก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะคะ ก็เห็นวิญญาณตามปกติ ขออธิบายว่าการเห็นวิญญาณของเราต้องขึ้นอยู่กับวิญาณเองค่ะว่าต้องการให้เราเห็นหรือไม่ เพราะถ้าหากเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ปรากฏเห็นเลย ถึงจะมีเซนต์แต่เราไม่เคยชินกับเรื่องแบบนี้บางทีก็กลัวนะแต่มันเลี่ยงไม่ได้ 55 จนกระทั่งเราได้มาสนิทกับเพื่อนในสาขาคนหนึ่งซึ่งคุยกันไปมากลายเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกันเฉยเลย และในความบังเอิญนั้นก็มีความบังเอิญอีกอย่างคือเพื่อนเราก็มีเซนต์เช่นกันค่ะ แต่นางจะแรงมาก แรงในด้านมืดอ่ะ นางเป็นสายดาร์กนะคะ ประมาณว่าคำพูดเป็นพิษ ถ้าหากพลั้งเผลอพูดอะไรออกไปเรื่องนั้นๆจะเกิดขึ้นทุกอย่าง (น่ากลัว)
แต่โชคดีที่นางเป็นคนใจบุญไม่คิดร้ายกับใคร แต่เราเป็นสายขาวค่ะ สายช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากจริงๆ ทำไมเรารู้สายตัวเอง เพราะว่าเรื่องต่อไปนี้แหละค่ะเป็นตัวบอกเราเอง พอดีเรามีโอกาสได้ช่วยเหลือเพื่อนในแกงค์อีกคนนึงประมาณเดือนตุลาคม ปี 59 เพื่อนคนนี้จะเป็นคนค่อนข้างขี้กลัวขี้ตกใจ ขวัญอ่อน คือรวมๆแล้วไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัวเลย เรากับเพื่อนเจอกันทุกวันเวลาไปเรียนก็ทักทายกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่แปลกไปคือสายตาของนางที่ดูเปลี่ยนไป เวลาคุยกับใครเราชอบมองลึกเข้าไปในตาของคนนั้น เราก็มองตานางนะ นางมองกลับมาแต่มันไม่ใช่สายตาเพื่อนเราที่รู้จักกันทุกวันอ่ะ แข็งกร้าวมาก มองเราตาขวางเลย เราก็คิดในใจว่าเพื่อนโกรธไรเราป่าววะ เลยถามออกไปว่าเป็นไรป่าว โกรธไรหรือป่าว นางก็บอกไม่ได้เป็นไรไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกไม่สบายตัวเลยอึดอัดตลอดเลยช่วงนี้ยิ่งเวลาอยู่คนเดียวเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง เราก็คิดละว่าเพื่อนต้องเจออะไรแปลกๆแน่เลย เย็นวันนั้นพวกเราในแก๊งค์ก็ชวนกันไปกินหมูกระทะ
ร้านที่ไปจะอยู่ติดกับถนนใหญ่และมีต้นไม้ใหญ่หน้าร้าน กินกันเฮฮาผ่านไปสักพัก ไอ้เพื่อนคนที่สายตาเปลี่ยนอ่ะ จู่ๆนางก็ลุกขึ้นและเดินออกร้านไป เดินไปอยู่ที่ต้นไม้หน้าร้าน พวกเราทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง งง กันถามกันไปมาว่านางเป็นไรๆ เราก็มองออกไปเห็นนางกำลังคุยกับใครอยู่ แต่โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอาติดไปด้วยจะคุยกับใครล่ะ เราไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นกับนางเลยนะคะ มืดหมด เพื่อนสายดาร์กก็สะกิดถามเราว่ามองไรวะ เห็นอะไรหรอ เราก็ว่าเปล่าไม่มี เราคิดในใจว่าเพื่อนคนนั้นต้องเจออะไรจริงๆแหง ตอนกำลังคิดแบบนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเรา “ลมเพลมพัด” แต่เราก็พูดออกมาถามเพื่อนคนอื่นๆว่า ห๊ะ? พูดไรนะเมื่อกี้ ทุกคนมองมาที่เราทำหน้าสงสัยกันหมด เพราะไม่มีใครพูดคำนี้ออกมาเลย แล้วเสียงที่เราได้ยินมาจากไหน สักพักก็ดังมาอีกบอกว่า “ก็บอกว่ามันเป็นลมเพลมพัด บอกอะไรไปรู้จักฟังบ้าง หัดมีสมาธิหน่อย” เสียงนี้ดังมากเราเลยหยุดทุกการกระทำแล้วทำหน้านิ่งน้ำตาคลอเบ้าเลย เพื่อนทุกคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเราคงรับรู้อะไรแน่ๆ เพื่อนๆรู้ค่ะว่าเรามีเซนต์และพากันกลัวแต่ก็ชอบให้เราเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง(แปลกคน) เราก็พูดคำนั้นออกมาเลยว่า มันเป็นลมเพลมพัด เพื่อนก็ยิ่งฉงนเข้าไปอีก เราก็ไม่รู้หรอกว่าลมเพลมพัดความหมายคืออะไร แต่ก็บอกพวกนางไปแบบนั้น แล้วเพื่อนคนที่ไปอยู่ตรงต้นไม้ก็เดินกลับเข้ามาพร้อมร้องไห้ใหญ่เลย เราทุกคนตกใจหมด ถามนางเยอะมากแต่ก็ไม่มีคำตอบ การกินหมูทะเลยกร่อย สุดท้ายแยกย้ายกันกลับหอค่ะ
ถึงหอเราก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จทุกอย่างกะจะเข้านอนแต่ก็นึกถึงเพื่อนคนที่สายตาเปลี่ยน เลยทักไลน์ไปถามนางว่าเป็นไร ทำไมถึงเดินไปคุยกับใครที่ต้นไม้ นางบอกว่าเหมือนมีคนเรียกไปตรงนั้นเลยเดินไป แล้วก็ไม่ได้คุยกับใครนะ เราเลยอ้าวไหงงั้นอ่ะ คุยไปคุยมาเราง่วงเลยขอตัวนอนเราก็ไหว้พระสวดมนต์ตามปกติก่อนนอน พอกำลังจะเดินไปปิดไฟภาพห้องของเพื่อนที่พึ่งคุยไลน์ไปอ่ะ ปรากฏให้เราเห็น เราตกใจมากค่ะทำไมถึงเห็นภาพแบบนี้ได้ไง (ภาพที่เห็นจะเหมือนในละครตอนที่ตัวละครคิดย้อนไปในอดีตอ่ะ มันจะขึ้นมาแบบนั้น) ภาพที่เราเห็นจะเรียกว่าในนิมิตก็คงไม่ผิดมั้งคะ เป็นภาพเพื่อนนอนบนเตียงแล้วก็เห็นตรงประตูหลังห้องเพื่อนไม่ได้ปิด ข้างนอกมืดมากและรับรู้ถึงกระแสบางอย่างน่ากลัวอยู่นอกประตู เรารีบทักไลน์ไปหานางบอกให้รีบไปปิดประตูหลังห้องนะ มันหลอนๆ นางตอบกลับมาแบบตกใจว่า “เห้ย! รู้ได้ไงว่าประตูหลังห้องไม่ได้ปิด เนี่ยกำลังจะเดินไปปิดพอดีเลย ขนลุกว่ะ” เราก็ไม่พูดไรก็บอกนางนอน
เราก็นอนสักพักภาพขึ้นมาให้เราเห็นอีกค่ะ ห้องเพื่อนเหมือนเดิมแต่ที่เห็นคือนางนอนหลับ แล้วมีผู้หญิงยืนข้างเตียงนางอ่ะ แต่เราว่าสวยมากนะเห็นแค่ครึ่งเสี้ยวหน้า ใส่ชุดไทยสีเขียวมรกตมีสไบหลังพลิ้วเลย ผมยาวดำ ผิวขาว ยืนจ้องนางนอนหลับ เราตกใจกลัวแต่ก็ไม่ทักไปบอกเพื่อนนะ วันถัดมาก็เข้าไปคุยกับเพื่อน นางก็บอกเราว่าเมื่อคืนเหมือนโดนผีอำเลย นอนขยับไม่ได้หายใจไม่ออก สวดมนต์แล้วแต่ก็ไม่ได้ผล และถูกดึงผ้าห่มด้วย เราก็แค่ยิ้มให้นาง เรารู้สึกกังวลนะแต่ก็ไม่อยากบอกเพื่อนว่าเราเห็นอะไร เราเห็นภาพและได้ยินเสียงพวกนี้เรื่อยๆถี่ขึ้น ช่วงนั้นเราเหมือนคนบ้า เห็นเองกลัวเอง ได้ยินเองหลอนเอง เราก็คอยช่วยเหลือเพื่อนตลอดนะคะ ชวนนางไปทำบุญบ่อยมาก เพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย จนเราได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นในหัวเรา “อย่าเผือก! ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของตู! เมิงอยากลองดีนักใช่ไหม!” พอได้ยินแบบนี้เป็นใครก็กลัว ไม่ได้มีวิชาคาถาอาคมอะไรเลย แล้วเราจะป้องกันตัวเองยังไง เราเลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนที่โดนเล่นงานฟังนางก็ร้องไห้ แล้วก็ปรึกษากับครอบครัว บอกกลัวต่างๆนานา ทางครอบครัวนางจึงไปปรึกษากับคนทรงที่ทางนั้นนับถือกันค่ะ (คนทรงเป็นผู้หญิง เขาเป็นร่างอวตารของเจ้าแม่กาลีค่ะ) คนทรงทักเพื่อนเราเหมือนที่เราคอยบอกนางตลอดเลย นางมาเล่าให้เราฟังอีกทีค่ะ
คนทรงบอกว่าก็ไม่แปลกนะที่เราจะรับรู้เรื่องพวกนี้ได้เพราะเรามีของดี และเขาก็อยากเจอเราถ้ามีโอกาส (ขออธิบายนะคะว่าตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าเรามีองค์ เราไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี รู้แค่ว่าตัวเองมีเซนต์แค่นั้นค่ะ) คนทรงยังบอกอีกว่าให้เราระวังตัวด้วยเพราะเราเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา(ผีตนนั้น) มากไปทำให้เขาไม่พอใจและแค้น เคสที่เพื่อนเราเจอก็คือ เพื่อนเราโดนผีตายโหงทักค่ะ ผีตนนั้นอยู่ตรงทางแยกไฟแดงสร้างใหม่หน้ามหาลัยเราพอดี ตายมาหลายปีแล้วตั้งแต่ปี 53 ตั้งแต่ ม ของเรายังไม่ได้สร้างสะพานลอย เขาตายเพราะถูกรถชนและอยู่ตรงนั้นเรื่อยมา ที่เขาทักเพื่อนเราได้นั้นมันเป็นช่วงประจวบเหมาะกับการที่นางไม่ค่อยมีสติ ขวัญอ่อนเลยฉกฉวยโอกาสนั้น ผีตนนั้นเขาหิวมาก ไม่มีใครทำบุญให้เขาอีกอย่างคือไม่ทักธรรมดา แต่เกาะเพื่อนเราไปไหนมาไหนตลอดเพื่อต้องการดูดกินวิญญาณ เราถึงรับรู้ได้ว่าสายตานั้นไม่ใช่ของเพื่อนเรา แต่เรามองไม่เห็นผีตนนั้นนะ เขาบังตาเรา คนทรงบอกถ้าเพื่อนมาปรึกษาช้ากว่านี้อาจจะสายไปเพราะถึงแก่ชีวิตกันเลยทีเดียว ผีนั่นต้องการถึงชีวิตอ่ะเพราะหิวโหยและจะเอาเพื่อนเราไปแทนที่ตัวเองและคนทรงฝากเพื่อนมาบอกเราด้วยว่าอย่าผ่านทางนั้นเพราะเขาก็ตามหาเรา แต่เขาหาไม่เจอเขามองไม่เห็นเรา เพราะของดีเราคุ้มเราตลอด แต่เราก็กลัวอยู่ดี เราเลยเลี่ยงๆ
เพื่อความสบายใจของเราและเพื่อน คนทรงจึงปลุกเสกสายสิญจน์ผูกข้อมือ (แบบฉบับทางเหนือ) และน้ำมนต์ มาให้พวกเราสองคน เราเอาสายสิญจน์ผูกติดกับสร้อยพระเราเลยค่ะ และจะใส่ทุกครั้งเวลาเดินทางไปไหนเพื่อความสบายใจ (มีรูปสายสิญจน์ให้ดูอยู่ด้านบนนะคะ) หลังจากทางครอบครัวเพื่อนทำพิธีอุทิศอาหารไปตามที่ผีตนนั้นร้องขอ (เขาอยากกินกะเพราไข่ดาว) เพื่อนเราก็ดีขึ้นนะคะ กลับมาเป็นคนเดิม เพิ่มเติมคือเหมือนแผงพระเครื่องเคลื่อนที่อ่ะ 555 ห้อยพระเยอะมาก เราเลยถือโอกาสนี้ไปหาคนทรงเพื่อขอบคุณท่าน พอเดินเข้าไปในสำนักทรง มันเย็นยะเยือกมากค่ะ เย็นเหมือนอยู่ในถ้ำ คนทรงก็ยิ้มให้เราและพูด ในที่สุดก็เจอกันสักทีนะ รออยู่เลย เราก็ยิ้มตอบไป เขาก็ชวนเราคุยจิปาถะนะคะเรื่องราวที่เราเคยได้เห็นได้เจอมาเขาบอกว่าเราเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ ต่อต้านตลอดเวลาที่ตัวเองรับรู้อะไรๆก็จะคิดว่าบ้าแน่ คิดไปเองงั้นงี้ ซึ่งมันก็จริงนะคะ ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ เราก็หัวเราะและมองหน้าเขา เขาก็ยิ้มแล้วถามเราว่าอยากรู้ล่ะสิว่าตัวเองมีของดีคือใครคอยปกป้อง
คือคำถามนี้เราคิดในใจนะคะยังไม่ได้ถามเลย แต่เขากลับพูดดักหน้าเราก่อน เขาบอกว่าองค์ท่านก็มากับเรานะตอนนี้ ยืนข้างๆเราเลย แต่เราไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย 555 แปลกไหมคะ เขาบอกองค์ฝากเขามาบอกเราด้วยว่า “นิสัยมันดีนะคนนี้เสียอย่างเดียวมันห้าว ลดความห้าวลงหน่อย ตัวเองเป็นผู้หญิงมันไม่งาม” เรานี่เงิบค่ะ มันก็จริงอ่ะเราออกจะห้าวๆหน่อยๆ ชอบแว๊นมอไซด์ ไม่ค่อยเรียบร้อยเหมือน ผญ ทั่วไป พอพูดจบคนทรงก็หลับตา แล้วพูดอีกว่า ท่านชื่อเจ้านางจันทเทวี (ไม่รู้ว่าพิมพ์ถูกไหม) ท่านมาจากเชียงรุ้ง สิบสองปันนา ท่านอยู่ในวัยกลางคน ผิวขาว เคี้ยวหมาก อายุท่านพันกว่าปีแล้วได้ยินแบบนั้นก็ขนลุกเกรียวเลย เราก็ถามว่าจริงหรอคะ (ขอต่อในเม้นนะคะตัวหนังสือเกิน)
จากความฝันกลายเป็นจริงที่ติดตัวไปตลอดชีวิต
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและอย่าหลงงมงายจนเกินกว่าเหตุค่ะ ถ้าหากท่านไหนไม่เชื่อหรือคิดว่าเราแต่งเรื่องขึ้นมา เราก็ไม่ว่าอะไรนะคะ แต่ขอเพียงแค่ว่าอ่านเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อฆ่าเวลาไปก็ได้ เรื่องบางเรื่องไม่ลบหลู่จะดีกว่า บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองก็ไม่มีทางรู้ได้เนอะ มาค่ะ เข้าเรื่อง เกริ่นมากเสียเวลา เราจะขอเล่าเรื่องเป็นตอนนะคะ จะเริ่มตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเพื่อให้ทราบถึงที่มาของสิ่งเหล่านี้ ที่บอกว่าเรามีเซนต์ตั้งแต่เด็กแล้วนั้นมันยังไม่ค่อยแรงมากเท่าไหร่จะสามารถรับรู้ได้เพียง กลิ่น และเห็นวิญญาณในลักษณะเป็นเงาดำแค่นั้นค่ะ แต่เมื่อโตขึ้นมันก็แรงขึ้นตามลำดับอายุ ตอนนี้เราอายุ22 ตอนนี้ก็สัมผัสได้ในหลายๆอย่างบางทีเราก็ยังไม่เชื่อตัวเองและมีการต่อต้านด้วยซ้ำไป บางอย่างเราคิดว่าเรามโนภาพขึ้นมาเองแน่ๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่มันคือความจริง
ทุกอย่างคือความจริงที่เกิดขึ้นค่ะเซนต์เราแรงมากขึ้นนับตั้งแต่ปลายปี 59 หรือปีก่อนค่ะ เรื่องมันเกิดขึ้นจากความฝัน ฝันที่ทำให้เราตรึงใจจนถึงตอนนี้ก็ลืมไม่ลงเป็นฝันที่ชัดมากซะเหมือนจริงเลย และฝันนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ตามมาค่ะ คืนนั้นเราฝันถึงผู้หญิงวัยกลางคน คนหนึ่ง รูปร่างท้วม ผิวขาวเหลือง ท่าทางใจดี เข้ามาหาเราแล้วจูงมือเราให้เดินตามเขาไป เราก็เดินตามไปโดยไม่เอะใจหรือปฏิเสธเลย เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างทาง เราสังเกตเห็นสองข้างทางมืดสนิทชนิดที่ว่าเป็นสีดำดาร์กเลยทีเดียว แต่ทางเดินกลับสว่างไสวมาก เดินไปเรื่อยจนถึงจุดหมายปลายทางเป็นบ้านทรงไทยหลังเก่าๆ ตั้งอยู่หลังเดียว เขาก็พาเราเข้าไปในบ้าน แต่ข้างในกลับว่างเปล่าไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนอกจากเก้าอี้ไม้เก่าๆตัวนึงตรงกลางบ้าน เขาบอกให้เรานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ เราก็นั่งรอจนเขากลับมาอีกครั้งพร้อมมีดในมือ (ลักษณะมีดคล้ายกับมีดหมอผีค่ะ หากเคยเห็นนะ) เราก็มองที่มีดดูเก่าสนิมเขรอะมาก เราก็ถามว่าเอามีดมาทำไร
เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น จากนั้นก็เอามีดนั่นกรีดตรงระหว่างคิ้วเราแต่สูงกว่าคิ้วหน่อยนึงนะคะ กรีดลงมาเป็นเส้นตรง แต่เราไม่เจ็บไม่มีเลือดไหลเลย เราก็ถามอีกว่ากรีดเราทำไม เพื่ออะไร เขายิ้มให้แล้วบอกเราว่า “ท่านบอกให้มอบสิ่งนี้ให้กับเรา เขาก็แค่ทำตามคำสั่ง ทำให้แล้วนะ มีอยู่กับตัวก็รักษาไว้ให้ดี ต่อไปนี้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” เราก็ทำหน้างง คำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งท้ายให้เราคือ “ตาที่สาม” จากนั้นภาพทุกอย่างก็หายวับเลยค่ะ หลังจากความฝันนั้นเราก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะคะ ก็เห็นวิญญาณตามปกติ ขออธิบายว่าการเห็นวิญญาณของเราต้องขึ้นอยู่กับวิญาณเองค่ะว่าต้องการให้เราเห็นหรือไม่ เพราะถ้าหากเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ปรากฏเห็นเลย ถึงจะมีเซนต์แต่เราไม่เคยชินกับเรื่องแบบนี้บางทีก็กลัวนะแต่มันเลี่ยงไม่ได้ 55 จนกระทั่งเราได้มาสนิทกับเพื่อนในสาขาคนหนึ่งซึ่งคุยกันไปมากลายเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกันเฉยเลย และในความบังเอิญนั้นก็มีความบังเอิญอีกอย่างคือเพื่อนเราก็มีเซนต์เช่นกันค่ะ แต่นางจะแรงมาก แรงในด้านมืดอ่ะ นางเป็นสายดาร์กนะคะ ประมาณว่าคำพูดเป็นพิษ ถ้าหากพลั้งเผลอพูดอะไรออกไปเรื่องนั้นๆจะเกิดขึ้นทุกอย่าง (น่ากลัว)
แต่โชคดีที่นางเป็นคนใจบุญไม่คิดร้ายกับใคร แต่เราเป็นสายขาวค่ะ สายช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากจริงๆ ทำไมเรารู้สายตัวเอง เพราะว่าเรื่องต่อไปนี้แหละค่ะเป็นตัวบอกเราเอง พอดีเรามีโอกาสได้ช่วยเหลือเพื่อนในแกงค์อีกคนนึงประมาณเดือนตุลาคม ปี 59 เพื่อนคนนี้จะเป็นคนค่อนข้างขี้กลัวขี้ตกใจ ขวัญอ่อน คือรวมๆแล้วไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัวเลย เรากับเพื่อนเจอกันทุกวันเวลาไปเรียนก็ทักทายกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่แปลกไปคือสายตาของนางที่ดูเปลี่ยนไป เวลาคุยกับใครเราชอบมองลึกเข้าไปในตาของคนนั้น เราก็มองตานางนะ นางมองกลับมาแต่มันไม่ใช่สายตาเพื่อนเราที่รู้จักกันทุกวันอ่ะ แข็งกร้าวมาก มองเราตาขวางเลย เราก็คิดในใจว่าเพื่อนโกรธไรเราป่าววะ เลยถามออกไปว่าเป็นไรป่าว โกรธไรหรือป่าว นางก็บอกไม่ได้เป็นไรไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกไม่สบายตัวเลยอึดอัดตลอดเลยช่วงนี้ยิ่งเวลาอยู่คนเดียวเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง เราก็คิดละว่าเพื่อนต้องเจออะไรแปลกๆแน่เลย เย็นวันนั้นพวกเราในแก๊งค์ก็ชวนกันไปกินหมูกระทะ
ร้านที่ไปจะอยู่ติดกับถนนใหญ่และมีต้นไม้ใหญ่หน้าร้าน กินกันเฮฮาผ่านไปสักพัก ไอ้เพื่อนคนที่สายตาเปลี่ยนอ่ะ จู่ๆนางก็ลุกขึ้นและเดินออกร้านไป เดินไปอยู่ที่ต้นไม้หน้าร้าน พวกเราทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง งง กันถามกันไปมาว่านางเป็นไรๆ เราก็มองออกไปเห็นนางกำลังคุยกับใครอยู่ แต่โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอาติดไปด้วยจะคุยกับใครล่ะ เราไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นกับนางเลยนะคะ มืดหมด เพื่อนสายดาร์กก็สะกิดถามเราว่ามองไรวะ เห็นอะไรหรอ เราก็ว่าเปล่าไม่มี เราคิดในใจว่าเพื่อนคนนั้นต้องเจออะไรจริงๆแหง ตอนกำลังคิดแบบนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเรา “ลมเพลมพัด” แต่เราก็พูดออกมาถามเพื่อนคนอื่นๆว่า ห๊ะ? พูดไรนะเมื่อกี้ ทุกคนมองมาที่เราทำหน้าสงสัยกันหมด เพราะไม่มีใครพูดคำนี้ออกมาเลย แล้วเสียงที่เราได้ยินมาจากไหน สักพักก็ดังมาอีกบอกว่า “ก็บอกว่ามันเป็นลมเพลมพัด บอกอะไรไปรู้จักฟังบ้าง หัดมีสมาธิหน่อย” เสียงนี้ดังมากเราเลยหยุดทุกการกระทำแล้วทำหน้านิ่งน้ำตาคลอเบ้าเลย เพื่อนทุกคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเราคงรับรู้อะไรแน่ๆ เพื่อนๆรู้ค่ะว่าเรามีเซนต์และพากันกลัวแต่ก็ชอบให้เราเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง(แปลกคน) เราก็พูดคำนั้นออกมาเลยว่า มันเป็นลมเพลมพัด เพื่อนก็ยิ่งฉงนเข้าไปอีก เราก็ไม่รู้หรอกว่าลมเพลมพัดความหมายคืออะไร แต่ก็บอกพวกนางไปแบบนั้น แล้วเพื่อนคนที่ไปอยู่ตรงต้นไม้ก็เดินกลับเข้ามาพร้อมร้องไห้ใหญ่เลย เราทุกคนตกใจหมด ถามนางเยอะมากแต่ก็ไม่มีคำตอบ การกินหมูทะเลยกร่อย สุดท้ายแยกย้ายกันกลับหอค่ะ
ถึงหอเราก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จทุกอย่างกะจะเข้านอนแต่ก็นึกถึงเพื่อนคนที่สายตาเปลี่ยน เลยทักไลน์ไปถามนางว่าเป็นไร ทำไมถึงเดินไปคุยกับใครที่ต้นไม้ นางบอกว่าเหมือนมีคนเรียกไปตรงนั้นเลยเดินไป แล้วก็ไม่ได้คุยกับใครนะ เราเลยอ้าวไหงงั้นอ่ะ คุยไปคุยมาเราง่วงเลยขอตัวนอนเราก็ไหว้พระสวดมนต์ตามปกติก่อนนอน พอกำลังจะเดินไปปิดไฟภาพห้องของเพื่อนที่พึ่งคุยไลน์ไปอ่ะ ปรากฏให้เราเห็น เราตกใจมากค่ะทำไมถึงเห็นภาพแบบนี้ได้ไง (ภาพที่เห็นจะเหมือนในละครตอนที่ตัวละครคิดย้อนไปในอดีตอ่ะ มันจะขึ้นมาแบบนั้น) ภาพที่เราเห็นจะเรียกว่าในนิมิตก็คงไม่ผิดมั้งคะ เป็นภาพเพื่อนนอนบนเตียงแล้วก็เห็นตรงประตูหลังห้องเพื่อนไม่ได้ปิด ข้างนอกมืดมากและรับรู้ถึงกระแสบางอย่างน่ากลัวอยู่นอกประตู เรารีบทักไลน์ไปหานางบอกให้รีบไปปิดประตูหลังห้องนะ มันหลอนๆ นางตอบกลับมาแบบตกใจว่า “เห้ย! รู้ได้ไงว่าประตูหลังห้องไม่ได้ปิด เนี่ยกำลังจะเดินไปปิดพอดีเลย ขนลุกว่ะ” เราก็ไม่พูดไรก็บอกนางนอน
เราก็นอนสักพักภาพขึ้นมาให้เราเห็นอีกค่ะ ห้องเพื่อนเหมือนเดิมแต่ที่เห็นคือนางนอนหลับ แล้วมีผู้หญิงยืนข้างเตียงนางอ่ะ แต่เราว่าสวยมากนะเห็นแค่ครึ่งเสี้ยวหน้า ใส่ชุดไทยสีเขียวมรกตมีสไบหลังพลิ้วเลย ผมยาวดำ ผิวขาว ยืนจ้องนางนอนหลับ เราตกใจกลัวแต่ก็ไม่ทักไปบอกเพื่อนนะ วันถัดมาก็เข้าไปคุยกับเพื่อน นางก็บอกเราว่าเมื่อคืนเหมือนโดนผีอำเลย นอนขยับไม่ได้หายใจไม่ออก สวดมนต์แล้วแต่ก็ไม่ได้ผล และถูกดึงผ้าห่มด้วย เราก็แค่ยิ้มให้นาง เรารู้สึกกังวลนะแต่ก็ไม่อยากบอกเพื่อนว่าเราเห็นอะไร เราเห็นภาพและได้ยินเสียงพวกนี้เรื่อยๆถี่ขึ้น ช่วงนั้นเราเหมือนคนบ้า เห็นเองกลัวเอง ได้ยินเองหลอนเอง เราก็คอยช่วยเหลือเพื่อนตลอดนะคะ ชวนนางไปทำบุญบ่อยมาก เพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย จนเราได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นในหัวเรา “อย่าเผือก! ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของตู! เมิงอยากลองดีนักใช่ไหม!” พอได้ยินแบบนี้เป็นใครก็กลัว ไม่ได้มีวิชาคาถาอาคมอะไรเลย แล้วเราจะป้องกันตัวเองยังไง เราเลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนที่โดนเล่นงานฟังนางก็ร้องไห้ แล้วก็ปรึกษากับครอบครัว บอกกลัวต่างๆนานา ทางครอบครัวนางจึงไปปรึกษากับคนทรงที่ทางนั้นนับถือกันค่ะ (คนทรงเป็นผู้หญิง เขาเป็นร่างอวตารของเจ้าแม่กาลีค่ะ) คนทรงทักเพื่อนเราเหมือนที่เราคอยบอกนางตลอดเลย นางมาเล่าให้เราฟังอีกทีค่ะ
คนทรงบอกว่าก็ไม่แปลกนะที่เราจะรับรู้เรื่องพวกนี้ได้เพราะเรามีของดี และเขาก็อยากเจอเราถ้ามีโอกาส (ขออธิบายนะคะว่าตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าเรามีองค์ เราไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี รู้แค่ว่าตัวเองมีเซนต์แค่นั้นค่ะ) คนทรงยังบอกอีกว่าให้เราระวังตัวด้วยเพราะเราเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา(ผีตนนั้น) มากไปทำให้เขาไม่พอใจและแค้น เคสที่เพื่อนเราเจอก็คือ เพื่อนเราโดนผีตายโหงทักค่ะ ผีตนนั้นอยู่ตรงทางแยกไฟแดงสร้างใหม่หน้ามหาลัยเราพอดี ตายมาหลายปีแล้วตั้งแต่ปี 53 ตั้งแต่ ม ของเรายังไม่ได้สร้างสะพานลอย เขาตายเพราะถูกรถชนและอยู่ตรงนั้นเรื่อยมา ที่เขาทักเพื่อนเราได้นั้นมันเป็นช่วงประจวบเหมาะกับการที่นางไม่ค่อยมีสติ ขวัญอ่อนเลยฉกฉวยโอกาสนั้น ผีตนนั้นเขาหิวมาก ไม่มีใครทำบุญให้เขาอีกอย่างคือไม่ทักธรรมดา แต่เกาะเพื่อนเราไปไหนมาไหนตลอดเพื่อต้องการดูดกินวิญญาณ เราถึงรับรู้ได้ว่าสายตานั้นไม่ใช่ของเพื่อนเรา แต่เรามองไม่เห็นผีตนนั้นนะ เขาบังตาเรา คนทรงบอกถ้าเพื่อนมาปรึกษาช้ากว่านี้อาจจะสายไปเพราะถึงแก่ชีวิตกันเลยทีเดียว ผีนั่นต้องการถึงชีวิตอ่ะเพราะหิวโหยและจะเอาเพื่อนเราไปแทนที่ตัวเองและคนทรงฝากเพื่อนมาบอกเราด้วยว่าอย่าผ่านทางนั้นเพราะเขาก็ตามหาเรา แต่เขาหาไม่เจอเขามองไม่เห็นเรา เพราะของดีเราคุ้มเราตลอด แต่เราก็กลัวอยู่ดี เราเลยเลี่ยงๆ
เพื่อความสบายใจของเราและเพื่อน คนทรงจึงปลุกเสกสายสิญจน์ผูกข้อมือ (แบบฉบับทางเหนือ) และน้ำมนต์ มาให้พวกเราสองคน เราเอาสายสิญจน์ผูกติดกับสร้อยพระเราเลยค่ะ และจะใส่ทุกครั้งเวลาเดินทางไปไหนเพื่อความสบายใจ (มีรูปสายสิญจน์ให้ดูอยู่ด้านบนนะคะ) หลังจากทางครอบครัวเพื่อนทำพิธีอุทิศอาหารไปตามที่ผีตนนั้นร้องขอ (เขาอยากกินกะเพราไข่ดาว) เพื่อนเราก็ดีขึ้นนะคะ กลับมาเป็นคนเดิม เพิ่มเติมคือเหมือนแผงพระเครื่องเคลื่อนที่อ่ะ 555 ห้อยพระเยอะมาก เราเลยถือโอกาสนี้ไปหาคนทรงเพื่อขอบคุณท่าน พอเดินเข้าไปในสำนักทรง มันเย็นยะเยือกมากค่ะ เย็นเหมือนอยู่ในถ้ำ คนทรงก็ยิ้มให้เราและพูด ในที่สุดก็เจอกันสักทีนะ รออยู่เลย เราก็ยิ้มตอบไป เขาก็ชวนเราคุยจิปาถะนะคะเรื่องราวที่เราเคยได้เห็นได้เจอมาเขาบอกว่าเราเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ ต่อต้านตลอดเวลาที่ตัวเองรับรู้อะไรๆก็จะคิดว่าบ้าแน่ คิดไปเองงั้นงี้ ซึ่งมันก็จริงนะคะ ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ เราก็หัวเราะและมองหน้าเขา เขาก็ยิ้มแล้วถามเราว่าอยากรู้ล่ะสิว่าตัวเองมีของดีคือใครคอยปกป้อง
คือคำถามนี้เราคิดในใจนะคะยังไม่ได้ถามเลย แต่เขากลับพูดดักหน้าเราก่อน เขาบอกว่าองค์ท่านก็มากับเรานะตอนนี้ ยืนข้างๆเราเลย แต่เราไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย 555 แปลกไหมคะ เขาบอกองค์ฝากเขามาบอกเราด้วยว่า “นิสัยมันดีนะคนนี้เสียอย่างเดียวมันห้าว ลดความห้าวลงหน่อย ตัวเองเป็นผู้หญิงมันไม่งาม” เรานี่เงิบค่ะ มันก็จริงอ่ะเราออกจะห้าวๆหน่อยๆ ชอบแว๊นมอไซด์ ไม่ค่อยเรียบร้อยเหมือน ผญ ทั่วไป พอพูดจบคนทรงก็หลับตา แล้วพูดอีกว่า ท่านชื่อเจ้านางจันทเทวี (ไม่รู้ว่าพิมพ์ถูกไหม) ท่านมาจากเชียงรุ้ง สิบสองปันนา ท่านอยู่ในวัยกลางคน ผิวขาว เคี้ยวหมาก อายุท่านพันกว่าปีแล้วได้ยินแบบนั้นก็ขนลุกเกรียวเลย เราก็ถามว่าจริงหรอคะ (ขอต่อในเม้นนะคะตัวหนังสือเกิน)