เพราะรักมันเล่นกล

เพราะรักมันเล่นกล


ตลอดสิบปีของการทำงานในบริษัทนี้  ช่วงเวลาที่ผมเบื่อหน่ายที่สุดก็คือเจ็ดนาฬิกาครึ่งถึงแปดนาฬิกาตรง  ก่อนเข้าทำงานในวันแรกของสัปดาห์นี่แหละ  เพราะมันคือสามสิบนาทีแห่งการไว้อาลัยให้กับเมื่อวานอันแสนสั้น  ที่อะไรๆ ก็ไม่ที่สุดสักอย่าง  ไม่ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เที่ยวผับ หรือแม้แต่การผูกมิตรกับสาวเสิร์ฟ  ซึ่งหากทำทั้งหมดเต็มที่จริงๆ ผมอาจจะยังไม่ตื่นมานั่งซังกะตายอยู่ตรงนี้  และนั่นมันไม่ส่งผลดีกับชีวิตของมนุษย์เงินเดือนอย่างผมเลย    

ร้านกาแฟโกเอี๊ยบคือจุดที่ผมมักมานั่งทำใจเสมอ  ก่อนจะพาร่างเสมือนไร้วิญญาณเดินไปรูดบัตร  เพื่อผ่านช่องทางเข้าบริษัทเบื้องหน้า เข้าไปเผชิญกับ...อะไรสักอย่างหรือหลายอย่างข้างในนั้น  

ภาพของพนักงานหลายร้อยคนต่อแถวรูดบัตรเข้าทำงาน  เป็นสิ่งที่ชาชินสำหรับนัยน์ตาผมมาตลอดสิบปี  น้อยครั้งเหลือเกินที่ความแปลกใหม่จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

ผมยกกาแฟที่คนได้ที่ขึ้นซดแบบเบื่อๆ  อันที่จริงหากเปลี่ยนเป็นวิสกี้กับโซดาเย็นๆ  จะเข้ากับอารมณ์และความรู้สึกของผมในตอนนี้มากกว่า  

ในขณะที่เครื่องดื่มสีดำอุณหภูมิอุ่นกำลังเคลื่อนตัวผ่านลิ้นลงไปยังลำคอ  สายตาผมก็พลันสะดุดเข้ากับความแปลกใหม่ที่เฝ้าถามหามานาน

เรียวขาเล็ก เอวคอด รับกับสะโพกผายพองาม  ทำให้กระโปรงดำเสมอเข่านั้นดูดีเป็นอย่างมาก เสื้อเชิ้ตสีฟ้าจืดๆ ของบริษัทก็สวยเหมือนมีราคาขึ้นมาทันทีด้วยทรงอกงามคู่นั้น  ไหนจะผมตรงสลวยประกายน้ำตาลแดงที่เคลียหัวไหล่เพรียวนั่นอีกล่ะ  ริมฝีปากชมพูอิ่ม จมูกจิ้มลิ้ม  ผิวขาวใสราวกับเด็กอ่อน  กับดวงตากลมโตก็ด้วย  ขาดเพียงความสูงระดับนางแบบเท่านั้น  ที่จะทำให้เธอสมบูรณ์แบบได้มากกว่านี้  ผมกำลังมองคนน่ารักอยู่

“สวัสดีตอนเช้าค่ะพี่มงคล”  เธอหยุดยกมือไหว้ผมที่หน้าโต๊ะกาแฟ

“อะ...เอ่อ...สวัสดีครับน้องข้าวใช่ไหม”  แม้จะตะลึงในคราแรกแต่ผมก็ดึงสติกลับมาได้ทัน  และนึกขึ้นได้ทันทีว่านี่คือพนักงานใหม่ของฝ่ายบัญชี  ที่ผมเพิ่งสัมภาษณ์ไปเมื่อต้นเดือน

“เริ่มงานวันนี้เหรอ”  จริงๆ ผมรู้อยู่แล้ว  เด่นสะดุดตากว่าใครในวันสัมภาษณ์  ผมย่อมจำรายละเอียดทุกอย่างของเธอได้  

“ใช่ค่ะ  แล้วพี่มงคลยังไม่เข้าบริษัทเหรอคะ”  แม้แต่เสียงของเธอก็ยังไพเราะจับใจ

ผมชำเลืองตาไปยังแก้วกาแฟในมือ  “ยังไม่หมดเลย”

“อ๋อ...ค่ะ  งั้นข้าวไม่กวนแล้วค่ะ”

ผมแทบจะยืดคอตามไปส่งพนักงานบัญชีสาวคนใหม่ถึงหน้าประตูเลยทีเดียว  แต่ด้วยตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลมันค้ำคออยู่  ภาพลักษณ์จึงต้องมาก่อน

“พนักงานใหม่เหรอพี่น่ารักดีนะครับ”  แม้สกลจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่ก็ทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง  เพราะลืมไปเลยว่ามีหมอนี่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย

“อ๋อ...เออ  พนักงานใหม่”  ผมตอบรุ่นน้องผู้เพิ่งผ่านทดลองงานเมื่อเดือนที่แล้ว

“เฮ้อ...น่าเสียดาย”  ชายหนุ่มผมกระเซิงหน้าตี๋แว่นตาหนาถอนหายใจ

“เสียดายอะไรของเอ็งวะสกล”  

“ก็น่ารักๆ แบบนี้มาอยู่นี่  อีกไม่นานคงโดนเสือโดนตะเข้บริษัทเรางาบไปเคี้ยว  อย่างเราคงได้แค่มอง”  แววตาละห้อยพร้อมกับการถอนหายใจอีกครั้งของคนพูดทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

“เอ็ง...ฟังพี่ให้ดีนะไอ้น้อง  จีบสาวสิ่งสำคัญมันอยู่ตรงนี้”  ผมใช้มือตบที่หน้าอกสองที

“ใจเหรอพี่  แบบเดินเข้าไปบอกตรงๆ งี้เหรอ”

“ใครบอกเอ็งวะเนี่ย”  ผมต้องเกาหัวกับคำพูดอ่อนต่อโลกของเพื่อนร่วมงาน

“ก็ผมเคยโพสในโซเชียลถามสาวๆ ว่าถ้าผมแอบชอบผู้หญิงต้องทำไง  ก็เห็นมีแต่คนตอบว่าให้พูดตรงๆ ไปเลย  ผู้หญิงชอบคนจริงใจ  นี่ไง”  โทรศัพท์มือถือถูกยื่นมาให้ผมดู

“งั้นเอ็งลองถามพวกสาวๆ ที่ตอบสิ  ว่าถ้ามีผู้ชายเดินไปบอกตรงๆ ว่าชอบ  เจ้าหล่อนจะคบเป็นแฟนไหม  พี่บอกเอ็งเลยข้ออ้างร้อยแปด  ไม่เคยรู้จักกันบ้างล่ะ  ไม่สนิทบ้างล่ะ  อยากรู้จริงๆ ว่าผู้หญิงที่ชอบความจริงใจในโลก  คนไหนมีแฟนด้วยวิธีแบบนั้นบ้าง  พี่สรุปให้ง่ายๆ เลย  ถ้าเชื่อโซเชียลชาตินี้เอ็งไม่มีแฟนกับเขาหรอก  มันอยู่ที่ศิลปะในหัวใจ...ทุกอย่างมันต้องใช้ศิลปะ”

คำพูดของผมสร้างแววตาเปล่งประกายให้กับรุ่นน้องเป็นอย่างมาก  ความศรัทธาคงกำลังเบ่งบานเต็มที่ในหัวใจของเขา  ก็แน่ล่ะผมจบศาสตร์เกี่ยวกับคนมาโดยตรง  ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานก็ถึงระดับนี้แล้ว  ข้อมูล เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องจีบสาวมีให้เห็นมาจนเบื่อ  ขาดเพียงอย่างเดียวคือ...ผมยังไม่เคยปฏิบัติเอง  

เราสองคนคุยกันอย่างออกรส  กระทั่งเดินเข้ามาในบริษัท  จนได้พบกับภาพเบื้องหน้าที่ทำให้หนังตาขวาของผมต้องกระตุก

“นั่นพี่ปราบผู้จัดการฝ่ายผลิตนี่พี่  ได้ข่าวว่ารายนี้เสือน่าดู  ยืนคุยอะไรกับน้องข้าวที่หน้าตึกบัญชีล่ะนั่น”  เหตุการณ์เบื้องหน้าถูกบรรยายโดยสกล

ผู้จัดการฝ่ายผลิตคนนี้คือหนุ่มที่สาวเล็กสาวใหญ่ในบริษัทต่างหมายปอง  อายุแค่สามสิบสามปีเท่ากันกับผม  หล่อ รวย จบเมืองนอก  ซ้ำยังตำแหน่งใหญ่กว่าผมอีกต่างหาก  การเป็นเสือผู้หญิงก็คงมาจากคุณสมบัติอันครบครันที่มีในตัว  เทียบกับผมที่หน้าตาธรรมดาออกไปทางแย่  พื้นเพต้นตระกูลมีแต่ชาวนา  กว่าจะจบปริญญาตรีได้ที่บ้านเลือดตาแทบกระเด็น  ผมเจอกระดูกชิ้นโตเข้าให้แล้ว

“ไปเถอะสกลได้เวลาทำงานแล้ว”  ลางร้ายกำลังแสยะยิ้มให้ผมตรงหน้า  และมันบาดใจเกินไปที่จะยืนดูอยู่ตรงนี้  กลับเข้าที่มั่นเพื่อตั้งหลัก  เป็นความคิดที่ดีกว่า

“โห...พี่มงคลดูสิ  พี่ปราบเข้าไปรวมกลุ่มกินข้าวกับขวัญใจเราด้วย”  สกลผู้อ่อนต่อโลกทำหน้าเสียดายราวกับเพิ่งโดนหวยกิน  เมื่อเห็นกลุ่มสาวๆ บัญชีกำลังห้อมล้อมผู้จัดการฝ่ายผลิตหนุ่ม  ที่โต๊ะอาหารถัดไปอีกสองโต๊ะตรงหน้า

“พี่จะบอกเอ็งให้นะสกล  ไอ้ปราบเนี่ยมันแค่เพิ่งเริ่มจีบ  ถ้ามันจีบติดมันต้องนั่งกันแค่สองคนเอ็งเชื่อพี่”  เหมือนผมจะปลอบใจรุ่นน้อง  แต่แท้ที่จริงผมก็แค่พูดให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น

“แล้วพี่จะทำยังไงต่อ”

“พี่บอกเอ็งแล้ว  ของแบบนี้มันเป็นศิลปะ  มันรีบร้อนไม่ได้ต้องค่อยเป็นค่อยไป  อย่างแรกเลยเราต้องทำความรู้จักเขาให้ได้  และไอ้ขั้นตอนนี้พี่ก็ผ่านเรียบร้อยแล้ว  ขั้นตอนต่อไปต้องยกระดับความสัมพันธ์ให้สนิทสนม”

“อ๋อ...ให้เป็นระดับเดียวกับพี่ปราบเหรอพี่”

“ใช่...เอ๊ยไม่ใช่  อย่างที่ไอ้ปราบมันทำ  มันแค่อาศัยความหล่อ บ้านรวย ตำแหน่งใหญ่ กล้าทุ่ม  ไอ้ของแบบนั้นมันแค่ฉาบฉวยไม่จีรังหรอกเว้ย”

สกลนิ่งไปครู่หนึ่ง  “ที่พี่พูดมานี่มันก็ครบทุกอย่างของการจีบสาวแล้วนะพี่  ยังเหลืออะไรจะสู้กับเขาได้อีก”

“ยังเหลือสิวะ  ความดีไง  ไว้เอ็งคอยดู”  อันที่จริงผมแทบไม่เหลือความมั่นใจใดๆ เลย  เมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าทุกทางแบบนั้น  แต่มาถึงขนาดนี้ไม่ประกาศก็เหมือนประกาศแล้ว  ว่าผมจะจีบน้องข้าวให้ได้

อีกสามสิบนาทีก็จะถึงเวลาเลิกงาน  เรื่องของน้องข้าวยังวนเวียนอยู่ในหัวจนผมแทบไม่เป็นอันทำอะไร  ทีแรกผมถอดใจจะยอมแพ้  แต่หลายสิ่งหลายอย่างมันชวนให้เปลี่ยนใจ  โดยเฉพาะเมื่อนึกเห็นภาพเจ้าปราบหักอกผู้หญิงท่าทางอ่อนต่อโลกแบบนั้น  มันจะต้องไม่เกิดขึ้น  ผมยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมากดหมายเลขอย่างรวดเร็ว

“ฝ่ายบัญชีค่ะ”  

“อ่า...คุณวิเหรอ  ผมมงคลนะผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคล”  ปลายสายคือผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีหัวหน้าโดยตรงของน้องข้าว

“อ๋อ...พี่มงคลมีอะไรให้ช่วยคะ”

“คุณวิมีให้สอนงานให้น้องใหม่บ้างยังครับ”

“อ๋อ...น้องข้าวนะเหรอ  มีบ้างแล้วค่ะ  วิกำหนดหัวข้อ จุดหมาย และจุดประสงค์  ต่างๆ ทำเป็นเอกสารให้น้องไปแล้วค่ะ”

“คุณวิช่วยบอกน้องมาหาผมตอนนี้หน่อย  ผมอยากดูว่าน้องเข้าใจมากน้อยแค่ไหน  ผู้ใหญ่กำชับมาว่าไม่อยากให้คนที่เข้ามาทำงานไม่ผ่านทดลองงาน  มันเปลืองงบประมาณ  ผมเลยอยากติดตามแต่เนิ่นๆ”  

“ได้ค่ะพี่มงคล”

แน่นอนว่าทั้งหมดที่ผมพูดไปนั้นมันเป็นเรื่องโกหก  แต่มันเป็นทางเดียวให้ผมได้ใกล้ชิดข้าว  และ...โอกาสตรงนี้ผมต้องไม่ทำพลาด  เพราะนั่นมันหมายถึงเธอต้องกลายเป็นของเล่นให้กับผู้ชายที่เจ้าชู้ที่สุดในบริษัท  ผมยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี  เราสองคนใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นอย่างที่ตั้งใจ  โดยใช้เรื่องงานบังหน้า  ทุกห้าโมงเย็นข้าวจะต้องมาหาผมที่ห้องทำงาน  เพื่อเรียนรู้และฟังคำแนะนำต่างๆ  แม้ว่าตัวผมเองจะไม่มีความรู้ในสายงานของเธอ  แต่เรื่องการประเมินและวิธีการทำงานมันเป็นสิ่งที่ผมเชี่ยวชาญ

ยิ่งรู้จักข้าวมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเท่านั้น  แม้สิ่งแรกที่ทำให้ผมสะดุดคือรูปร่างหน้าตา  แต่ถ้ามันมาพร้อมกับความใจดี รักสัตว์ ชอบทำบุญ ร่าเริงและมีน้ำใจ  ใครจะอดใจไม่รักไหว

ในที่สุดข้าวก็ผ่านทดลองงาน  แต่อะไรหลายอย่างก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย  

ผู้จัดการฝ่ายผลิตรูปงามยังคงเป็นเพื่อนทานอาหารกลางวันกับเธออยู่อย่างเดิม  แม้จะยังไม่คืบหน้าถึงขั้นแยกไปนั่งสองต่อสอง  แต่มันก็ไม่สบอารมณ์ผมอยู่ดี

“น้องข้าวนี่กินข้าวกับพี่ปราบทุกวันเลยนะพี่  ความสนิทสนมฝ่ายเราก็มากขึ้นแล้วต้องทำยังไงต่อ”  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสกลถึงพูดตรงกับสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอด  ราวกับเป็นคนจีบเสียเอง

“เอ็งก็เห็นนี่ว่าไอ้ปราบมันยังไม่ได้คืบหน้าไปจากเดิม  พรุ่งนี้แหละพี่จะชวนน้องเขาไปกินข้าว  มันถึงเวลาที่พี่จะขยับแซงหน้ามันแล้ว”  ผมพูดออกไปเหมือนมั่นใจเสียเต็มประดา  แต่ความจริงแล้วนี่เป็นเดิมพันที่สูงกับหัวใจผมมาก  หากข้าวปฏิเสธไม่ไปกับผม  มันจะเป็นยังไง  ผมจะกล้าชวนอีกเป็นครั้งที่สองไหม  

และแล้วที่หน้าตึกบัญชี

ผมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนถอนหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งที  เมื่อเห็นเป้าหมายเดินออกมาจากตึก  มันคงเป็นธรรมชาติของผู้หญิงที่ไปไหนมาไหนต้องเป็นกลุ่ม  แต่ช่างประไรผมเตรียมใจไว้แล้ว  วันนี้เป็นไงเป็นกัน

“พี่มงคลมาติดต่ออะไรที่บัญชีหรือเปล่าคะ”  ข้าวทักผมด้วยรอยยิ้ม

ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกกลัวผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จังนะ  ทั้งที่ความสนิทสนมก็มีมากมาย  ความตื่นเต้นถูกผมเก็บซ่อนเอาไว้ข้างใน  วินาทีต่อจากนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมเลย  แต่เอาน่าถ้าไม่กัดฟันทำตอนนี้  ผมอาจเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้

“เอ่อ...น้องข้าวครับ  วันนี้พี่ขอชวนน้องข้าวไปกินกลางวันกับพี่ได้ไหมครับ  พี่อยากเลี้ยงที่น้องผ่านทดลองงานน่ะครับ”  ผมพูดออกไปจนได้  และมันทำให้ทุกคนออกอาการเงียบกริบราวกันนัดกันมา

จากสีหน้ายิ้มแย้มของข้าวเมื่อครู่  เปลี่ยนเป็นตกใจขึ้นมากะทันหันและอาการเลิ่กลั่กก็ตามมา  “คะ...คือ  คือว่าวันนี้ข้าวมีธุระต้องไปทำน่ะค่ะ  ไว้...ไว้เป็นโอกาสหน้าได้ไหมคะพี่มงคล”

ราวกับถูกตึกบัญชีถล่มใส่ทั้งหลัง  ผมยืนตัวแข็งทื่อชาตั้งแต่สมองไปถึงข้อเท้า  มีเพียงรอยยิ้มแห้งๆ เท่านั้นส่งให้คนตอบ  ก่อนเธอจะเดินผ่านไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ โดยที่ผมไม่หันมองตามเลยแม้แต่นิดเดียว

บริษัทที่มีพนักงานรวมกันเกือบสี่พันคน  บัดนี้เงียบลงอย่างกะทันหัน  ผมรู้สึกเหมือนยืนอยู่คนเดียวกลางป่าช้าไปในทันใด

“พี่ๆ ...พี่มงคล  ไปโรงอาหารไหม”  ไม่รู้สกลเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมถึงได้ยินคำถาม

“ไม่หรอก...พี่ไม่หิว”  น้ำย่อยในกระเพาะผมหยุดทำงานตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินคำตอบจากข้าวแล้ว

ผมพยายามทบทวนเหตุการณ์หลายต่อหลายครั้ง  สาเหตุที่ถูกปฏิเสธนั้นมันเพราะอะไร  เจ้าผู้จัดการฝ่ายผลิตสุดหล่อนั่นขอคบเธอเป็นแฟนและได้รับคำตอบว่าตกลงใช่ไหม  หรือว่าข้าวอาจจะมีธุระจริงๆ  หรือมันอาจไม่ได้มีอะไร  แค่คำว่า “ไม่ชอบ” มันก็สามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้แล้วไม่ใช่หรือ

ไม่ว่าทุกอย่างมันจะมีเหตุผลยังไงก็ช่างมันก่อน  วันนี้ผมได้ข่าวว่าข้าวจะมีจัดเลี้ยงผ่านทดลองงานที่หอพัก  ดูเหมือนว่าเธอจะชวนคนรู้จักทุกคนไป  และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมต้องนั่งมองโทรศัพท์ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน  ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วหากไม่ได้รังเกียจอะไรผม  งานสังสรรค์แบบนี้มันต้องมีผมไปร่วมด้วย  แต่หากว่าเป็นไปในสิ่งที่ผมกลัวย่อมไม่มีใครเรียกผมไปร่วมสนุกด้วยเป็นแน่

และ...โทรศัพท์ก็ไม่ดังทั้งคืน

วันนี้เป็นวันหยุด  ผมตื่นมานั่งซุกเข่าที่ปลายเตียงตอนบ่ายโมง  เมื่อคืนเขาคงสนุกกันสุดเหวี่ยง  ผมถอนหายใจเรียกแรงฮึดอยู่เกือบสิบครั้ง  ก่อนจะลุกมาเปิดแล็ปท็อปเพื่อดูเฟซบุ๊กที่ปกติไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่นัก  ผมอยากรู้ว่างานสังสรรค์เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่