สวัสดีทุกคน... สวัสดีกระทู้แรกในชีวิต และสวัสดีภาคใต้ของประเทศไทย...
ก่อนอื่นขอแนะนำก่อนเลยนะคะ นี่คือกระทู้แรกของเรา... เชื่อว่าทุกคนคงชอบท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆและเราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
“สุราษฎร์ธานี” คือ หนึ่งในสมาชิกของจังหวัดในภาคใต้ของประเทศไทย (ซึ่งก่อนหน้านั้นใต้สุดในชีวิตของเราในการท่องเที่ยวตั้งแต่เกิดมาเลยก็คือ หัวหิน จังหวัดประจวบฯ บ้านนอกมะ?) และในการไปสุราษฎร์ฯครั้งนี้ จุดหมายปลายทางของเราคือ แพคีรีวาริน เขื่อนเชี่ยวหลาน พวกเราได้ซื้อแพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน มาจากงานไทยเที่ยวไทยที่ศูนย์สิริกิตย์ ตั้งแต่ กันยายน 2559!! เดินทางจริง 20-22 พฤษภาคม 2560 (นานเว่อร์ !!)
เนื่องจากทริปนี้ไปกัน 5 คน ระยะเวลาการจองกับการเดินทางจึงห่างเหินเนิ่นนานเช่นนี้แล กว่าจะว่างพร้อมกันทุกคน คุณพระ! จริงๆผู้ร่วมทริปเยอะกว่านี้อีกด้วยซ้ำ (ยิ่งไปหลายคนยิ่งถูกลงเด้อ...) แต่ด้วยภาระและหน้าที่ของแต่ละคนนั้น 5 คนก็ได้...
NOTE: กระทู้นี้ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆทั้งสิ้น เงินเราเองล้วนๆ แลกมากับประสบการณ์ที่ได้ไปเจอ ความสุข และสิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ยอมค่ะ ^^ ไม่ไปก็ไม่รู้เนอะ ว่ามะ...
:: ค่าใช้จ่าย 3 วัน 2 คืน (ต่อคน) ::
การเดินทาง (ไป-กลับ): 1474 บาท
ครั้งนี้เราเดินทางด้วย สายการบิน Thaismile เที่ยวบินที่ WE-251 จากสนามบินสุวรรณภูมิ 08.15 ไปถึงสนามบินสุราษฏ์ธานี เวลา 09.30 เร็วกว่าเดินทางจากบ้านไปทำงานอีกกกกก เนื่องจากสายการบิน Thaismile เป็นสายการบิน full service มีอาหารและเครื่องดื่มบริการตลอดการเดินทาง และได้น้ำหนักกระเป๋าถึง 20 กิโลกรัมต่อคน รวมกัน 5คน ก็ 100โล แต่ๆๆ จะให้แบกไปอะไรเยอะแยะมากมายมันก็ไม่ใช่เนอะ เสียดายน้ำหนักกระเป๋าที่ได้มากกก...
เมื่อถึงสนามบินสุราษฎร์ฯ เราก็รีบโทรหาคุณลุงคนขับรถตู้ที่จะมารับเราทันที กลัวลุงไม่มาแล้วจะเด๋ออยู่ที่สนามบิน รีบโทรอย่างไว...(จริงๆแล้วลุงมาถึงสนามบินนานแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่ลงเครื่องเล้ยยย) ยังพอมีเวลาเหลือก่อนถึงเวลาที่จะลงเรือ (ทุกคนเริ่มจะโมโหหิว แซนวิซบนเครื่องบินย่อยสลายไปกับแรงโน้มถ่วงโลกและ เกี่ยวป่ะ?) พวกเราจึงให้คุณลุงพาแวะทานข้าวที่ร้านข้าวราดแกงร้านหนึ่ง จำชื่อไม่ได้จริงๆ เพราะเราง่วงอยู่... ด้วยความหิวรูปถ่ายจากร้านนี้จึงไม่มี
ปล. คุณลุงคนขับรถใจดีมากกกก ตอนแรกนึกว่าจะดุๆ เพราะแกไม่ค่อยพูด (เนี่ยแหละๆ คนเรามักมองคนที่ภายนอก)
จากนั้นไม่นานก็มาถึงท่าเรือ ทุกคนก็จัดแจงซื้อน้ำดื่มและเสบียงประดุจจะต้องหลบไปอยู่ในดวงจันทร์ที่ไม่มีของกินอีกต่อไป โดยเฉพาะเก็กฮวยฟองนี่จัดหนักกกจัดเต็มกลัวที่แพจะไม่มีขายและแพง บลาๆๆ กลัวกับข้าวไม่อร่อยบ้าง (เรื่องนี้สำคัญ เพราะพวกเราเคยไปนอนแพที่กาญฯ แล้วอาหารไม่อร่อยเลยยยยย) ทุกคนเลยเข็ด มามงมาม่า ทุกอย่างที่ช่วยประทังชีวิต ทุกคนจัดมาเต็ม!
ระหว่างทางจากท่าเรือไปยังแพที่พัก ความงามของธรรมชาติ สวยงามมากจริงๆ จะให้อธิบายมันก็อธิบายยากนะ มันต้องไปเห็นและสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจได้ว่า นี่แหละธรรมชาติ เนี่ยแหละความสวยงามของ “ธรรมชาติ” ที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ
(ของจริงสวยกว่ารูปที่เราถ่ายมาเยอะ!)
เรือโดยสารที่รับส่งนักท่องเที่ยวจากท่าเรือไปยังแพที่พักต่างๆ
เขาสามเกลอ ภูเขาสามลูกติดกันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ค่าที่พัก: 4700 บาท
อันนี้จะรวมถึง...
- รถตู้มารับ-ส่ง สนามบินไปยังท่าเรือ และวันกลับท่าเรือ สนามบิน
- อาหาร 6 มื้อ ( เที่ยงวันของวันที่ไปถึง, เย็น / เช้า, เที่ยง, เย็น / เช้า)
- ค่าธรรมเนียมอุทยาน
- เรือโดยสารจากท่าเรือ ไปยังแพคีรีวาริน
- ค่าประกันภัย
มาถึงแล้ววววว ที่พักของแพคีรีวาริน แพที่นี่จะอยู่ค่อนข้างลึก จึงทำให้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใดๆทั้งสิ้น ย้ำว่าไม่มีเลยยย!!! ถึงแม้จะไม่ค่อยชินในช่วงแรกๆที่มาถึง เพราะอยากจะเช็คอินอวดความสวยงามมของธรรมชาติให้ชาวโลก social ได้รับรู้ แต่การที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มันก็เป็นประโยชน์ให้กับเราอีกอย่างนึงนะ มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง หนีจากความวุ่นวายต่างๆ พักใจ พักสมอง สูดความเป็นธรรมชาติได้อย่างฉ่ำปอด (แต่อย่าลืมโทรฯบอกคนที่บ้านก่อนนะ เดี๋ยวเค้าเป็นห่วง 555 ขอแอบเม้าท์บ้านข้างๆ เขามาเที่ยวกันเหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ลืมบอกที่บ้าน พวกนางต้องพายเรือกันไปเป็นกิโลๆตามหาสัญญาณโทรฯ เพื่อโทรกลับไปบอกคนที่บ้าน เรานี่เหนื่อยแทนเลย...)
ในส่วนของบ้านพัก ที่นี่จะเป็นบ้านพักแบบเป็นหลังๆ แต่ละหลังจะแบ่งออกเป็นสองชั้น บนและล่าง มีห้องน้ำสองห้องแยกกัน ชั้นล่างห้องน้ำจะอยู่ด้านใน และชั้นบนห้องน้ำจะอยู่ด้านล่างด้านนอก งงป่ะ งงดิ เราเขียนเองงก็งงเอง เอาเป็นว่าตามนี้แหละอย่า งง!
อื่นๆ:
- ค่ามื้ออาหารระหว่างการเดินทาง ค่าเครื่องดื่ม ฯลฯ
*อันนี้เราเก็บเป็นกองกลางคนละ 1000 บาท*
***อย่าลืม! เผื่อเงินสำหรับมัดจำอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ ที่อยู่ในแพกันไปด้วยนะ เช่น ค่ามัดจำชูชีพเอยย, ค่ามัดจำเรือคายัคเอยยย ไม้พายเอยยย บลาๆๆ เพราะตอนที่เราไปก็ ก็กะว่าเอาเงินไปแต่พอดีสำหรับจ่ายส่วนที่เหลือจากการโอนมัดจำเท่านั้น บวกกับเงินกองกลางอีกนิดหน่อย แต่ๆๆเราไม่รู้ว่ามันมีค่ามัดจำต่างๆด้วย (ในส่วนมัดจำนี้ได้คืนตอนเช็คเอ้าท์นะ) เงินเกือบไม่พอ สำหรับค่าเครื่องดื่มที่จำเป็น ฮ่า... อันนี้สำคัญ
ต้นไม้กลางน้ำ พระเอกสุดหล่อ ของ แพคีรีวาริน >> อีกหนึ่งไฮไลท์ของแพนี้เลย แดดร่มลมตก พวกเรานำเครื่องดื่มที่เราโปรดปราณ ลงเรือคายัคของเราพายไป...พายไป ที่ต้นไม้กลางน้ำนี้ นั่งหย่อนขาลงน้ำ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ปล่อยใจไปกับสายลมเอื่อยๆและความเงียบสงบของน้ำ เม้าท์มอยกับเพื่อนที่รู้ใจ โอ้ยยยยย มันดีต่อใจมากจริงๆ
มาถึงเรื่องอาหารของที่นี่ ที่พวกเราประทับกันมากกกกกๆๆ อาหารอร่อยๆๆ อร่อยมากจริงๆ อร่อยทุกอย่าง อร่อยจนพวกเราฝากให้พนักงานไปบอกกับพ่อครัวว่าอาหารอร่อยมากก และที่สำคัญสามารถเติมได้ตลอด พนักงานที่นี่ก็ใจดี เห็นอาหารหมดก็จะเดินมาถาม เติมอีกไหมครับ? พวกเราเติมกันไปสามสี่รอบ น้ำพริกกะปินี่เด็ดสุด เติมแล้วเติมอีกกกกก ในส่วนของมื้อเช้านั้นจะเป็นบุพเฟ่ต์ค่ะ เหมือนที่อื่นทั่วๆไปไม่ได้โดนเด่นมากเท่าไหร่ แต่มื้อกลางวัน และมื้อเย็นนี่ โอ้ยยยยยย... อิ่มจนพุงจะแตกก็ยังอยากจะขอเพิ่มอีก :p
ปลาทอดกระเทียม เนื้อปลาสดมากก และ น้ำพริกกะปิ เด็ดดวงสุดๆ :p
วิวจากโซนทานอาหาร ฟินนนน…นะ
ในแพ็คเกจของพวกเราก็จะมีการพาเที่ยวในบริเวณเขื่อน พวกเราเลือกที่จะไปดูหมอกในยามเช้า และไปเที่ยวน้ำตกบางหอยค่ะ ถึงแม่ว่าทางแพจะบอกเราแล้วว่า น้ำอาจจะน้อยนะคะในช่วงที่เราไป แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ไปค่ะ ยังไงก็ไป...
น้ำน้อย แต่เดินขึ้นไปตามทางน้ำไหล สนุก...ไปอีกแบบค่ะ ขึ้นได้ด้านบนก็พอจะมีน้ำให้แช่เล่นบ้าง แต่ถ้าหน้าน้ำเยอะ คงจะมันกว่านี้ ^^
หมอกยามเช้า วิวหลักล้าน จากที่พัก
สรุป::
เราประทับใจกับทริปนี้มากๆๆ เพราะเราสามารถได้หยุดอยู่กับธรรมชาติจริงๆ สามวันมีแต่เล่นน้ำกินนอน เม้าท์มอย สิงอยู่กับธรรามชาติ นอกเหนือจากนั้นคือ มิตรภาพจากคนที่แพคีรีวาริน ก็เป็นกันเองและบริการดีมากจริงๆค่ะ ยิ้มแย้มแจ่มใส อาหารก็อร่อย ทุกคนดูขยันทำงานมาก ประทับใจ... อยู่ที่นี่ มือถือนี่สามวันไม่ต้องชาร์ตแบตเลยจ้า (ตอนกลับถึงฝั่งนะ รับรู้ได้ถึงโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ข้อความไลน์ของแต่ละคนเด้งรัวๆ สายที่โทรเข้ามาของแต่ละคนบนเรือที่โดยสารกลับไปด้วยอีกนับไม่ถ้วน, คนนั้นงานมีปัญหาเจ้านายตาม, ลูกน้องโทรมารายงานปัญหา บลาๆๆ โอ๊ยยย เนี่ยแหละชีวิตจริง!
ขากลับเราขอให้คุณลุงพาออกนอกเส้นทางเพื่อแวะเที่ยวตามจุดต่างๆ เพราะขากลับพวกเราเลือกที่จะบินกลับตอนมืดๆหน่อย คุณลุงก็จัดเลยค่ะพาพวกเราไปเที่ยวสันเขื่อน และ สะพานแขวนเขารูปหัวใจ
สันเขื่อนรัชชประภา แดดร้อนสุดๆไปเล้ยยย
สะพานแขวนเขารูปหัวใจ เขียวๆๆแบบนี้ สดชื่นจริงๆๆ
หลังจากนนั้นพวกเราก็ให้คุณลุงไปส่งที่ในเมืองแทน แถวๆศาลหลักเมืองค่ะ เพราะเวลาเรายังเหลืออีกเยอะมาก เราก็เดินเล่น หาร้านดังร้านอร่อยตามอากู๋แนะนำ
ผักบุ้งไต่ลาว และ โล่งโต้ง ชื่อแปลกไปอีกกก เคยกินครั้งแรก ติดใจ ^^
สุดท้าย... ขอให้ “แพคีรีวาริน”รักษาคุณภาพ และการบริการที่เอาใจใส่ลูกค้า เหมือนดั่งญาติตัวเองแบบนี้
ให้เป็นมาตราฐานและดียิ่งๆขึ้นไปนะคะ ถ้ามีโอกาสแล้วจะกลับไปอีกค่ะ...
ลากันไปด้วยภาพนี้ละกัน ภาพที่ชอบมากที่สุดในทริปนี้
[CR] เพราะชอบใจ...เลยมารีวิว “แพคีรีวาริน เขื่อนเชี่ยวหลาน”
“สุราษฎร์ธานี” คือ หนึ่งในสมาชิกของจังหวัดในภาคใต้ของประเทศไทย (ซึ่งก่อนหน้านั้นใต้สุดในชีวิตของเราในการท่องเที่ยวตั้งแต่เกิดมาเลยก็คือ หัวหิน จังหวัดประจวบฯ บ้านนอกมะ?) และในการไปสุราษฎร์ฯครั้งนี้ จุดหมายปลายทางของเราคือ แพคีรีวาริน เขื่อนเชี่ยวหลาน พวกเราได้ซื้อแพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน มาจากงานไทยเที่ยวไทยที่ศูนย์สิริกิตย์ ตั้งแต่ กันยายน 2559!! เดินทางจริง 20-22 พฤษภาคม 2560 (นานเว่อร์ !!)
เนื่องจากทริปนี้ไปกัน 5 คน ระยะเวลาการจองกับการเดินทางจึงห่างเหินเนิ่นนานเช่นนี้แล กว่าจะว่างพร้อมกันทุกคน คุณพระ! จริงๆผู้ร่วมทริปเยอะกว่านี้อีกด้วยซ้ำ (ยิ่งไปหลายคนยิ่งถูกลงเด้อ...) แต่ด้วยภาระและหน้าที่ของแต่ละคนนั้น 5 คนก็ได้...
NOTE: กระทู้นี้ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆทั้งสิ้น เงินเราเองล้วนๆ แลกมากับประสบการณ์ที่ได้ไปเจอ ความสุข และสิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ยอมค่ะ ^^ ไม่ไปก็ไม่รู้เนอะ ว่ามะ...
:: ค่าใช้จ่าย 3 วัน 2 คืน (ต่อคน) ::
การเดินทาง (ไป-กลับ): 1474 บาท
ครั้งนี้เราเดินทางด้วย สายการบิน Thaismile เที่ยวบินที่ WE-251 จากสนามบินสุวรรณภูมิ 08.15 ไปถึงสนามบินสุราษฏ์ธานี เวลา 09.30 เร็วกว่าเดินทางจากบ้านไปทำงานอีกกกกก เนื่องจากสายการบิน Thaismile เป็นสายการบิน full service มีอาหารและเครื่องดื่มบริการตลอดการเดินทาง และได้น้ำหนักกระเป๋าถึง 20 กิโลกรัมต่อคน รวมกัน 5คน ก็ 100โล แต่ๆๆ จะให้แบกไปอะไรเยอะแยะมากมายมันก็ไม่ใช่เนอะ เสียดายน้ำหนักกระเป๋าที่ได้มากกก...
เมื่อถึงสนามบินสุราษฎร์ฯ เราก็รีบโทรหาคุณลุงคนขับรถตู้ที่จะมารับเราทันที กลัวลุงไม่มาแล้วจะเด๋ออยู่ที่สนามบิน รีบโทรอย่างไว...(จริงๆแล้วลุงมาถึงสนามบินนานแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่ลงเครื่องเล้ยยย) ยังพอมีเวลาเหลือก่อนถึงเวลาที่จะลงเรือ (ทุกคนเริ่มจะโมโหหิว แซนวิซบนเครื่องบินย่อยสลายไปกับแรงโน้มถ่วงโลกและ เกี่ยวป่ะ?) พวกเราจึงให้คุณลุงพาแวะทานข้าวที่ร้านข้าวราดแกงร้านหนึ่ง จำชื่อไม่ได้จริงๆ เพราะเราง่วงอยู่... ด้วยความหิวรูปถ่ายจากร้านนี้จึงไม่มี ปล. คุณลุงคนขับรถใจดีมากกกก ตอนแรกนึกว่าจะดุๆ เพราะแกไม่ค่อยพูด (เนี่ยแหละๆ คนเรามักมองคนที่ภายนอก)
จากนั้นไม่นานก็มาถึงท่าเรือ ทุกคนก็จัดแจงซื้อน้ำดื่มและเสบียงประดุจจะต้องหลบไปอยู่ในดวงจันทร์ที่ไม่มีของกินอีกต่อไป โดยเฉพาะเก็กฮวยฟองนี่จัดหนักกกจัดเต็มกลัวที่แพจะไม่มีขายและแพง บลาๆๆ กลัวกับข้าวไม่อร่อยบ้าง (เรื่องนี้สำคัญ เพราะพวกเราเคยไปนอนแพที่กาญฯ แล้วอาหารไม่อร่อยเลยยยยย) ทุกคนเลยเข็ด มามงมาม่า ทุกอย่างที่ช่วยประทังชีวิต ทุกคนจัดมาเต็ม!
(ของจริงสวยกว่ารูปที่เราถ่ายมาเยอะ!)
ค่าที่พัก: 4700 บาท
อันนี้จะรวมถึง...
- รถตู้มารับ-ส่ง สนามบินไปยังท่าเรือ และวันกลับท่าเรือ สนามบิน
- อาหาร 6 มื้อ ( เที่ยงวันของวันที่ไปถึง, เย็น / เช้า, เที่ยง, เย็น / เช้า)
- ค่าธรรมเนียมอุทยาน
- เรือโดยสารจากท่าเรือ ไปยังแพคีรีวาริน
- ค่าประกันภัย
มาถึงแล้ววววว ที่พักของแพคีรีวาริน แพที่นี่จะอยู่ค่อนข้างลึก จึงทำให้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใดๆทั้งสิ้น ย้ำว่าไม่มีเลยยย!!! ถึงแม้จะไม่ค่อยชินในช่วงแรกๆที่มาถึง เพราะอยากจะเช็คอินอวดความสวยงามมของธรรมชาติให้ชาวโลก social ได้รับรู้ แต่การที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มันก็เป็นประโยชน์ให้กับเราอีกอย่างนึงนะ มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง หนีจากความวุ่นวายต่างๆ พักใจ พักสมอง สูดความเป็นธรรมชาติได้อย่างฉ่ำปอด (แต่อย่าลืมโทรฯบอกคนที่บ้านก่อนนะ เดี๋ยวเค้าเป็นห่วง 555 ขอแอบเม้าท์บ้านข้างๆ เขามาเที่ยวกันเหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ลืมบอกที่บ้าน พวกนางต้องพายเรือกันไปเป็นกิโลๆตามหาสัญญาณโทรฯ เพื่อโทรกลับไปบอกคนที่บ้าน เรานี่เหนื่อยแทนเลย...)
ในส่วนของบ้านพัก ที่นี่จะเป็นบ้านพักแบบเป็นหลังๆ แต่ละหลังจะแบ่งออกเป็นสองชั้น บนและล่าง มีห้องน้ำสองห้องแยกกัน ชั้นล่างห้องน้ำจะอยู่ด้านใน และชั้นบนห้องน้ำจะอยู่ด้านล่างด้านนอก งงป่ะ งงดิ เราเขียนเองงก็งงเอง เอาเป็นว่าตามนี้แหละอย่า งง!
อื่นๆ:
- ค่ามื้ออาหารระหว่างการเดินทาง ค่าเครื่องดื่ม ฯลฯ
*อันนี้เราเก็บเป็นกองกลางคนละ 1000 บาท*
***อย่าลืม! เผื่อเงินสำหรับมัดจำอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ ที่อยู่ในแพกันไปด้วยนะ เช่น ค่ามัดจำชูชีพเอยย, ค่ามัดจำเรือคายัคเอยยย ไม้พายเอยยย บลาๆๆ เพราะตอนที่เราไปก็ ก็กะว่าเอาเงินไปแต่พอดีสำหรับจ่ายส่วนที่เหลือจากการโอนมัดจำเท่านั้น บวกกับเงินกองกลางอีกนิดหน่อย แต่ๆๆเราไม่รู้ว่ามันมีค่ามัดจำต่างๆด้วย (ในส่วนมัดจำนี้ได้คืนตอนเช็คเอ้าท์นะ) เงินเกือบไม่พอ สำหรับค่าเครื่องดื่มที่จำเป็น ฮ่า... อันนี้สำคัญ
มาถึงเรื่องอาหารของที่นี่ ที่พวกเราประทับกันมากกกกกๆๆ อาหารอร่อยๆๆ อร่อยมากจริงๆ อร่อยทุกอย่าง อร่อยจนพวกเราฝากให้พนักงานไปบอกกับพ่อครัวว่าอาหารอร่อยมากก และที่สำคัญสามารถเติมได้ตลอด พนักงานที่นี่ก็ใจดี เห็นอาหารหมดก็จะเดินมาถาม เติมอีกไหมครับ? พวกเราเติมกันไปสามสี่รอบ น้ำพริกกะปินี่เด็ดสุด เติมแล้วเติมอีกกกกก ในส่วนของมื้อเช้านั้นจะเป็นบุพเฟ่ต์ค่ะ เหมือนที่อื่นทั่วๆไปไม่ได้โดนเด่นมากเท่าไหร่ แต่มื้อกลางวัน และมื้อเย็นนี่ โอ้ยยยยยย... อิ่มจนพุงจะแตกก็ยังอยากจะขอเพิ่มอีก :p
ในแพ็คเกจของพวกเราก็จะมีการพาเที่ยวในบริเวณเขื่อน พวกเราเลือกที่จะไปดูหมอกในยามเช้า และไปเที่ยวน้ำตกบางหอยค่ะ ถึงแม่ว่าทางแพจะบอกเราแล้วว่า น้ำอาจจะน้อยนะคะในช่วงที่เราไป แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ไปค่ะ ยังไงก็ไป...
สรุป::
ขากลับเราขอให้คุณลุงพาออกนอกเส้นทางเพื่อแวะเที่ยวตามจุดต่างๆ เพราะขากลับพวกเราเลือกที่จะบินกลับตอนมืดๆหน่อย คุณลุงก็จัดเลยค่ะพาพวกเราไปเที่ยวสันเขื่อน และ สะพานแขวนเขารูปหัวใจ
หลังจากนนั้นพวกเราก็ให้คุณลุงไปส่งที่ในเมืองแทน แถวๆศาลหลักเมืองค่ะ เพราะเวลาเรายังเหลืออีกเยอะมาก เราก็เดินเล่น หาร้านดังร้านอร่อยตามอากู๋แนะนำ
ให้เป็นมาตราฐานและดียิ่งๆขึ้นไปนะคะ ถ้ามีโอกาสแล้วจะกลับไปอีกค่ะ...
ลากันไปด้วยภาพนี้ละกัน ภาพที่ชอบมากที่สุดในทริปนี้