คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ไหนๆ คุณหลังเขาตั้งกระทู้ในห้องราชฯ อย่างนี้แล้ว ผมก็ขอแจมเกี่ยวกับทัศนะคติเรื่องวิวัฒนาการถอดถอยในบริบทของการเมืองดูนะครับ
เคยพยายามคิดและสาวหารากเหง้าแห่งปัญหาของการเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เหมือนกัน ทำเท่าที่ปัญญาของตัวเองจะทำได้น่ะครับ และพบว่าสิ่งหนึ่งที่ถูกหยิบยกและดูเหมือนจะกลายเป็นสแตนดาร์ดที่ถูกอ้างถึงบ่อยๆ ก็คือ การไม่เข้าใจระบบประชาธิปไตยของคนชนบท
แรกเริ่มเดิม...ก็น่าจะเป็นเพียงข้อ "ยกอ้าง" ต่อมาก็พัฒนากลายเป็น "เหตุผล" หรือ "สาเหตุ" (ของการล้มลุกคลุกคลานของระบอบประชาธิปไตย)ที่คนชนบทต้องถูกยัดเยียด และในขณะที่โลกได้พัฒนาไปเรื่อยๆ.....แต่มุมมองของคนกลุ่มหนึ่งที่มองไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งยังไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำร้าย....ดูเหมือนว่าจะเลวร้ายหนักลงกว่าเดิมเสียอีก เช่นกรณี การให้สัมภาษณ์ของซูโม่ตู้เรื่องการเลือกตั้งและเปรียบว่าลิงบาบูนฉลาดกว่าคน(บางกลุ่ม) และควรจะให้ลิงบาบูนมาลงคะแนนเลือกตั้งด้วย .....ทำไมเราจึงไม่ให้ลิงบาบูนอายุ 18 ขวบมีสิทธิ์เลือกตั้งล่ะครับ เพราะบาบูนไม่เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะบาบูนไม่ใช่คนนะครับ บาบูนเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ บาบูนหากินเองได้ ไม่ต้องรอเอื้ออาทร ไม่ต้องรอผ้าห่มทุกปี ก็ถ้าบาบูนเรียนหนังสือสอบผ่าน ม.6 ก็แปลว่าพูดกับคนรู้เรื่อง เราก็ควรให้สิทธิ์เลือกตั้งกับบาบูนครับ แต่นี่มีโง่กว่าบาบูนอีกนะ พูดก็ไม่รู้เรื่อง สะกดประชาธิปไตยก็ไม่ถูก ทำมาหากินก็ไม่ได้ ผ้าห่มก็หาเองไม่ได้ต้องแจกทุกปี แต่ดันมีสิทธิ์เลือกตั้ง อย่างงี้ บาบูนค้อนครับ.... http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9510000123480
นี่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่มองวิวัฒนาการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า กำลังถดถอย.....ถดถอยถึงขั้นลงไปเทียบกับลิงบาบูนเลยทีเดียว !! ตัวอย่างนี้อาจจะรวมไปถึงการพูดของนายเสรี วงมณฑา ที่ว่า เสียงจากชนบทเป็นล้านๆ ก็ไม่เท่าเสียงของคนในเมืองกรุงไม่กี่แสนด้วย เป็นที่น่าสังเกตุว่า คนอย่างซูโม่ตู้และนายเสรี นั้นถือว่าเป็นปัญญาชนระดับปริญญาโทและเอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนายเสรีที่มาจากชนบทน่าจะเข้าใจ ทิศทางการ "วิวัฒนาการ" ของคนชนบทได้เป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยๆ ก็ให้เกียรติความเป็น "มนุษย์" ด้วยกันว่ามนุษย์ทุกคนย่อมมีวิวัฒนาการในตัวเขาเองด้วยการแสวงหาและมาจากธรรมชาติ และอีกทางหนึ่งสังคมรอบด้านก็มีอิทธิพลช่วยหล่อหลอมให้ปรับตัวเข้ากับบริบทของสังคมได้หลายๆ ด้าน ผมไม่เชื่อครับ ว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้จะมีวิวัฒนาการด้านสติปัญญาถอยหลังเข้าคลองไปถึงระดับ "ลิงบาบูน" อย่างที่ซูโม่ตู้พยายามจะชี้
และดูเหมือนว่าความ "โง่เขลา" ของกลุ่มคนที่อยู่ชนบทจะเกิดๆ ดับๆ เสมอ... เมื่อใดก็ตามที่พรรคขวัญใจคนกรุงฯ ได้เป็นรัฐบาล ความโง่แทบจะหายไป แต่เมื่อใดก็ตามที่พรรคๆ นั้นพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ความโง่เขลา ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยจะถูกโยนไปให้คนชนบททันที...แปลกดี
เคยพยายามคิดและสาวหารากเหง้าแห่งปัญหาของการเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เหมือนกัน ทำเท่าที่ปัญญาของตัวเองจะทำได้น่ะครับ และพบว่าสิ่งหนึ่งที่ถูกหยิบยกและดูเหมือนจะกลายเป็นสแตนดาร์ดที่ถูกอ้างถึงบ่อยๆ ก็คือ การไม่เข้าใจระบบประชาธิปไตยของคนชนบท
แรกเริ่มเดิม...ก็น่าจะเป็นเพียงข้อ "ยกอ้าง" ต่อมาก็พัฒนากลายเป็น "เหตุผล" หรือ "สาเหตุ" (ของการล้มลุกคลุกคลานของระบอบประชาธิปไตย)ที่คนชนบทต้องถูกยัดเยียด และในขณะที่โลกได้พัฒนาไปเรื่อยๆ.....แต่มุมมองของคนกลุ่มหนึ่งที่มองไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งยังไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำร้าย....ดูเหมือนว่าจะเลวร้ายหนักลงกว่าเดิมเสียอีก เช่นกรณี การให้สัมภาษณ์ของซูโม่ตู้เรื่องการเลือกตั้งและเปรียบว่าลิงบาบูนฉลาดกว่าคน(บางกลุ่ม) และควรจะให้ลิงบาบูนมาลงคะแนนเลือกตั้งด้วย .....ทำไมเราจึงไม่ให้ลิงบาบูนอายุ 18 ขวบมีสิทธิ์เลือกตั้งล่ะครับ เพราะบาบูนไม่เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะบาบูนไม่ใช่คนนะครับ บาบูนเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ บาบูนหากินเองได้ ไม่ต้องรอเอื้ออาทร ไม่ต้องรอผ้าห่มทุกปี ก็ถ้าบาบูนเรียนหนังสือสอบผ่าน ม.6 ก็แปลว่าพูดกับคนรู้เรื่อง เราก็ควรให้สิทธิ์เลือกตั้งกับบาบูนครับ แต่นี่มีโง่กว่าบาบูนอีกนะ พูดก็ไม่รู้เรื่อง สะกดประชาธิปไตยก็ไม่ถูก ทำมาหากินก็ไม่ได้ ผ้าห่มก็หาเองไม่ได้ต้องแจกทุกปี แต่ดันมีสิทธิ์เลือกตั้ง อย่างงี้ บาบูนค้อนครับ.... http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9510000123480
นี่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่มองวิวัฒนาการของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า กำลังถดถอย.....ถดถอยถึงขั้นลงไปเทียบกับลิงบาบูนเลยทีเดียว !! ตัวอย่างนี้อาจจะรวมไปถึงการพูดของนายเสรี วงมณฑา ที่ว่า เสียงจากชนบทเป็นล้านๆ ก็ไม่เท่าเสียงของคนในเมืองกรุงไม่กี่แสนด้วย เป็นที่น่าสังเกตุว่า คนอย่างซูโม่ตู้และนายเสรี นั้นถือว่าเป็นปัญญาชนระดับปริญญาโทและเอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนายเสรีที่มาจากชนบทน่าจะเข้าใจ ทิศทางการ "วิวัฒนาการ" ของคนชนบทได้เป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยๆ ก็ให้เกียรติความเป็น "มนุษย์" ด้วยกันว่ามนุษย์ทุกคนย่อมมีวิวัฒนาการในตัวเขาเองด้วยการแสวงหาและมาจากธรรมชาติ และอีกทางหนึ่งสังคมรอบด้านก็มีอิทธิพลช่วยหล่อหลอมให้ปรับตัวเข้ากับบริบทของสังคมได้หลายๆ ด้าน ผมไม่เชื่อครับ ว่ามนุษย์ปัจจุบันนี้จะมีวิวัฒนาการด้านสติปัญญาถอยหลังเข้าคลองไปถึงระดับ "ลิงบาบูน" อย่างที่ซูโม่ตู้พยายามจะชี้
และดูเหมือนว่าความ "โง่เขลา" ของกลุ่มคนที่อยู่ชนบทจะเกิดๆ ดับๆ เสมอ... เมื่อใดก็ตามที่พรรคขวัญใจคนกรุงฯ ได้เป็นรัฐบาล ความโง่แทบจะหายไป แต่เมื่อใดก็ตามที่พรรคๆ นั้นพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ความโง่เขลา ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยจะถูกโยนไปให้คนชนบททันที...แปลกดี
แสดงความคิดเห็น
...วิวัฒนาการ ถดถอย...(...คน หลังเขา)
นกกีวีซึ่งเป็นนกที่บินไม่ได้และเป็นสัตว์ประจำถิ่นที่พบในนิวซีแลนด์เท่านั้น
อาจกำลังมี "วิวัฒนาการแบบถดถอย" หลังทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติพบว่า
พวกมันมีประชากรจำนวนมากที่เริ่มสูญเสียการมองเห็น
หลังออกหากินและใช้ชีวิตในช่วงกลางคืนเป็นหลัก
ทีมนักวิทยาศาสตร์ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาครั้งนี้ในวารสาร BMC Biology
ระบุว่าพวกตนประหลาดใจอย่างมาก ที่พบว่านกกีวีสีน้ำตาลในป่าโอคาริโทบนเกาะใต้
ของนิวซีแลนด์ที่ตาบอดสนิทหลายตัว สามารถออกหากินและดำรงชีวิตอยู่ตามลำพังได้
โดยไม่ต้องรวมกลุ่ม นกตาบอดเหล่านี้มีสภาพร่างกายสมบูรณ์และยังมีสุขภาพแข็งแรง
เป็นปกติดีอีกด้วย
ดร. อลัน เทนนีสัน หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่า
จากการติดตามศึกษานกกีวีสีน้ำตาล 160 ตัว
พบว่า 1 ใน 3 ของพวกมันมีปัญหาทางสายตา
และในจำนวนนี้มีหลายตัวที่ตาบอดสนิท แต่ดูเหมือนว่า
ความบกพร่องทางการมองเห็นของนกกีวีกลุ่มนี้
ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของพวกมันแต่อย่างใด
"ไม่มีนกชนิดไหนเลยที่เมื่อตาบอดแล้วจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดตามลำพังได้
ปรากฏการณ์นี้จึงอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเกิดวิวัฒนาการแบบถดถอย (Regressive evolution)
ในหมู่นกกีวีที่ออกหากินกลางคืนเป็นหลัก ซึ่งในสภาพที่มืดสนิทเช่นนั้น สายตาไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ร่างกายของพวกมันจะไม่พยายามรักษาสายตาเอาไว้ เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ
" ดร. เทนนีสันกล่าว "
เราพบเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้ได้ในตัวตุ่นบางชนิด และปลาที่อาศัยอยู่ในถ้ำมืด
ซึ่งชี้ว่าการมองเห็นไม่จำเป็นต่อความอยู่รอดของสัตว์ทุกชนิดเสมอไป"
ดร. สแตนลีย์ เซสชันส์ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่า
กรณีของนกกีวีที่วิวัฒนาการถดถอยจนสูญเสียการมองเห็นนั้น
น่าจะเป็นผลจากยีนตัวหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีบทบาทกระตุ้น
ให้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของนกกีวี เช่นการรับสัมผัสและดมกลิ่นที่บริเวณ
จงอยปากยาวของมันมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน
ยีนตัวนี้จะส่งผลให้สายตาเสื่อมลงและบอดสนิทในที่สุด
อย่างไรก็ตาม การที่นกกีวีสายตาเสื่อมกลุ่มนี้ยังคงมีชีวิตอยู่รอดได้
อาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่นการอยู่ในแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์
และไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ปัจจุบันนกกีวีเป็นสัตว์ที่เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์โดยมีประชากร
เหลืออยู่ทั้งหมดราว 400 ตัวเท่านั้น...
//...วิวัฒนาการที่ถดถอย...ฟังๆแล้ว คุ้นๆแฮะ...//