Mother!
Director : Darren Aronofsky
เป็นหนังที่ถูกจับตามองทันทีตั้งแต่รู้ชื่อ ผกก. และนักแสดงนำ แถมยังมีการโปรโมทที่ดูแสนจะลึกลับ ทั้งตัว Thriller ที่ดูไม่ออกว่าหนังจะเป็นแนวไหนหรือเล่าเรื่องอะไร และใบปิดหนังที่แอบซ่อนความลับต่างๆ ที่ทำเอาคนที่ติดตามต้องตกใจและทึ่ง(เราก็เป็นหนึ่งในนั้น) จนวันนี้ได้เข้าโรงในบ้านเราซะทีเลยต้องไม่พลาด
Mother! เล่าเรื่องผัวเมียคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านที่แสนสวยและสงบเงียบ โดยมีสามี (Javier Bardem) นักเขียนชื่อดังที่กำลังเจอปัญหาไม่สามารถคิดงานใหม่ๆ ได้ และภรรยา (Jennifer Lawrence) ทำหน้าที่ดูแลสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน รวมถึงการค่อยๆ "สร้าง" บ้านหลังนี้ให้แล้วเสร็จ แต่แล้วความสุขและสงบก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อ ชายแปลกหน้า (Ed Harris) ได้มาเยื่ิอน และมาร่วมอาศัยจากการเชื้อเชิญของสามี เพียงข้ามคืน หญิงแปลกหน้า (Michelle Pfeiffer) ก็ได้โผล่ที่บ้านและบอกว่าเธอเป็นภรรยาของชายแปลกหน้าก่อนหน้านี้ ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกเชื้อเชิญให้มาอยู่ร่วมกัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มของเหตุการณ์แปลกประหลาด จนนำไปสู่ความคลุ้มคลั่ง และสุดแสนจะอธิบายได้....หากไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง
"อึดอัดมากกกกก" คงเป็นความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ก็เตรียมใจมาพอสมควรแล้ว เพราะก็เคยดูผลงานของ ผกก. คนนี้มา ( Requiem for a Dream ทำเอาเราสลดไปหลายวันเลย) แต่พอถึงเวลาก็รู้สึกว่าที่เตรียมมาไม่พอซะแล้ว
ประเด็นแรกเรื่องการถ่ายทำ Darren Aronofsky เลือกใช้มุมกล้องที่แคบมากๆ (ถ่ายผ่านไหล่ Jennifer Lawrence โดยใช้วิธีถือกล้องเดินตาม) ซึ่งมันทำให้จำกัดการมองเห็นของคนดูสร้างความอึดอัด ความไม่ไว้ใจ ไม่สบายใจ หรือระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนดูจะต้องอยู่ในภาวะนี้ตลอดทั้งเรื่องไปจนจบ ซึ่งสร้างความหนักให้กับคนดูอย่างเราพอสมควรเลย
และในมุมเนื้อหา(ก่อนตีความ) ก็พบว่า Darren Aronofsky พยายามเล่นกับความไม่สบายใจหรือสนิทใจกับจิตใต้สำนึกเรามากๆ การที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนโดนคุกคามทั้งในมุม การเข้ามาคุกคามในพื้นที่ส่วนตัวผ่านทางตัวบ้านและห้องต่างๆ หรือการคุกคามทางคำพูดการกระทำ ที่สร้างความไม่สบายใจหรือรังเกียจให้กับคนดูอย่างเราๆ ประกอบกับมุมกล้องเดินตามที่แคบทำให้เรารู้สึกอินไปกับสิ่งที่ตัวละครต้องเจอ อันนี้หากว่าไปก็คือความสำเร็จของ ผกก. ที่ทำให้คนดูรู้สึกรวมได้มากจริง (ส่วนตัว Admin เองอินมาก ขนาดซื้อขนมเข้าไปกิน จนหนังจบไม่ได้แตะขนมเลยคือมันไม่อยากขยับตัวเลยตอนดู)
และในแง่การตีความในเนื้อหา อันนี้ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าส่วนตัวไม่ได้มีความรู้เรื่อง ศาสนาคริสต์มากเลยอาจจะทำให้การตีความได้ไม่เต็มที่ เพราะด้วยสิ่งที่ Darren Aronofsky ใส่เข้ามามันอาจจะดูค่อนข้างชัดว่าเล่นประเด็นเรื่องนี้ โดยมีการวางตัวละครหลักที่สามารถคิดและต่อยอดได้
เรามองว่า ผกก. แทนตัวบ้านหลังนี้เป็น "โลก" ที่มีภรรยา (Jennifer Lawrence) คือเป็นผู้สร้าง หรือผู้ให้กำเนิน "มารดา" ซึ่งในช่วงท้ายเรื่องก็เป็นผู้ให้กำเนิด ในอีกความหมายหนึ่ง และมี สามี (Javier Bardem) เป็นเหมือนดัง "พระเจ้า" ผู้มอบโลกให้มารดา และเฝ้าดูแลจากด้านบน จนถึงการเชื้อเชิญแขกจากภายนอกเข้ามาเยือน ซึ่งชายและหญิงที่แปลกหน้าก็ทำหน้าที่เป็น "มนุษย์" ที่ได้เดินทางมายังโลก "คู่แรก" และได้สร้างแต่ความทุกข์เข็ญให้แก่โลก เช่นเรื่อง ความทรมารจากโรคภัย ความหลงมัวเมาในกาม การไร้ความรับผิดชอบดูแลบ้าน(หรือโลก) และความมัวเมาในความโลภจนก่อให้เกิดการฆ่าฟันกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่ามาสร้าง "บาป" ให้แก่โลกที่ "มารดา" สร้างไว้อย่างสงบสุขงดงาม (จุดที่เกิดการฆ่ากัน ภายหลังเป็นช่องประหลาด ที่ให้มุมมองและความรู้สึกว่าคือ "นรก")
จนสุดท้ายที่ ตัวสามี(Javier Bardem) ต่างเชื้อเชิญ "มนุษย์" เข้ามายังภายในบ้านมากขึ้นก็กลับกลายเป็นสร้างความเสียหายให้กับโลกใบนี้ยิ่งขึ้น หนังเปรียบเปรยเป็นการที่ผู้มาเยือนต่างพังข้าวของและหยิบฉวยเอาของต่างๆ กลับไป จนล่วงเลยไปถึงการพังพินาศของสิ่งของภายในบ้าน และอยู่ดีๆ ในบ้านก็เปลี่ยนไป มีการเทิดทูนบูชาสามี ในรูปแบบการงมงายต่างๆ ทั้งรูปเคารพ หรือพิธีการแปลกประหลาด และต่อเนื่องไปจนถึงเหตุรบราฆ่าฟันภายในบ้าน ซึ่งเป็นเหมือนการย่อเหตุการณ์ความวิบัติที่ "มนุษย์" กระทำต่อโลกในช่วงเวลาที่ผ่านมา
และเมื่อ "มารดา" ให้กำเนิด "บุตร" (อันนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า ผกก. จะสื่ออะไร จากการวาง Object ต่างๆ เช่นตระกร้ารูปทรงคุ้นเคย) เหล่าผู้คนก็ต่างเทิดทูนบูชา แต่เพียงไม่ถึงอึดใจก็ได้ทำการ "ฆ่า" บุตรอย่างไม่แน่ใจว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และยังแจกจ่ายเอาเนื้อของ "บุตร" มาแบ่งกันทาน แสดงถึงการรเป็นผู้เอาแต่ได้ หยิบฉวยทุกอย่างมาเป็นของตนใน "มนุษย์" เป็นอย่างดี จนเมื่อถึงบทสรุปที่เหล่าผู้คนต่างบ้านคลั่งจนถึงกับทำร้าย "มารดา" จนเกือบตาย สิ่งที่สามีมอบให้ภรรยานั้นมีเพียงคำว่า "เราต้องให้อภัยพวกเค้า" และนั่นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตัวภรรยา ทำการเผาบ้านจนมอดไหม้ไม่เหลือ และนั่นก็เป็นเหมือนดั่ง "วันพิพากษา" ที่ทำการล้างมนุษย์จนถึงบาปทั้งหมดไป และทำการ Reset ทุกอย่างใหม่ ในตอนจบ.
จากเนื้อหาที่หนังเล่าประกอบกับเทคนิคการนำเสนอ รวมถึงการแสดงที่เรียกได้ว่าสุดของนักแสดงระดับเทพทุกคน(Jennifer Lawrence เรื่องนี้สวยมาก) ก็ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้หนักมากจริงๆ สำหรับการดู คงไม่ใช่หนังเพื่อความบันเทิงอย่างแน่นอน แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนดังภาพสะท้อนที่สวยงาม ผ่านการนำเสนอที่มีมิติ จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องหาโอกาสดูให้ได้ซักครั้งในชีวิต
แนะนำครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/
[CR] Mother! #คุปต้าซีเนม่า
Director : Darren Aronofsky
เป็นหนังที่ถูกจับตามองทันทีตั้งแต่รู้ชื่อ ผกก. และนักแสดงนำ แถมยังมีการโปรโมทที่ดูแสนจะลึกลับ ทั้งตัว Thriller ที่ดูไม่ออกว่าหนังจะเป็นแนวไหนหรือเล่าเรื่องอะไร และใบปิดหนังที่แอบซ่อนความลับต่างๆ ที่ทำเอาคนที่ติดตามต้องตกใจและทึ่ง(เราก็เป็นหนึ่งในนั้น) จนวันนี้ได้เข้าโรงในบ้านเราซะทีเลยต้องไม่พลาด
Mother! เล่าเรื่องผัวเมียคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านที่แสนสวยและสงบเงียบ โดยมีสามี (Javier Bardem) นักเขียนชื่อดังที่กำลังเจอปัญหาไม่สามารถคิดงานใหม่ๆ ได้ และภรรยา (Jennifer Lawrence) ทำหน้าที่ดูแลสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน รวมถึงการค่อยๆ "สร้าง" บ้านหลังนี้ให้แล้วเสร็จ แต่แล้วความสุขและสงบก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อ ชายแปลกหน้า (Ed Harris) ได้มาเยื่ิอน และมาร่วมอาศัยจากการเชื้อเชิญของสามี เพียงข้ามคืน หญิงแปลกหน้า (Michelle Pfeiffer) ก็ได้โผล่ที่บ้านและบอกว่าเธอเป็นภรรยาของชายแปลกหน้าก่อนหน้านี้ ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกเชื้อเชิญให้มาอยู่ร่วมกัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มของเหตุการณ์แปลกประหลาด จนนำไปสู่ความคลุ้มคลั่ง และสุดแสนจะอธิบายได้....หากไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง
"อึดอัดมากกกกก" คงเป็นความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ก็เตรียมใจมาพอสมควรแล้ว เพราะก็เคยดูผลงานของ ผกก. คนนี้มา ( Requiem for a Dream ทำเอาเราสลดไปหลายวันเลย) แต่พอถึงเวลาก็รู้สึกว่าที่เตรียมมาไม่พอซะแล้ว
ประเด็นแรกเรื่องการถ่ายทำ Darren Aronofsky เลือกใช้มุมกล้องที่แคบมากๆ (ถ่ายผ่านไหล่ Jennifer Lawrence โดยใช้วิธีถือกล้องเดินตาม) ซึ่งมันทำให้จำกัดการมองเห็นของคนดูสร้างความอึดอัด ความไม่ไว้ใจ ไม่สบายใจ หรือระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนดูจะต้องอยู่ในภาวะนี้ตลอดทั้งเรื่องไปจนจบ ซึ่งสร้างความหนักให้กับคนดูอย่างเราพอสมควรเลย
และในมุมเนื้อหา(ก่อนตีความ) ก็พบว่า Darren Aronofsky พยายามเล่นกับความไม่สบายใจหรือสนิทใจกับจิตใต้สำนึกเรามากๆ การที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนโดนคุกคามทั้งในมุม การเข้ามาคุกคามในพื้นที่ส่วนตัวผ่านทางตัวบ้านและห้องต่างๆ หรือการคุกคามทางคำพูดการกระทำ ที่สร้างความไม่สบายใจหรือรังเกียจให้กับคนดูอย่างเราๆ ประกอบกับมุมกล้องเดินตามที่แคบทำให้เรารู้สึกอินไปกับสิ่งที่ตัวละครต้องเจอ อันนี้หากว่าไปก็คือความสำเร็จของ ผกก. ที่ทำให้คนดูรู้สึกรวมได้มากจริง (ส่วนตัว Admin เองอินมาก ขนาดซื้อขนมเข้าไปกิน จนหนังจบไม่ได้แตะขนมเลยคือมันไม่อยากขยับตัวเลยตอนดู)
และในแง่การตีความในเนื้อหา อันนี้ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าส่วนตัวไม่ได้มีความรู้เรื่อง ศาสนาคริสต์มากเลยอาจจะทำให้การตีความได้ไม่เต็มที่ เพราะด้วยสิ่งที่ Darren Aronofsky ใส่เข้ามามันอาจจะดูค่อนข้างชัดว่าเล่นประเด็นเรื่องนี้ โดยมีการวางตัวละครหลักที่สามารถคิดและต่อยอดได้
เรามองว่า ผกก. แทนตัวบ้านหลังนี้เป็น "โลก" ที่มีภรรยา (Jennifer Lawrence) คือเป็นผู้สร้าง หรือผู้ให้กำเนิน "มารดา" ซึ่งในช่วงท้ายเรื่องก็เป็นผู้ให้กำเนิด ในอีกความหมายหนึ่ง และมี สามี (Javier Bardem) เป็นเหมือนดัง "พระเจ้า" ผู้มอบโลกให้มารดา และเฝ้าดูแลจากด้านบน จนถึงการเชื้อเชิญแขกจากภายนอกเข้ามาเยือน ซึ่งชายและหญิงที่แปลกหน้าก็ทำหน้าที่เป็น "มนุษย์" ที่ได้เดินทางมายังโลก "คู่แรก" และได้สร้างแต่ความทุกข์เข็ญให้แก่โลก เช่นเรื่อง ความทรมารจากโรคภัย ความหลงมัวเมาในกาม การไร้ความรับผิดชอบดูแลบ้าน(หรือโลก) และความมัวเมาในความโลภจนก่อให้เกิดการฆ่าฟันกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่ามาสร้าง "บาป" ให้แก่โลกที่ "มารดา" สร้างไว้อย่างสงบสุขงดงาม (จุดที่เกิดการฆ่ากัน ภายหลังเป็นช่องประหลาด ที่ให้มุมมองและความรู้สึกว่าคือ "นรก")
จนสุดท้ายที่ ตัวสามี(Javier Bardem) ต่างเชื้อเชิญ "มนุษย์" เข้ามายังภายในบ้านมากขึ้นก็กลับกลายเป็นสร้างความเสียหายให้กับโลกใบนี้ยิ่งขึ้น หนังเปรียบเปรยเป็นการที่ผู้มาเยือนต่างพังข้าวของและหยิบฉวยเอาของต่างๆ กลับไป จนล่วงเลยไปถึงการพังพินาศของสิ่งของภายในบ้าน และอยู่ดีๆ ในบ้านก็เปลี่ยนไป มีการเทิดทูนบูชาสามี ในรูปแบบการงมงายต่างๆ ทั้งรูปเคารพ หรือพิธีการแปลกประหลาด และต่อเนื่องไปจนถึงเหตุรบราฆ่าฟันภายในบ้าน ซึ่งเป็นเหมือนการย่อเหตุการณ์ความวิบัติที่ "มนุษย์" กระทำต่อโลกในช่วงเวลาที่ผ่านมา
และเมื่อ "มารดา" ให้กำเนิด "บุตร" (อันนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า ผกก. จะสื่ออะไร จากการวาง Object ต่างๆ เช่นตระกร้ารูปทรงคุ้นเคย) เหล่าผู้คนก็ต่างเทิดทูนบูชา แต่เพียงไม่ถึงอึดใจก็ได้ทำการ "ฆ่า" บุตรอย่างไม่แน่ใจว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และยังแจกจ่ายเอาเนื้อของ "บุตร" มาแบ่งกันทาน แสดงถึงการรเป็นผู้เอาแต่ได้ หยิบฉวยทุกอย่างมาเป็นของตนใน "มนุษย์" เป็นอย่างดี จนเมื่อถึงบทสรุปที่เหล่าผู้คนต่างบ้านคลั่งจนถึงกับทำร้าย "มารดา" จนเกือบตาย สิ่งที่สามีมอบให้ภรรยานั้นมีเพียงคำว่า "เราต้องให้อภัยพวกเค้า" และนั่นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตัวภรรยา ทำการเผาบ้านจนมอดไหม้ไม่เหลือ และนั่นก็เป็นเหมือนดั่ง "วันพิพากษา" ที่ทำการล้างมนุษย์จนถึงบาปทั้งหมดไป และทำการ Reset ทุกอย่างใหม่ ในตอนจบ.
จากเนื้อหาที่หนังเล่าประกอบกับเทคนิคการนำเสนอ รวมถึงการแสดงที่เรียกได้ว่าสุดของนักแสดงระดับเทพทุกคน(Jennifer Lawrence เรื่องนี้สวยมาก) ก็ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้หนักมากจริงๆ สำหรับการดู คงไม่ใช่หนังเพื่อความบันเทิงอย่างแน่นอน แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนดังภาพสะท้อนที่สวยงาม ผ่านการนำเสนอที่มีมิติ จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องหาโอกาสดูให้ได้ซักครั้งในชีวิต
แนะนำครับ
#คุปต้าซีเนม่า
ฝากเพจด้วยครับ
https://www.facebook.com/KuptaReview/