[CR] รีวิว + สปอย “Mother! - มารดา” - หนังดูไม่ยากขนาดนั้น เราสนุกกับมันได้ เพียงแต่มีงงๆบางช่วง ใครดูแล้วมาถกประเด็นกันครับ

---------------------------------
"Mother! - มารดา" (8.75/10)
---------------------------------

สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชม "Mother! - มารดา" ทางไปเพจผมครับ --> https://www.facebook.com/FeedbackMovies

เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ทำให้นักวิจารณ์ภาพยนตร์ในต่างประเทศถึงกับแบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้คะแนนชอบไม่ชอบกันแบบสุดขั้วกันไปเลย สำหรับ "Mother" หรือในชื่อไทยที่แปลตรงตัวมาเลยว่า "มารดา" ผลงานล่าสุดของ "ดาร์เรน อโรโนฟกี้" หนึ่งในผู้กำกับคุณภาพที่เคยดัน "นาตาลี พอร์ตแมน" คว้าออสการ์มาแล้วจาก "Black Swan" โดยใน “Mother” นี้ นักวิจารณ์ที่ชื่นชอบต่างสรรเสริญเยินยออ้างสรรพคุณกันต่างๆนาๆว่าตัวหนังมีความท้าทายให้ผู้ชมได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง แถมไม่ลืมที่จะยกย่องความเทพของนักแสดงทั้งหมดในเรื่อง โดยเฉพาะสาว "เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์" ที่ปีนี้มีโอกาสได้เจิดจรัสมีชื่อติดโผผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้ง ซึ่งไม่ต่างไปจากนักวิจารณ์อีกฝั่งที่ไม่ค่อยจะปลาบปลื้มเรื่องราวและการนำเสนอของหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ ในด้านนักแสดง พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมทีมนักแสดงเฉกเช่นเดียวกับนักวิจารณ์ที่ชื่นชอบตัวหนัง แต่ในแง่ของเรื่องราวในหนัง พวกเขากลับมองว่ามันมี "Symbolic" หรือสัญลักษณ์ทางการนำเสนอมากเกินไป จนทำเอานักวิจารณ์ในกลุ่มนี้แสดงตัวออกมาว่าไม่ชอบหนังเรื่องนี้กันไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปพูดถึงทฤษฎีและการตีความตามความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ขอใช้พื้นที่ย่อหน้าถัดไปเล่าเรื่องย่อคร่าวๆของ “Mother” ให้ทุกท่านได้อ่านกันก่อนแล้วกันครับ

เรื่องราวของ “Mother” เล่าถึงคู่รักคู่หนึ่งที่ได้เข้าไปอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านเก่าๆกลางทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ โดยภายหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านเมื่อครั้งอดีต ทั้งคู่ก็ได้บูรณะตกแต่งบ้านขึ้นมาใหม่พร้อมๆกับการฟูมฟักชีวิตครอบครัวที่กำลังจะไปได้ด้วยดี แต่แล้ววันหนึ่ง ชายผู้เป็นสามีที่เป็นนักเขียนและนักปรัชญาชื่อดังได้รับเอาชายแก่แฟนหนังสือตัวยงของเขาเข้ามาในบ้าน แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป จากชายแก่เพียงคนเดียวมันกลับนำพาคู่รักแปลกหน้าอีกหลายต่อหลายคู่พรั่งพรูเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ จนเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ ด้านภรรยาที่เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่เริ่ม ก็เกิดความรู้สึกเหมือนชีวิตครอบครัวถูกคุกคามจากคนแปลกหน้ามากเกินไป จนเธอเริ่มสงสัยสามีของตนเองถึงความต้องการที่แท้จริงและแรงจูงใจที่ทำให้เขาเชื้อเชิญเหล่าคู่รักนี้เข้ามาในบ้านของตนเอง

เรียกได้ว่าหนังจบแต่ (อารมณ์) คนดูไม่จบจริงๆ สำหรับความรู้สึกหลังชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าถามว่า “Mother” เป็นหนังอาร์ตที่ดูไม่รู้เรื่องหรือไม่ ส่วนตัวมองว่ามันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ผู้ชมไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจในทุกๆฉากที่หนังพูดถึงแม้มันจะมีสัญลักษณ์ที่ผู้กำกับใส่ไว้มากมายก็ตาม ต้องบอกเลยว่าตัวหนังเล่าเรื่องในลักษณะที่เราพอที่จะสนุกไปกับมัน รู้สึกและอึดอัดไปดับตัวละครได้ดีเลย เพียงแต่ความมึนที่เกิดขึ้นในหัวของผมหลังจากดูหนังจบ มันมาจากการจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูกเกี่ยวกับภาพรวมของหนัง โดยเฉพาะตอนจบที่จู่ๆก็พลิกทฤษฎีความน่าจะเป็นที่ผมเดาๆเอาไว้ซะเหวอไปเลย (สปอยด้านล่างๆนะครับ) อย่างไรก็ตาม บรรยากาศและอารมณ์ของหนังที่ทำให้เราอึดอัด ตื่นตาตื่นใจ และชวนสงสัยไปกับหลายๆช่วงของเรื่องราวถือเป็นความโดดเด่นอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้เราอินไปกับตัวละค ซึ่งหากคุณเป็นคอหนังระทุกขวัญอยู่แล้วผมขอแนะนำเลยครับ
.
กลับมาที่การรีวิวกันต่อครับ ในส่วนของการแสดง ผมขอเริ่มต้นด้วยผลงานที่ผมมองว่ามันพีคและยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตการแสดงของ “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์” แล้ว เพราะบทที่เธอได้รับมันมีความดราม่าที่ระเบิดอยู่ภายในอก เกือบครึ่งเรื่องที่เธอต้องแสดงอารมณ์ผ่านทางร่างกายและสายตาตลอด โดยเฉพาะสีหน้าของเธอที่ดูเหมือนไม่คิดอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ลึกๆแล้วมันกลับสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจของเธอที่อยู่ในระดับที่มีความพอดีและลงตัวเป็นที่สุด จนเข้าสู่ฉากระเบิดพลังของตัวเธอ ที่มันไม่ใช่เพียงการแหกปากร้องออกมาเฉยๆหรือเดินดุ่มๆไปทำร้ายคนโน้นคนนี้ให้สะใจ แต่มันเป็นการกรีดร้องที่แฝงไปด้วยความอัดอั้นที่มันล้นจนเต็มอกและยากที่จะอดทนต่อไปได้ สีหน้าแววตาของเธอถูกถ่ายถอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมราวกับถูกจับวางออกมาให้เป็นในแบบที่ตัวละครนั้นสมควรจะเป็น ซึ่งจุดนี้ผมหวังไว้อย่างเต็มเปี่ยมเลยว่า ออสการ์ปีนี้คงไม่มองข้ามผลงานชิ้นนี้ของเธอไปอย่างแน่นอน

เกริ่นและรีวิวแบบหลวมๆ (ที่แทบจะเขียนบรรยายอะไรไม่ได้เลย) เพื่อหลีกสปอยกันมาก็หลายย่อหน้าแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปผมขออนุญาตพูดถึงตัวหนังและการตีความของผมที่มโนขึ้นจากการคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าย่อหน้าหลังจากนี้มันต้อง “สปอยกันระเบิดระเบ้อแน่นอน” ใครยังไม่ได้ชมหนังเรื่องนี้ ผมแนะนำให้หยุดอ่านไว้แค่นี้แล้วกันครับ (หรือใครอยากรู้เรื่องราวก่อนก็อ่านต่อได้ไม่ว่ากันครับ) แต่ก่อนจะไปผมก็ขอฝากเพจรีวิวหนังเล็กๆนี้ไว้ด้วยแล้วกัน (กด like กด share กันได้ในเพจตามลิ้งที่ปรากฎนี้เลย https://www.facebook.com/FeedbackMovies ) สำหรับคนที่ชมมาแล้ว อย่าเสียเวลาเลยครับ ผมจะขอพูดถึงการตีความของผมเลยแล้วกัน... (ใครคิดเห็นยังไงลองคอมเม้นแลกเปลี่ยนกันครับ)
.
หนังเริ่มต้นด้วยการพูดถึง การใช้ชีวิตของสองผัวเมียมันที่แรกเริ่มเดิมทีมันก็ดีอยู่หรอก ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่กันแบบเรียบง่ายเหมือนคู่อื่นๆทั่วไป แต่ลึกๆแล้วด้วยอาชีพการเป็นนักเขียนแนวปรัชญาของผู้เป็นสามีนั่นมันไม่ง่ายเลยที่จะไม่สนใจความสำเร็จ โดยเฉพาะคำชม คำยกย่องและคำเยินยอจากผู้อ่าน ในภาพกว้างๆหนังทำให้เห็นว่าเพียงประโยคไม่กี่ประโยค คำพูดไม่กี่คำพูดที่ผู้เป็นสามีเขียนใส่ลงมาเป็นหนังสือปรัชญาของตนเองนั้นสามารถทำให้ผู้คนยึดถือและตกเป็นทาสมันได้ง่ายกว่าอะไรทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้จากการที่มีชายแก่เลือกที่จะมาใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิตกับนักเขียนที่เขาชื่นชอบและแน่นอนว่าตาแกคนนั้นจะต้องชอบงานเขียนนั้นด้วย จนมาถึงฉากหลังจากที่ผู้เป็นสามีเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ทำให้ผู้อ่านคนอื่นๆต่างคลั่งไคล้ผู้เขียนจนแห่บุกมาหาถึงบ้านกันยกใหญ่ ในทางกลับกันคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ยึดนำปรัชญาที่ทำให้พวกเขาเชื่อและเลื่อมใสมาใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิต จนนำมาซึ่ง การรวมกลุ่มกันของผู้ที่เห็นไปในทางเดียวกัน ทั้งกลุ่มคนประท้วง กลุ่มลัทธิต่างๆ และนำมาซึ่งการก่อจราชน การปะทะกัน หนักเข้า มันกลับลุกลามไปถึงการเกิดสงครามดังที่ในหนังได้นำเสนอออกมา (ซึ่งเป็นไฮไลต์ที่ระเบิดระเบ้อสุดโต่งของหนัง) ส่วนตัวมองว่าหนังต้องการจะสื่อสารถึง “อิทธิพลทางความคิดและคำพูด” ของมนุษย์ ที่แท้จริงแล้วมันอันตรายและน่ากลัวมากกว่าที่เราคิดเสียอีก

พูดถึงบุคคลที่สามและปัจจัยรอบตัวไปแล้ว ถัดมาผมจะขอพูดถึงสองตัวละครหลักกันบ้าง ไหนไก็เริ่มจากเรื่องของผู้เป็นสามีแล้ว ผมเลยขอพูดถึงตัวสามีก่อนแล้วกัน อย่างที่ได้บอกไปว่าอาชีพนักเขียนมักอยู่ได้จากการผลตอบรับของผู้อ่าน ดังนั้นการได้รับคำสรรเสริญเยินยอต่อผลงานยิ่งส่งผลต่อกำลังใจและแรงจูงใจที่จะทำให้เขาอยากจะผลิตผลงานที่ดีขึ้นไปอีก แต่บางครั้งความสำเร็จที่มีมากหรือต้องการมากเกินไปมันอาจหล่อหลอมให้เราเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยก็ได้ ดังจะเห็นจากในภาพยนตร์ที่สามีแม้จะมีความรักโดยส่วนตัวอยู่แล้ว แต่เขากลับไขว่ขว้าและทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพิ่มเติมความรักที่เกิดจากคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด ในมุมกลับกันที่เค้าพยายามอธิบายเหตุผลต่างๆนาๆที่เขา “เป็น/ทำ” ให้ภรรยาฟัง ซึ่งมันยิ่งทำให้รู้สึกว่าความรักที่ภรรยามีไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการของสามีเลยและมันจะไม่มีวันเพียงพอด้วย เราจะเห็นภรรยาเป็นทุกข์อยู่บ่อยๆกับปัญหาตรงนี้ จนถึงระเบิดเวลาที่เธอโพล้งประโยคเด็ดออกไปกับสามีว่า “คุณรักฉัน เพราะว่าฉันรักคุณ” ประโยคสั้นๆนี้สะท้อนอะไรหลายๆอย่างให้เราได้หันไปมองชีวิตรักของเราเองและครุ่นคิดกับความสัมพันธ์ของตนเองได้ดีทีเดียว จากประโยคนั้นมันสื่อความหมายทางอ้อมให้กับผู้เป็นสามีว่า “ความรักที่เกิดจากตัวของเขาเองโดยตรงนั้น แท้จริงแล้วมันแทบไม่มีหรือปรากฎให้เห็นและรับรู้เลย” ยิ่งไปกว่านั้น ในฉากหลังที่ภรรยาคลอดลูก ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความถลำลึกและหลงระเริงไปกับคำเชิดชูและการถูกยอมรับของผู้เป็นสามี จะเห็นได้จากฉากการอยากเอาลูกไปอวดคนอื่นๆทั้งๆที่เด็กเพิ่งคลอด เพียงเพราะอยากได้คำยินดีและเสียงโห่ร้องชื่นชมจนลืมนึกถึงความเหมาะสม ประเด็นนี้จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หนังฝากไว้ให้เห็น ซึ่งนับวันยิ่งพบได้มากขึ้นสังคมเมือง ความอยากได้อยากมี ความอยากให้คนอื่นนับหน้าถือตาจนลืมมองความพอดีถือเป็นโรคติดต่อที่พบได้ทั่วไปแล้วในตอนนี้

ปิดท้ายด้วยตัวละครของผู้เป็นภรรยา ตัวละครที่มีสถานะคล้ายกับผู้ชมอย่างเราๆมากที่สุด เพราะทุกเหตุการณ์ที่หนังพูดถึง ทั้งความงุนงงและความไม่เข้าใจกับสิ่งที่สามีกำลังทำ เหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายในความคิดของผมเช่นเดียวกับเธอ ทั้งนี้ บทบาทเธอเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้หญิงหลายๆคนที่อยากมีครอบครัวที่เป็นส่วนตัว มีช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสามีตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น คือเธอจะมอบความรัก สิ่งดีๆและให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นที่หนึ่งเสมอ มีประเด็นนึงที่ผมไม่มั่นใจว่าเป็นสัญลักษณ์อะไรหรือเปล่า แต่เราจะเห็นว่าเธอต้องรับผิดชอบงานบ้านทั่วไปรวมถึงการฉาบสีฉาบปูนอีก จุดนี้ผมมองว่าหนังกำลังสื่อให้เห็นว่า ปัจจุบัน ผู้หญิงสามารถทำงานในสิ่งที่ผู้ชายทำได้ไม่แพ้กันเลย อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าตัวละครของเธอไม่ได้มีสัญลักษณ์ที่ผู้กำกับต้องการจะสื่ออะไรมากมาย เพียงแต่เป็นตัวละครที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการโยงประเด็นเรื่องราวทั้งหมดของเรื่องเท่านั้น (ซึ่งสำคัญต่อการเล่าเรื่องมาก)

ปิดท้ายด้วยสิ่งที่ทำผมงุนงงที่สุดนั่นก็คือตอนจบของเรื่อง ที่มันเป็นลูปวนกลับมาช่วงเหตุการณ์ไฟไหม้อีก อันนี้แหละ ที่เหวอรุนแรงมาก อะไรคือผู้หญิงคนใหม่บนเตียง แล้วเรื่องแก้วรูปหัวใจที่ผู้เป็นสามีรักนักรักหนา แท้จริงแล้วหนังต้องการตะสื่อว่าเขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรักของคนอื่นใช่มั้ย (อันนี้ไม่แน่ใจ แต่เชื่อแบบนั้น) กลับมานั่งคิดก็ยังคิดไม่ออกจนไม่ขอคิดแล้วกัน แปลสารจากหนังได้ตามความเห็นส่วนตัวที่ได้เขียนข้างต้นแค่นี้แหละครับ (ถูกผิดคงอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วกันครับ)
ชื่อสินค้า:   Mother!
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่