SPOIL ก่อนเลยเพื่อเพิ่มอรรถรส
การไปพบจิตแพทย์ครั้งนี้ จ่ายค่ายา + พบจิตแพทย์ไปทั้งหมด = 62.50 บาท ค่ะ
ไม่ได้ใช้บัตรทอง บัตรประกันสังคม บัตรอะไรทั้งนั้น ...มีแค่บัตรประชาชน
อ่ะเริ่ม
------------------------------------------------------------------------------------------
ขออนุญาตตัดฉากไม่ลงรายละเอียดว่าจุดเริ่มต้นหรือจุดจบของความรักเป็นยังไงนะคะ
คิดว่าหลายคนคงมีสตอรี่ของตัวเองที่แตกต่างกัน
แต่สุดท้ายเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องเจอกับ อาการเสียใจ อกหัก คิดทำร้ายตัวเอง หาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
จขกทก็เจอเรื่องที่ค่อนข้างติดตา เห็นคนที่เรารักอยู่กับคนใหม่ และเค้าไม่ได้เลือกเรา
ภาพตอนนั้นมันช็อคแล้วก็พยายามคิดหาคำตอบว่า
- ทำไมเค้าไม่เดินมาหา
- ทำไมเค้าไม่ไล่ผญคนนั้นไป
- ทำไมเค้าไม่เคลียร์อะไรเลย
- ที่ผ่านมาเรามันไม่มีค่าเลยใช่มั๊ย
ตามสไตล์คนอกหักใหม่ๆค่ะ ปรึกษาเพื่อน อยากไปเข้าวัด อยากเปลี่ยนเบอร์ อยากหายไปที่ไกลๆ
แต่เพื่อนห้าม บอกว่าเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ที่ใครๆก็เจอ
เราก็สงบสติ คิดทบทวนสิ่งที่เพื่อนบอก แต่คำถามพวกนั้นก็ยังวนอยู่ค่ะ
คืนนั้นนอนไม่หลับ (ตามสไตล์หนังดราม่าช่องเจ็ดเลยจ้า)
อินี่ก็ search กูเกิ้ลหาที่พบจิตแพทย์ ที่ไปได้เลยไม่ต้องนัดหมอล่วงหน้า (คนมันร้อนใจ)
เจอเวปแนะนำหลายๆที่แต่เป็นคลินิคบ้าง รพ.เอกชนบ้าง
1. เหตุผลที่ไม่เลือกคลินิค เพราะ เปิดช่วงเวลาเย็น
2. เหตุผลที่ไม่เลือกรพ.เอกชนเพราะได้ข่าวว่า คุย 1-2 ชม. ค่ารักษา 2,000 -3,000 บาท และหมอก็ถามแค่ "แล้วรู้สึกยังไงหล่ะ"
search ไปจน อินี่ก็ไปสะดุดตา กับ "สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา" ซึ่งเป็นรพ.รัฐ ที่เดินทางไม่ลำบากมาก
http://www.somdet.go.th
เหตุผลที่เลือกไปที่นี่เพราะ
1. เปิดรับคิวตั้งแต่ 6 โมงเช้า (ขณะที่serch ตี4 แล้วไง อีกไม่กี่อึดใจก็วาปไป รพ.เลย)
2. เป็นโรงพยาบาลแรกๆ เกี่ยวกับ จิตเวชศาสตร์ในไทย (อันนี้ไม่ชัวร์นะคะ ในประวัติเค้าบอกว่า จัดตั้งตั้งแต่ พ.ศ.2432)
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้นที่ 1. Registration
- เขียนประวัติและนำยื่นให้ช่องผู้ป่วยใหม่ (จำชื่อตึกไม่ได้ ขอโทษด้วยค่ะ ตอนไปถามไปว่า "เป็นผู้ป่วยนอก มาพบแพทย์ครั้งแรก" ค่ะ)
- เจ้าหน้าที่จะเริ่มเรียกชื่อ 8.00 เพื่อรับบัตรผู้ป่วย
- หลังจากได้บัตรผู้ป่วยมา ไปช่างน้ำหนัก วัดความดัน
- เอาบัตรไปยื่นให้หน้าห้องพยาบาลคัดกรอง
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 2. พยาบาลคัดกรอง
นั่งรอไม่ถึง 10 นาที พยาบาลคัดกรองเชิญเข้าห้องเพื่อไปถามประวัติคร่าวๆ
- มากับใคร
- เป็นอะไรถึงมา
- มีความคิดทำร้ายตัวเองไหม
- ความคิดนั้นเกิดขึ้นบ่อยไหม
- เห็นภาพหลอนหรือเสียงแว่วหรือไม่
- พยาบาลก็จะกรอกข้อมูลเบื้องต้นลงไป
- พยาบาลระบุจิตแพทย์ที่ควรพบ
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 3. พบจิตแพทย์
- จิตแพทย์เริ่มตรวจคิวแรก 9.00 น.
- มีประมาณ 10 กว่าห้องตรวจค่ะ คงรอกันไม่นานถ้าไปเช้าๆ
- ช่วงเริ่มต้น
จิตแพทย์ : "เป็นอะไรทำไมถึงมาที่นี้"
จขกท : (ด้วยความเคอะเขิน อินี่ตอบเพียง) "ความรักล้มเหลวค่ะ"
จิตแพทย์ : "ไหนลองอธิบายละเอียดหน่อยสิ มันอะไรยังไง"
- แพทย์จดบันทึกเรื่องราว และ วิเคราะห์ หลักจิตวิทยาต่างๆ ลงในเรื่องราวที่เราเจอ
ซึ่งพอฟังเสร็จรู้สึกว่า เฮ้ยยยยยยยยย!! มันจริงมาก
จริงในความจริง เป็นเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้
พอคิดตามหลักการที่หมอบอก เราเลยเข้าใจแล้วว่า ไม่ต้องไปหาคำตอบอะไรพวกนั้นหรอก เพราะมันไม่มี!
เค้าแค่ไม่รักเราแล้วอ่ะค่ะ อิควั่ยยยยยยยยย (อันนี้เติมเอง)
อ่ะเข้าพาร์ทเชิงวิชาการค่ะ หลักการที่หมอแนะนำ เช่น
ตัวอย่าง 1 หลักการ "Death and Dying Stages"
Denial -> Anger -> Bargaining -> Depression -> Acceptance
ปฏิเสธความจริง ไม่เค้าไม่ได้มีคนใหม่หรอก ->โกรธ ตามไปดูหน้าอินังคนใหม่
-> คุยโทรศัพท์ต่อรอง ขอโอกาสให้เค้ากลับมา -> เศร้า หดหู่ ปวดใจ -> ยอมรับความจริง (ซึ่งจขกท.ยังไปไม่ถึงstageนี้จ้า)
ตัวอย่าง 2 การหา Self-Esteem ของตัวเอง
Self Esteem คือความมั่นใจในตัวเองซึ่งมาได้จากภายนอกและภายใน
External Self Esteem เช่น ได้รับคำชมจากผู้อื่น ได้รับยอดไลค์ในเฟสบุ๊คเยอะๆแล้วภูมิใจ
Internal Self Esteem คือการที่ภูมิใจมาจากข้างในตัวเราเอง เราเห็นคุณค่าของตัวเอง และเราทำอะไรต่างๆเพื่อตนเอง
เช่น ไม่ได้แคร์ว่าเฟสบุ๊คนี้คนจะมากดไลค์เยอะน้อยแค่ไหน
แต่มัน fulfill ความต้องการของตัวเอง ทำแล้วตัวเองมีค.สุขเอง ไม่ต้องไปแคร์ค.เห็นคนรอบนอก
- คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ แต่ละคนอาจจะได้รับหลักจิตวิทยาต่างกัน ตามความคิด หรือ เหตุการณ์ที่เผชิญ
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 4. รับใบนัดพบแพทย์ครั้งถัดไป
- หมอบอกว่า มาเถ้อะะะ 70% ของคนไข้ประเภทนี้จะไม่กลับมาหาหมอใหม่ เพราะมันไม่ได้หนักหนาสาหัสขนาดเป็นโรค
- หมอเสริมว่า มันมีประเด็นภาพรวมชีวิตที่เห็นว่า พัฒนาได้
- หมอเป็นเพียงคนชี้นำว่าควรคิด ควรทำอย่างไร แต่ที่เหลือคนไข้ต้องปฎิบัติเองเพื่อให้ดีขึ้น
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 5. จ่ายเงินและรับยา (เรียกเร็วมากกกกก ไม่เกิน 5 นาทีเสร็จค่ะ)
------------------------------------------------------------------------------------------
สรุป + Customer Review
- ไม่จมอยู่ในความคิดตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น
- ไอ่พวกคำถามที่วน ไปๆมาๆ มันมีหลักจิตวิทยาเข้ามาตอบ (อ่ะตอนนี้เราอยู่ในช่วง Bargain แน่ๆเลย)
- ไม่ได้คำแนะนำเชิงแพทย์ แต่เป็นคำแนะนำง่ายๆที่ใช้ได้จริง
หมอไม่ได้บอกว่า สารในสมองชื่อนู้นนี่ผิดปกติ กระทบต่อเส้นสมองนู่นนี่ โน้วค่ะ ไม่มีเลย
หมอแนะนำว่า "อยู่นิ่งๆ" อันนี้เรื่องจริง หมายถึงไม่ให้เราติดต่ออะไรเค้า ไม่ต้องยุ่งอะไร อยู่เฉยๆให้ผ่านพ้นอาทิตย์นี้ไปให้ได้
ซึ่งคำแนะนำนี้มาจากหมอไง อินี่ซึ่งเป็นคนดื้อ ก็ไม่ฟังเพื่อนฝูง จะทำตามใจตัวเอง พอมาจากปากหมอ..เอ่อเว้ย ต้องทำตาม
- ต้องลางานไปนะคะ ไม่มีตรวจนอกเวลาราชการ (หรือมีแต่อาจจะต้องนัดก่อน ขอโทษจริงๆอันนี้ไม่ชัวร์ค่ะ)
- ค่ารักษาถูกกว่าที่คิดไว้มาก ค่ายา 12.50 บาท และ...ค่าธรรมเนียมหรือค่าพบแพทย์มั้งไม่มั่นใจ.. 50บาท
- เวลาคุย 1 ชั่วโมงกว่า หมอไม่ได้กดดันว่ารีบเล่า หรือ เร่งให้จบๆไปเลย
- สถาบันจิตเวชมีที่จอดรถค่อนข้างเยอะ (แต่คิดค่าจอดชม.ละ 10 หรือ 20 บาทเนี่ยแหล่ะค่ะ)
------------------------------------------------------------------------------------------
ทิ้งท้าย
- ส่วนตัวคิดว่าโลกเทคโนโลยีสมัยนี้มันทำให้ความรู้สึกต่างๆ มัน extream
เช่น เหงาก็เหงาสุดๆ แฮปปี้กับเพื่อนก็สุดๆ เพราะเราได้เปิดเผยความรู้สึกต่างๆไปบนโลกออนไลน์
การเปิดเผยพวกนี้ มันทำให้มัน extream อ่ะค่ะ
- พอจขกท อกหักรอบนี้ คือ อยู่กับมือถือไม่ได้ เพราะมันทำให้เราดิ่งลงไปมากขึ้น
เหงามากขึ้น คิดอิจฉาคนรอบข้างมากขึ้น เลยหาหลักยึดเหนี่ยวคือการไปพบจิตแพทย์
- อยากให้การพบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติในสังคมไทยมากขึ้น
(ยกตัวอย่างหนังอเมริกา ที่เอะอะก็ไปพบจิตแพทย์ ซึ่งสังคมเค้าถือเป็นเรื่องปกติ)
- หวังว่ากระทู้นี้คงแนะนำทางเลือก ให้กับคนที่กำลังเจอปัญหาในชีวิตและจมอยู่กับมัน ไม่กล้าคุยกับใคร ลองไปพบดูค่ะ ไม่แพง
ไม่แพงจริง จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
[Review] ความรักล้มเหลวจึงไปพบจิตแพทย์ ค่ารักษาแค่ 60 บาท
การไปพบจิตแพทย์ครั้งนี้ จ่ายค่ายา + พบจิตแพทย์ไปทั้งหมด = 62.50 บาท ค่ะ
ไม่ได้ใช้บัตรทอง บัตรประกันสังคม บัตรอะไรทั้งนั้น ...มีแค่บัตรประชาชน
อ่ะเริ่ม
------------------------------------------------------------------------------------------
ขออนุญาตตัดฉากไม่ลงรายละเอียดว่าจุดเริ่มต้นหรือจุดจบของความรักเป็นยังไงนะคะ
คิดว่าหลายคนคงมีสตอรี่ของตัวเองที่แตกต่างกัน
แต่สุดท้ายเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องเจอกับ อาการเสียใจ อกหัก คิดทำร้ายตัวเอง หาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
จขกทก็เจอเรื่องที่ค่อนข้างติดตา เห็นคนที่เรารักอยู่กับคนใหม่ และเค้าไม่ได้เลือกเรา
ภาพตอนนั้นมันช็อคแล้วก็พยายามคิดหาคำตอบว่า
- ทำไมเค้าไม่เดินมาหา
- ทำไมเค้าไม่ไล่ผญคนนั้นไป
- ทำไมเค้าไม่เคลียร์อะไรเลย
- ที่ผ่านมาเรามันไม่มีค่าเลยใช่มั๊ย
ตามสไตล์คนอกหักใหม่ๆค่ะ ปรึกษาเพื่อน อยากไปเข้าวัด อยากเปลี่ยนเบอร์ อยากหายไปที่ไกลๆ
แต่เพื่อนห้าม บอกว่าเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ที่ใครๆก็เจอ
เราก็สงบสติ คิดทบทวนสิ่งที่เพื่อนบอก แต่คำถามพวกนั้นก็ยังวนอยู่ค่ะ
คืนนั้นนอนไม่หลับ (ตามสไตล์หนังดราม่าช่องเจ็ดเลยจ้า)
อินี่ก็ search กูเกิ้ลหาที่พบจิตแพทย์ ที่ไปได้เลยไม่ต้องนัดหมอล่วงหน้า (คนมันร้อนใจ)
เจอเวปแนะนำหลายๆที่แต่เป็นคลินิคบ้าง รพ.เอกชนบ้าง
1. เหตุผลที่ไม่เลือกคลินิค เพราะ เปิดช่วงเวลาเย็น
2. เหตุผลที่ไม่เลือกรพ.เอกชนเพราะได้ข่าวว่า คุย 1-2 ชม. ค่ารักษา 2,000 -3,000 บาท และหมอก็ถามแค่ "แล้วรู้สึกยังไงหล่ะ"
search ไปจน อินี่ก็ไปสะดุดตา กับ "สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา" ซึ่งเป็นรพ.รัฐ ที่เดินทางไม่ลำบากมาก
http://www.somdet.go.th
เหตุผลที่เลือกไปที่นี่เพราะ
1. เปิดรับคิวตั้งแต่ 6 โมงเช้า (ขณะที่serch ตี4 แล้วไง อีกไม่กี่อึดใจก็วาปไป รพ.เลย)
2. เป็นโรงพยาบาลแรกๆ เกี่ยวกับ จิตเวชศาสตร์ในไทย (อันนี้ไม่ชัวร์นะคะ ในประวัติเค้าบอกว่า จัดตั้งตั้งแต่ พ.ศ.2432)
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้นที่ 1. Registration
- เขียนประวัติและนำยื่นให้ช่องผู้ป่วยใหม่ (จำชื่อตึกไม่ได้ ขอโทษด้วยค่ะ ตอนไปถามไปว่า "เป็นผู้ป่วยนอก มาพบแพทย์ครั้งแรก" ค่ะ)
- เจ้าหน้าที่จะเริ่มเรียกชื่อ 8.00 เพื่อรับบัตรผู้ป่วย
- หลังจากได้บัตรผู้ป่วยมา ไปช่างน้ำหนัก วัดความดัน
- เอาบัตรไปยื่นให้หน้าห้องพยาบาลคัดกรอง
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 2. พยาบาลคัดกรอง
นั่งรอไม่ถึง 10 นาที พยาบาลคัดกรองเชิญเข้าห้องเพื่อไปถามประวัติคร่าวๆ
- มากับใคร
- เป็นอะไรถึงมา
- มีความคิดทำร้ายตัวเองไหม
- ความคิดนั้นเกิดขึ้นบ่อยไหม
- เห็นภาพหลอนหรือเสียงแว่วหรือไม่
- พยาบาลก็จะกรอกข้อมูลเบื้องต้นลงไป
- พยาบาลระบุจิตแพทย์ที่ควรพบ
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 3. พบจิตแพทย์
- จิตแพทย์เริ่มตรวจคิวแรก 9.00 น.
- มีประมาณ 10 กว่าห้องตรวจค่ะ คงรอกันไม่นานถ้าไปเช้าๆ
- ช่วงเริ่มต้น
จิตแพทย์ : "เป็นอะไรทำไมถึงมาที่นี้"
จขกท : (ด้วยความเคอะเขิน อินี่ตอบเพียง) "ความรักล้มเหลวค่ะ"
จิตแพทย์ : "ไหนลองอธิบายละเอียดหน่อยสิ มันอะไรยังไง"
- แพทย์จดบันทึกเรื่องราว และ วิเคราะห์ หลักจิตวิทยาต่างๆ ลงในเรื่องราวที่เราเจอ
ซึ่งพอฟังเสร็จรู้สึกว่า เฮ้ยยยยยยยยย!! มันจริงมาก
จริงในความจริง เป็นเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้
พอคิดตามหลักการที่หมอบอก เราเลยเข้าใจแล้วว่า ไม่ต้องไปหาคำตอบอะไรพวกนั้นหรอก เพราะมันไม่มี!
เค้าแค่ไม่รักเราแล้วอ่ะค่ะ อิควั่ยยยยยยยยย (อันนี้เติมเอง)
อ่ะเข้าพาร์ทเชิงวิชาการค่ะ หลักการที่หมอแนะนำ เช่น
ตัวอย่าง 1 หลักการ "Death and Dying Stages"
Denial -> Anger -> Bargaining -> Depression -> Acceptance
ปฏิเสธความจริง ไม่เค้าไม่ได้มีคนใหม่หรอก ->โกรธ ตามไปดูหน้าอินังคนใหม่
-> คุยโทรศัพท์ต่อรอง ขอโอกาสให้เค้ากลับมา -> เศร้า หดหู่ ปวดใจ -> ยอมรับความจริง (ซึ่งจขกท.ยังไปไม่ถึงstageนี้จ้า)
ตัวอย่าง 2 การหา Self-Esteem ของตัวเอง
Self Esteem คือความมั่นใจในตัวเองซึ่งมาได้จากภายนอกและภายใน
External Self Esteem เช่น ได้รับคำชมจากผู้อื่น ได้รับยอดไลค์ในเฟสบุ๊คเยอะๆแล้วภูมิใจ
Internal Self Esteem คือการที่ภูมิใจมาจากข้างในตัวเราเอง เราเห็นคุณค่าของตัวเอง และเราทำอะไรต่างๆเพื่อตนเอง
เช่น ไม่ได้แคร์ว่าเฟสบุ๊คนี้คนจะมากดไลค์เยอะน้อยแค่ไหน
แต่มัน fulfill ความต้องการของตัวเอง ทำแล้วตัวเองมีค.สุขเอง ไม่ต้องไปแคร์ค.เห็นคนรอบนอก
- คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ แต่ละคนอาจจะได้รับหลักจิตวิทยาต่างกัน ตามความคิด หรือ เหตุการณ์ที่เผชิญ
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 4. รับใบนัดพบแพทย์ครั้งถัดไป
- หมอบอกว่า มาเถ้อะะะ 70% ของคนไข้ประเภทนี้จะไม่กลับมาหาหมอใหม่ เพราะมันไม่ได้หนักหนาสาหัสขนาดเป็นโรค
- หมอเสริมว่า มันมีประเด็นภาพรวมชีวิตที่เห็นว่า พัฒนาได้
- หมอเป็นเพียงคนชี้นำว่าควรคิด ควรทำอย่างไร แต่ที่เหลือคนไข้ต้องปฎิบัติเองเพื่อให้ดีขึ้น
------------------------------------------------------------------------------------------
ขั้น 5. จ่ายเงินและรับยา (เรียกเร็วมากกกกก ไม่เกิน 5 นาทีเสร็จค่ะ)
------------------------------------------------------------------------------------------
สรุป + Customer Review
- ไม่จมอยู่ในความคิดตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น
- ไอ่พวกคำถามที่วน ไปๆมาๆ มันมีหลักจิตวิทยาเข้ามาตอบ (อ่ะตอนนี้เราอยู่ในช่วง Bargain แน่ๆเลย)
- ไม่ได้คำแนะนำเชิงแพทย์ แต่เป็นคำแนะนำง่ายๆที่ใช้ได้จริง
หมอไม่ได้บอกว่า สารในสมองชื่อนู้นนี่ผิดปกติ กระทบต่อเส้นสมองนู่นนี่ โน้วค่ะ ไม่มีเลย
หมอแนะนำว่า "อยู่นิ่งๆ" อันนี้เรื่องจริง หมายถึงไม่ให้เราติดต่ออะไรเค้า ไม่ต้องยุ่งอะไร อยู่เฉยๆให้ผ่านพ้นอาทิตย์นี้ไปให้ได้
ซึ่งคำแนะนำนี้มาจากหมอไง อินี่ซึ่งเป็นคนดื้อ ก็ไม่ฟังเพื่อนฝูง จะทำตามใจตัวเอง พอมาจากปากหมอ..เอ่อเว้ย ต้องทำตาม
- ต้องลางานไปนะคะ ไม่มีตรวจนอกเวลาราชการ (หรือมีแต่อาจจะต้องนัดก่อน ขอโทษจริงๆอันนี้ไม่ชัวร์ค่ะ)
- ค่ารักษาถูกกว่าที่คิดไว้มาก ค่ายา 12.50 บาท และ...ค่าธรรมเนียมหรือค่าพบแพทย์มั้งไม่มั่นใจ.. 50บาท
- เวลาคุย 1 ชั่วโมงกว่า หมอไม่ได้กดดันว่ารีบเล่า หรือ เร่งให้จบๆไปเลย
- สถาบันจิตเวชมีที่จอดรถค่อนข้างเยอะ (แต่คิดค่าจอดชม.ละ 10 หรือ 20 บาทเนี่ยแหล่ะค่ะ)
------------------------------------------------------------------------------------------
ทิ้งท้าย
- ส่วนตัวคิดว่าโลกเทคโนโลยีสมัยนี้มันทำให้ความรู้สึกต่างๆ มัน extream
เช่น เหงาก็เหงาสุดๆ แฮปปี้กับเพื่อนก็สุดๆ เพราะเราได้เปิดเผยความรู้สึกต่างๆไปบนโลกออนไลน์
การเปิดเผยพวกนี้ มันทำให้มัน extream อ่ะค่ะ
- พอจขกท อกหักรอบนี้ คือ อยู่กับมือถือไม่ได้ เพราะมันทำให้เราดิ่งลงไปมากขึ้น
เหงามากขึ้น คิดอิจฉาคนรอบข้างมากขึ้น เลยหาหลักยึดเหนี่ยวคือการไปพบจิตแพทย์
- อยากให้การพบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติในสังคมไทยมากขึ้น
(ยกตัวอย่างหนังอเมริกา ที่เอะอะก็ไปพบจิตแพทย์ ซึ่งสังคมเค้าถือเป็นเรื่องปกติ)
- หวังว่ากระทู้นี้คงแนะนำทางเลือก ให้กับคนที่กำลังเจอปัญหาในชีวิตและจมอยู่กับมัน ไม่กล้าคุยกับใคร ลองไปพบดูค่ะ ไม่แพง
ไม่แพงจริง จริงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง