ทริปนี้เป็นทริปตัดสินใจกันล่วงหน้า 2 เดือน ทุกอย่างเกิดขึ้นพรึ่บพรั่บ ซื้อแพคเกจ ตั๋วเครื่องบิน และหาข้อมูลการปีนเขารัวๆ
หลายคนอาจจะบอกว่า 2 เดือนมันเยอะ แต่จริงๆ คนอื่นเค้าจองกัน 6 เดือนถึง 1 ปีล่วงหน้าค่ะ เพราะโอกาสที่จะเต็มมีสูงมาก ทางอุทยานเค้าจำกัดคนขึ้นไม่ให้เกินจำนวนเตียงที่พักข้างบนค่ะ
1. เริ่มจากติดต่อซื้อแพคเกจปีนเขา จองผ่านบริษัทชื่อ Amazing Borneo Tours ซึ่งเป็น sub ของอุทยานอีกที จึงค่อนข้างมั่นใจได้ เราซื้อแพคเกจชื่อ "2D1N MOUNT KINABALU CLIMB WITH FERRATA (WALK THE TORQ)" ขอก้อปรายละเอียดที่รวมในค่าทัวร์มาให้ดูกัน ทั้งหมดนี่ราคา 2,130 RM ต่อคนค่ะ
PACKAGE INCLUDES: Meals:01 Breakfast, 02 Lunches, 01 Dinners & 01 Supper
Includes:Meals as Stated, 01 Night Accommodation, Entrance Fee, Return Hotel Transfer on shared basis (Kota Kinabalu > Kinabalu Park > Kota Kinabalu), Return Transfer (Park HQ - Timpohon Gate - Park HQ), Mountain Guide, Ferrata Trainer, Climbing Insurance, Climbing Permit and Certificates, English Speaking Support Team
Accommodation: 01 Night Pendant Hut (Non-Heated Dormitory)
2. พอได้วันขึ้นเขาแล้ว เราก็จองตั๋วเครื่องบินค่ะ ใช้บริการของ Malaysia Airline ไปต่อเครื่องที่ KL รวมเวลาเดินทาง 6 ชม. ราคาตั๋ว 8,700 บาท
3. จองโรงแรมในเมือง Kota Kinabalu เราไม่พักแถวๆอุทยานเพราะสู้ราคาไม่ไหว อีกทั้งแพคเกจทัวร์ที่เราซื้อ รวมราคารับส่งจากโรงแรมและอุทยานไว้แล้ว
..ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เราไปถึงค่ำๆ เที่ยวในเมือง 1 วัน สำรวจ Landmark และไปชิมเมนูขึ้นชื่อทั้งซีฟู้ด บะกุดเต๋ ชานม สะเต้ะ ก๋วยเตี๋ยวสไตล์อินโดกันไปตามเรื่อง
เช้าวันถัดมา เราก็ตื่นมาตีสี่ ผลัดกันอาบน้ำสระผม คือกะอาบให้สะอาดเอี่ยมไปเลยเพราะจากนี้คงไม่ได้อาบจนลงเขา 6:30 ตรงเป้ะรถมารับไปที่อุทยานคินาบาลู ใช้เวลา 2 ชม. เป็นทางขึ้นเขาค่ะ รถบัสคันใหญ่มีคนมาจากหลายๆโรงแรมมารวมกัน -- ไปถึงก็ register เจอกับไกด์ชื่อ Therence ซึ่งต่อมากลายเป็น superhero ของเราในทริป แทบทุกคนโดนนางหิ้วปีกมาแล้ว อุทยานที่นี่จำกัดจำนวนคนขึ้น เราใช้บริการลูกหาบค่ะ 10 kg 130 RM ไปกันสามคนแพครวมไปเลย เอาไปเท่าที่จำเป็น เสื้อผ้าหนึ่งชุด อุปกรณ์ล้างหน้า และเสื้อกันหนาวตัวหนาเอาไว้ใช้พรุ่งนี้บนยอดเขา ส่วนพวกของใช้ระหว่างทางเช่น น้ำ ขนม เสื้อกันฝน แบกเองค่ะเพราะลูกหาบเค้าเดินไปก่อนเราค่ะ ..สำหรับเรา trekking pole และถุงมือสำคัญมากค่ะช่วยได้เยอะเลย
หลังจากรับบัตรอนุญาต เราเริ่มเดินกันประมาณ 9:40 ฝนพรำลงมาเป็นระยะก็ใส่หมวก จนหนักขึ้นๆ ต้องใส่เสื้อกันฝน วันนี้เราต้องเดิน 6 กม. ไปที่ based camp เป็นการเดินที่แต่ละกม. ใช้เวลานานที่สุดเท่าที่เคยทำมา .. ออกตัวก่อนว่าเป็นคนออกกำลังคาดิโอทุกวันๆละ 30 นาที และโยคะวันละ 1 ชม. -- เส้นทางไม่มีง่าย ทางราบมีไม่เกิน 5 เมตร นอกนั้นเป็นผา บันได และเนินหิน ทุกๆ 1-1.5 กม. จะมีจุดพักและห้องน้ำ เราก็ไม่พลาดที่จะแวะมันทุกจุด จิบน้ำ กินขนมเป็นระยะเติมพลังงาน ทริปนี้เราแยกเดินตาม speed ของแต่ละคน เพราะถ้าฝืนตามกันจะบาดเจ็บเอา บางจุดเดินได้ 5 ก้าวต้องหยุดพัก โดยไกด์จะอยู่กับคนสุดท้ายเสมอ
นี่เป็นภาพช่วงกิโลเมตรแรกๆ ค่ะ
1 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึง based camp ฝนตกหนักมาก เส้นทางเลยกลายเป็นผาน้ำตก เหนื่อยและล้าแต่ไม่รู้แรงมาจากไหนเราเดินเร็วมาก แซงลูกหาบ แซงพี่แขกที่ขายาวมาก จ้ำเพื่อให้พ้นๆ ทางเดินน้ำตกนี่ซักที ทั้งหนาว ทั้งเปียก และสุดท้ายน้ำก็เข้ารองเท้าจ้า ทั้งๆที่รองเท้าเรา water proof เปียกชุ่มแบบถ้าเอาถุงเท้ามาบิดคงได้น้ำเต็มแก้ว นึกในใจตายๆ พรุ่งนี้ทำไงวะ เจอพี่ชาวมาเลวิ่งหนีน้ำตกชะตากรรมเดียวกัน เราถาม "how ya doing?" พี่ตอบ "not good" เราก็ตอบกลับ "me too" พร้อมโกยไต่น้ำตกไปด้วยกัน ..และแล้วเราก็ถึง based camp 15:30 น. High Five กับพี่คนนั้นแม้สภาพจะดูไม่ได้ ฝนยังคงตกอย่างโหดร้าย ลืมการถ่ายรูปสนามวอลเลย์บอลไปซะเถอะ
นี่เป็นรูปก่อนที่น้ำฝนจะทะลัก ท่วมทางเดินจนเป็นน้ำตก เหลือแค่ยอดหินสูงๆ ให้เราเกาะเกี่ยว จากนั้นคือฟ้ารั่วค่ะ ไม่กล้าหยิบกล้องมาถ่ายละ
พอถึงที่พักเตียงถูกจับจองไปเกือบหมดแล้ว เรานอนรวมกับสามีภรรยาฝรั่ง และฝรั่งพ่อลูกสอง ที่พักเป็นห้องนอนและห้องน้ำรวม เตียงไหนว่างก็นอนได้ ห้องนึงนอนได้ 8 คน ห้องน้ำไม่มีน้ำอุ่นนะคะ วางของบนเตียงได้แพ้บนึง เจ้าหน้าที่ก็เรียกไปฟังบรีฟการปีนเขาและซ้อม walk the torq พร้อม sign document ว่าถ้าตกเขาตายจะไม่ฟ้องร้องใคร ทุกคนต้องฟังและซ้อมค่ะ ไม่งั้นก็ไม่สามารถเดิน walk the torq ได้ ..จากนั้นก็ต้องเดินไปทานข้าว ทางเดินจากที่พักไปประมาณ 5 นาทีฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง
ภาพการซ้อม
ภาพห้องอาหาร อาหารก็ดีนะคะ มีสลัด พอร์คชอป เนื้อวัว ไก่ย่าง ผัดมาม่า ข้าวผัด ผลไม้ แต่เราก็ทานๆไปให้มันพ้นๆ เพราะเหนื่อยมาก ไม่กล้าทานเยอะด้วย กลัวจุก
ที่พักไม่มีน้ำอุ่น อุณหภูมิ 15-16 องศา เพราะงั้นคืนนี้ก็ล้างหน้า นอนเลยทั้งๆที่หัวยังชื้นๆ บางคนเช็ดตัว แต่เราไม่เอาละ กินยาคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็เข้านอนตั้งแต่ 19:00 หลับจริง 21:00 หลับยากเพราะแปลกที่ อากาศมันชื้นๆพิลึก เขาจะมีหมอนและถุงนอนไว้ให้ค่ะไม่ต้องเตรียมไปนะคะ
เช้าวันที่ 19 ตื่นมาล้างหน้าตอนตีหนึ่ง สภาพร่างกายยังฟิตดีแต่ตื่นไวเพราะฝรั่งเตียงข้างๆทั้งกรนและตดตลอดคืน ล้างหน้ากินอะไรรองท้อง มีกาแฟ ขนมปัง แยม เนยถั่ว เนย รองเท้ายังคงเปียกชุ่ม แต่ ณ จุดนี้ต้องลืมๆเรื่องเท้าไป ไกด์ของทุกคนมารอรับหน้าบ้านและออกเดินกัน 2:30 วันนี้ต้องเดินเยอะมาก ระยะทางไป Low's Peak (จุดที่สูงสุดในประเทศ) คือ 2 กม.นิดๆ ทุกคนต้องใส่ไฟฉายที่หัว มืดมากเห็นแค่ทางสำหรับ 1 ก้าวต่อไปนอกนั้นไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ข้างๆหรือวิวเป็นยังไง มองขึ้นไปเห็นดาวสวยและใกล้มาก แต่เนื่องจากไม่เคลียร์มากพอ เลยไม่เห็นทางช้างเผือก ก็ยังดีวะมีดาวเป็นเพื่อน ..แรกๆ ทางเดินเป็นบันไดไม้ที่ชันมาก และมีทางหินชันประมาณ 50-60 องศา เราเริ่มหายใจยาก ก้าวออกไปได้ทีละ 10 ซม. ต้องใช้มือโหนเชือกใช้แรงแขน ขา แกนกลางลำตัวหนักหน่วงมาก พยายามหายใจช้าๆ แวะกินชอกโกแลตเอาน้ำตาลเข้าเลือดบ้าง เท้าก็ยังคงเปียกเย็นเฉียบ อุณหภูมิน่าจะเป็นเลขตัวเดียวค่ะ ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก นี่คงเป็นอาการขาดออกซิเจนสินะ เลยไม่มีอารมณ์ชักภาพเลย เราพยายามหาทางที่มีแง่งหินจะได้เดินง่ายๆ จนรู้ตัวอีกทีเตลิดออกนอก track ไกด์รีบตะโกนบอกให้ "stay with the rope" เราเห็นเชือกอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร แต่มันชันมาก ถ้าเดินกลับไปคงไถลแน่ๆ เราก็บอกว่ากลับไปที่เชือกไม่ไหวแล้ว ไกด์พุ่งมาหาและคว้าแขนเราลากกลับไปที่เชือกอย่างเร็ว ความรู้สึกเหมือนลอยได้ พร้อมถามไกด์เบาๆว่า "can you keep carrying me like this?" ไกด์ตอบดังฟังชัด "โนววว"
6:00 น. เราถึงบริเวณ summit อาการขาดออกซิเจนหายไปแล้ว สดชื่น หายใจสบาย ลืมเท้าที่เปียกจนแข็งไปแล้ว พอมองขึ้นไปรอบๆแล้ว เฮ้ย บนยอด low's peak คนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ บางคนเริ่มเดินลงละ นี่เรามาช้าขนาดที่ 90% แทบจะอยู่บนนั้นหมดแล้วเหรอ เราบอกไกด์ว่าขอรอตรงนี้ นี่ก็สวยมากแล้ว ไกด์ก็บอกว่ามันจะถึงละนะ คือเข้าใจว่ามันไม่ไกล แต่ความชันมันทำร้ายจิตใจ ณ จุดนั้นไม่มีทางเดินง่ายๆเหลือแล้ว ต้องปีน และโหนตัวขึ้นไป จนในที่สุดไต่ไปๆ มันก็ไปถึงยอด low's peak จนได้ บนนั้นสวยจนลืมความเหน็ดเหนื่อยทุกอย่าง สวยจนลืมหายใจมีอยู่จริงๆ
รูปหลังจากฟ้าเริ่มสาง เส้นทางไป Low's Peak ของเรา
เจ้ายอดแหลมๆ นั่นคือ South Peak ค่ะ ดูจะเป็น Highlight แต่ไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดนะคะ South Peak จะปรากฎบนธนบัตร 1 ริงกิตรุ่นเก่า และธนบัตร 100 ริงกิตค่ะ ไกด์เราเรียกว่า Money Peak
อันนี้คือตัวอย่างทางที่ต้องไต่ด้วยเชือกขึ้นไป Low's Peak ค่ะ ถุงมือจำเป็นนะคะ ไม่งั้นอาจจะถลอก มีจุดที่ต้องโหนตัวขึ้นลง 3-4 ครั้งโดยประมาณค่ะ
7:30 เราเริ่มเดินลงกลับไปที่ based camp เรายกเลิก walk the torq ไปเพราะรู้ตัวว่าไม่ไหว เดินลงไปถึง 10:20 ระหว่างทางลง ความรู้สึกคือเฮ้ย นี่คือทางที่ตรูปีนขึ้นไปเมื่อตอนมืดๆเหรอวะ คือมันชันและโหดร้ายมาก นี่เราเดินไปได้ยังไง แต่ก็พบว่าการโหนตัวลงด้วยเชือกเป็นความฟินของเรามากที่สุดในทริปนี้ มันช่างสนุกตื่นเต้นดี แต่การเดินลงมีความทรมานคือ ปวดเข่า และนิ้วเท้าเริ่มเจ็บมากขึ้นๆ เพราะนิ้วโป้งจะเริ่มไปชนกับรองเท้า โอยยยย
นี่คือทางที่เราถูกหิ้วปีก
รูประหว่างทางกลับค่ะ มันช่างสวยงาม และตกใจไปพร้อมๆกันว่า นี่คือที่เราเดินมาตอนมืดๆเหรอเนี่ย จำไม่ได้เลย แหงล่ะ ก็ตอนนั้นมันมองไม่เห็น
11:30 หลังจากเก็บของ กินข้าว เราก็พร้อมเดินลงเขา 6 กม. ไกด์บอกปกติใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ในการลง เราก็เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ที่นี่มีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงหลายพันธุ์ค่ะ ใหญ่กว่าที่เคยเห็นที่บ้านเล็กน้อย
บ่ายสองฝนมาตรงเวลาพร้อมกับอาการขาสั่น ต้องเอียงตัวเอาขาลงทีละข้างเวลาเจอบันได และบ่ายสองแล้วแต่เราพึ่งเดินมาได้ครึ่งทาง เพราะฉะนั้นที่ไกด์บอกว่า 4 ชม. ลืมไปเถอะ ชั้นมีสถิติใหม่เป็นของตนเอง เพราะชั้นซัดไป 6 ชม.เบาๆ ณ จุดนั้นคือถ้าหยุดพัก ขาจะสั่นและปวดกว่าเดิม เลยต้องเดินๆ อย่าหยุด แรกๆก็ร้องเพลงตลอดทาง งัดออกมาตั้งแต่ลิฟท์-ออย ไปจนถึง จัสติน บีเบอร์ เพื่อให้ลืมความเจ็บปวด .. 2 กม. สุดท้ายอะไรก็เอาไม่อยู่ ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดและเดินต่อไปเงียบๆ
17:10 ในที่สุดก็เห็นจุดหมาย เห็นบันไดขึ้นออฟฟิศแล้วคำพูดแรกที่พูดกับตัวเองคือ "บันไดอะไรสูงเป็นบร้า" ทำร้ายจิตใจนักท่องเที่ยวยิ่งนัก จากนั้นเราก็ต้องไปเช็คชื่อว่ายังไม่ตายกับอุทยาน สมาชิกทยอยตามกันมา สบตากันเบาๆ high five กับไกด์ เพื่อฉลองที่กลับมาโดยที่ขายังอยู่ดี ..ระหว่างนั่งรถตู้กลับมาโรงแรมก็หลับตลอดทาง 2 ชม.
ความยิ่งใหญ่ของทริปนี้คือ ความ positive ในความยากลำบาก เวลาลื่นแล้วหัวเราะขำตัวเอง เวลาเจ็บแล้วร้องเพลง ถึงเหนื่อยแค่ไหนแต่ใจรู้ว่าเราไหวและทุกสิ่งยังคงสนุก แม้กระทั่งทางเดินน้ำตกก็ยังสวยงาม อีกอย่างคือการได้ร่วมทริปกับเพื่อน โดยที่ไม่มีใครบ่นหรือหงุดหงิดเลย ทุกคนสุดยอดมาก
..แต่ถ้าถามว่าจะไปอีกไหม ตอบเลยว่า "ไม่"
หวังว่ารีวิวจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
[CR] Climbing to the Top of Malaysia, Mount Kinabalu
หลายคนอาจจะบอกว่า 2 เดือนมันเยอะ แต่จริงๆ คนอื่นเค้าจองกัน 6 เดือนถึง 1 ปีล่วงหน้าค่ะ เพราะโอกาสที่จะเต็มมีสูงมาก ทางอุทยานเค้าจำกัดคนขึ้นไม่ให้เกินจำนวนเตียงที่พักข้างบนค่ะ
1. เริ่มจากติดต่อซื้อแพคเกจปีนเขา จองผ่านบริษัทชื่อ Amazing Borneo Tours ซึ่งเป็น sub ของอุทยานอีกที จึงค่อนข้างมั่นใจได้ เราซื้อแพคเกจชื่อ "2D1N MOUNT KINABALU CLIMB WITH FERRATA (WALK THE TORQ)" ขอก้อปรายละเอียดที่รวมในค่าทัวร์มาให้ดูกัน ทั้งหมดนี่ราคา 2,130 RM ต่อคนค่ะ
PACKAGE INCLUDES: Meals:01 Breakfast, 02 Lunches, 01 Dinners & 01 Supper
Includes:Meals as Stated, 01 Night Accommodation, Entrance Fee, Return Hotel Transfer on shared basis (Kota Kinabalu > Kinabalu Park > Kota Kinabalu), Return Transfer (Park HQ - Timpohon Gate - Park HQ), Mountain Guide, Ferrata Trainer, Climbing Insurance, Climbing Permit and Certificates, English Speaking Support Team
Accommodation: 01 Night Pendant Hut (Non-Heated Dormitory)
2. พอได้วันขึ้นเขาแล้ว เราก็จองตั๋วเครื่องบินค่ะ ใช้บริการของ Malaysia Airline ไปต่อเครื่องที่ KL รวมเวลาเดินทาง 6 ชม. ราคาตั๋ว 8,700 บาท
3. จองโรงแรมในเมือง Kota Kinabalu เราไม่พักแถวๆอุทยานเพราะสู้ราคาไม่ไหว อีกทั้งแพคเกจทัวร์ที่เราซื้อ รวมราคารับส่งจากโรงแรมและอุทยานไว้แล้ว
..ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เราไปถึงค่ำๆ เที่ยวในเมือง 1 วัน สำรวจ Landmark และไปชิมเมนูขึ้นชื่อทั้งซีฟู้ด บะกุดเต๋ ชานม สะเต้ะ ก๋วยเตี๋ยวสไตล์อินโดกันไปตามเรื่อง
เช้าวันถัดมา เราก็ตื่นมาตีสี่ ผลัดกันอาบน้ำสระผม คือกะอาบให้สะอาดเอี่ยมไปเลยเพราะจากนี้คงไม่ได้อาบจนลงเขา 6:30 ตรงเป้ะรถมารับไปที่อุทยานคินาบาลู ใช้เวลา 2 ชม. เป็นทางขึ้นเขาค่ะ รถบัสคันใหญ่มีคนมาจากหลายๆโรงแรมมารวมกัน -- ไปถึงก็ register เจอกับไกด์ชื่อ Therence ซึ่งต่อมากลายเป็น superhero ของเราในทริป แทบทุกคนโดนนางหิ้วปีกมาแล้ว อุทยานที่นี่จำกัดจำนวนคนขึ้น เราใช้บริการลูกหาบค่ะ 10 kg 130 RM ไปกันสามคนแพครวมไปเลย เอาไปเท่าที่จำเป็น เสื้อผ้าหนึ่งชุด อุปกรณ์ล้างหน้า และเสื้อกันหนาวตัวหนาเอาไว้ใช้พรุ่งนี้บนยอดเขา ส่วนพวกของใช้ระหว่างทางเช่น น้ำ ขนม เสื้อกันฝน แบกเองค่ะเพราะลูกหาบเค้าเดินไปก่อนเราค่ะ ..สำหรับเรา trekking pole และถุงมือสำคัญมากค่ะช่วยได้เยอะเลย
หลังจากรับบัตรอนุญาต เราเริ่มเดินกันประมาณ 9:40 ฝนพรำลงมาเป็นระยะก็ใส่หมวก จนหนักขึ้นๆ ต้องใส่เสื้อกันฝน วันนี้เราต้องเดิน 6 กม. ไปที่ based camp เป็นการเดินที่แต่ละกม. ใช้เวลานานที่สุดเท่าที่เคยทำมา .. ออกตัวก่อนว่าเป็นคนออกกำลังคาดิโอทุกวันๆละ 30 นาที และโยคะวันละ 1 ชม. -- เส้นทางไม่มีง่าย ทางราบมีไม่เกิน 5 เมตร นอกนั้นเป็นผา บันได และเนินหิน ทุกๆ 1-1.5 กม. จะมีจุดพักและห้องน้ำ เราก็ไม่พลาดที่จะแวะมันทุกจุด จิบน้ำ กินขนมเป็นระยะเติมพลังงาน ทริปนี้เราแยกเดินตาม speed ของแต่ละคน เพราะถ้าฝืนตามกันจะบาดเจ็บเอา บางจุดเดินได้ 5 ก้าวต้องหยุดพัก โดยไกด์จะอยู่กับคนสุดท้ายเสมอ
นี่เป็นภาพช่วงกิโลเมตรแรกๆ ค่ะ
1 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึง based camp ฝนตกหนักมาก เส้นทางเลยกลายเป็นผาน้ำตก เหนื่อยและล้าแต่ไม่รู้แรงมาจากไหนเราเดินเร็วมาก แซงลูกหาบ แซงพี่แขกที่ขายาวมาก จ้ำเพื่อให้พ้นๆ ทางเดินน้ำตกนี่ซักที ทั้งหนาว ทั้งเปียก และสุดท้ายน้ำก็เข้ารองเท้าจ้า ทั้งๆที่รองเท้าเรา water proof เปียกชุ่มแบบถ้าเอาถุงเท้ามาบิดคงได้น้ำเต็มแก้ว นึกในใจตายๆ พรุ่งนี้ทำไงวะ เจอพี่ชาวมาเลวิ่งหนีน้ำตกชะตากรรมเดียวกัน เราถาม "how ya doing?" พี่ตอบ "not good" เราก็ตอบกลับ "me too" พร้อมโกยไต่น้ำตกไปด้วยกัน ..และแล้วเราก็ถึง based camp 15:30 น. High Five กับพี่คนนั้นแม้สภาพจะดูไม่ได้ ฝนยังคงตกอย่างโหดร้าย ลืมการถ่ายรูปสนามวอลเลย์บอลไปซะเถอะ
นี่เป็นรูปก่อนที่น้ำฝนจะทะลัก ท่วมทางเดินจนเป็นน้ำตก เหลือแค่ยอดหินสูงๆ ให้เราเกาะเกี่ยว จากนั้นคือฟ้ารั่วค่ะ ไม่กล้าหยิบกล้องมาถ่ายละ
พอถึงที่พักเตียงถูกจับจองไปเกือบหมดแล้ว เรานอนรวมกับสามีภรรยาฝรั่ง และฝรั่งพ่อลูกสอง ที่พักเป็นห้องนอนและห้องน้ำรวม เตียงไหนว่างก็นอนได้ ห้องนึงนอนได้ 8 คน ห้องน้ำไม่มีน้ำอุ่นนะคะ วางของบนเตียงได้แพ้บนึง เจ้าหน้าที่ก็เรียกไปฟังบรีฟการปีนเขาและซ้อม walk the torq พร้อม sign document ว่าถ้าตกเขาตายจะไม่ฟ้องร้องใคร ทุกคนต้องฟังและซ้อมค่ะ ไม่งั้นก็ไม่สามารถเดิน walk the torq ได้ ..จากนั้นก็ต้องเดินไปทานข้าว ทางเดินจากที่พักไปประมาณ 5 นาทีฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง
ภาพการซ้อม
ภาพห้องอาหาร อาหารก็ดีนะคะ มีสลัด พอร์คชอป เนื้อวัว ไก่ย่าง ผัดมาม่า ข้าวผัด ผลไม้ แต่เราก็ทานๆไปให้มันพ้นๆ เพราะเหนื่อยมาก ไม่กล้าทานเยอะด้วย กลัวจุก
ที่พักไม่มีน้ำอุ่น อุณหภูมิ 15-16 องศา เพราะงั้นคืนนี้ก็ล้างหน้า นอนเลยทั้งๆที่หัวยังชื้นๆ บางคนเช็ดตัว แต่เราไม่เอาละ กินยาคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็เข้านอนตั้งแต่ 19:00 หลับจริง 21:00 หลับยากเพราะแปลกที่ อากาศมันชื้นๆพิลึก เขาจะมีหมอนและถุงนอนไว้ให้ค่ะไม่ต้องเตรียมไปนะคะ
เช้าวันที่ 19 ตื่นมาล้างหน้าตอนตีหนึ่ง สภาพร่างกายยังฟิตดีแต่ตื่นไวเพราะฝรั่งเตียงข้างๆทั้งกรนและตดตลอดคืน ล้างหน้ากินอะไรรองท้อง มีกาแฟ ขนมปัง แยม เนยถั่ว เนย รองเท้ายังคงเปียกชุ่ม แต่ ณ จุดนี้ต้องลืมๆเรื่องเท้าไป ไกด์ของทุกคนมารอรับหน้าบ้านและออกเดินกัน 2:30 วันนี้ต้องเดินเยอะมาก ระยะทางไป Low's Peak (จุดที่สูงสุดในประเทศ) คือ 2 กม.นิดๆ ทุกคนต้องใส่ไฟฉายที่หัว มืดมากเห็นแค่ทางสำหรับ 1 ก้าวต่อไปนอกนั้นไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ข้างๆหรือวิวเป็นยังไง มองขึ้นไปเห็นดาวสวยและใกล้มาก แต่เนื่องจากไม่เคลียร์มากพอ เลยไม่เห็นทางช้างเผือก ก็ยังดีวะมีดาวเป็นเพื่อน ..แรกๆ ทางเดินเป็นบันไดไม้ที่ชันมาก และมีทางหินชันประมาณ 50-60 องศา เราเริ่มหายใจยาก ก้าวออกไปได้ทีละ 10 ซม. ต้องใช้มือโหนเชือกใช้แรงแขน ขา แกนกลางลำตัวหนักหน่วงมาก พยายามหายใจช้าๆ แวะกินชอกโกแลตเอาน้ำตาลเข้าเลือดบ้าง เท้าก็ยังคงเปียกเย็นเฉียบ อุณหภูมิน่าจะเป็นเลขตัวเดียวค่ะ ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก นี่คงเป็นอาการขาดออกซิเจนสินะ เลยไม่มีอารมณ์ชักภาพเลย เราพยายามหาทางที่มีแง่งหินจะได้เดินง่ายๆ จนรู้ตัวอีกทีเตลิดออกนอก track ไกด์รีบตะโกนบอกให้ "stay with the rope" เราเห็นเชือกอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร แต่มันชันมาก ถ้าเดินกลับไปคงไถลแน่ๆ เราก็บอกว่ากลับไปที่เชือกไม่ไหวแล้ว ไกด์พุ่งมาหาและคว้าแขนเราลากกลับไปที่เชือกอย่างเร็ว ความรู้สึกเหมือนลอยได้ พร้อมถามไกด์เบาๆว่า "can you keep carrying me like this?" ไกด์ตอบดังฟังชัด "โนววว"
6:00 น. เราถึงบริเวณ summit อาการขาดออกซิเจนหายไปแล้ว สดชื่น หายใจสบาย ลืมเท้าที่เปียกจนแข็งไปแล้ว พอมองขึ้นไปรอบๆแล้ว เฮ้ย บนยอด low's peak คนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ บางคนเริ่มเดินลงละ นี่เรามาช้าขนาดที่ 90% แทบจะอยู่บนนั้นหมดแล้วเหรอ เราบอกไกด์ว่าขอรอตรงนี้ นี่ก็สวยมากแล้ว ไกด์ก็บอกว่ามันจะถึงละนะ คือเข้าใจว่ามันไม่ไกล แต่ความชันมันทำร้ายจิตใจ ณ จุดนั้นไม่มีทางเดินง่ายๆเหลือแล้ว ต้องปีน และโหนตัวขึ้นไป จนในที่สุดไต่ไปๆ มันก็ไปถึงยอด low's peak จนได้ บนนั้นสวยจนลืมความเหน็ดเหนื่อยทุกอย่าง สวยจนลืมหายใจมีอยู่จริงๆ
รูปหลังจากฟ้าเริ่มสาง เส้นทางไป Low's Peak ของเรา
เจ้ายอดแหลมๆ นั่นคือ South Peak ค่ะ ดูจะเป็น Highlight แต่ไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดนะคะ South Peak จะปรากฎบนธนบัตร 1 ริงกิตรุ่นเก่า และธนบัตร 100 ริงกิตค่ะ ไกด์เราเรียกว่า Money Peak
อันนี้คือตัวอย่างทางที่ต้องไต่ด้วยเชือกขึ้นไป Low's Peak ค่ะ ถุงมือจำเป็นนะคะ ไม่งั้นอาจจะถลอก มีจุดที่ต้องโหนตัวขึ้นลง 3-4 ครั้งโดยประมาณค่ะ
7:30 เราเริ่มเดินลงกลับไปที่ based camp เรายกเลิก walk the torq ไปเพราะรู้ตัวว่าไม่ไหว เดินลงไปถึง 10:20 ระหว่างทางลง ความรู้สึกคือเฮ้ย นี่คือทางที่ตรูปีนขึ้นไปเมื่อตอนมืดๆเหรอวะ คือมันชันและโหดร้ายมาก นี่เราเดินไปได้ยังไง แต่ก็พบว่าการโหนตัวลงด้วยเชือกเป็นความฟินของเรามากที่สุดในทริปนี้ มันช่างสนุกตื่นเต้นดี แต่การเดินลงมีความทรมานคือ ปวดเข่า และนิ้วเท้าเริ่มเจ็บมากขึ้นๆ เพราะนิ้วโป้งจะเริ่มไปชนกับรองเท้า โอยยยย
นี่คือทางที่เราถูกหิ้วปีก
รูประหว่างทางกลับค่ะ มันช่างสวยงาม และตกใจไปพร้อมๆกันว่า นี่คือที่เราเดินมาตอนมืดๆเหรอเนี่ย จำไม่ได้เลย แหงล่ะ ก็ตอนนั้นมันมองไม่เห็น
11:30 หลังจากเก็บของ กินข้าว เราก็พร้อมเดินลงเขา 6 กม. ไกด์บอกปกติใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ในการลง เราก็เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ที่นี่มีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงหลายพันธุ์ค่ะ ใหญ่กว่าที่เคยเห็นที่บ้านเล็กน้อย
บ่ายสองฝนมาตรงเวลาพร้อมกับอาการขาสั่น ต้องเอียงตัวเอาขาลงทีละข้างเวลาเจอบันได และบ่ายสองแล้วแต่เราพึ่งเดินมาได้ครึ่งทาง เพราะฉะนั้นที่ไกด์บอกว่า 4 ชม. ลืมไปเถอะ ชั้นมีสถิติใหม่เป็นของตนเอง เพราะชั้นซัดไป 6 ชม.เบาๆ ณ จุดนั้นคือถ้าหยุดพัก ขาจะสั่นและปวดกว่าเดิม เลยต้องเดินๆ อย่าหยุด แรกๆก็ร้องเพลงตลอดทาง งัดออกมาตั้งแต่ลิฟท์-ออย ไปจนถึง จัสติน บีเบอร์ เพื่อให้ลืมความเจ็บปวด .. 2 กม. สุดท้ายอะไรก็เอาไม่อยู่ ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดและเดินต่อไปเงียบๆ
17:10 ในที่สุดก็เห็นจุดหมาย เห็นบันไดขึ้นออฟฟิศแล้วคำพูดแรกที่พูดกับตัวเองคือ "บันไดอะไรสูงเป็นบร้า" ทำร้ายจิตใจนักท่องเที่ยวยิ่งนัก จากนั้นเราก็ต้องไปเช็คชื่อว่ายังไม่ตายกับอุทยาน สมาชิกทยอยตามกันมา สบตากันเบาๆ high five กับไกด์ เพื่อฉลองที่กลับมาโดยที่ขายังอยู่ดี ..ระหว่างนั่งรถตู้กลับมาโรงแรมก็หลับตลอดทาง 2 ชม.
ความยิ่งใหญ่ของทริปนี้คือ ความ positive ในความยากลำบาก เวลาลื่นแล้วหัวเราะขำตัวเอง เวลาเจ็บแล้วร้องเพลง ถึงเหนื่อยแค่ไหนแต่ใจรู้ว่าเราไหวและทุกสิ่งยังคงสนุก แม้กระทั่งทางเดินน้ำตกก็ยังสวยงาม อีกอย่างคือการได้ร่วมทริปกับเพื่อน โดยที่ไม่มีใครบ่นหรือหงุดหงิดเลย ทุกคนสุดยอดมาก
..แต่ถ้าถามว่าจะไปอีกไหม ตอบเลยว่า "ไม่"
หวังว่ารีวิวจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ