นัดสัมภาษณ์งานแบบนี้ก็ได้เหรอ...?!

เล่าเรื่องประสปการณ์การไปสัมภาษณ์งานกัน ผมว่าหลายๆ คนที่เคยมีประสปการณ์การนัดสัมภาษณ์งานกันก็น่าจะเจอกันมาบ้าง ถึงจะไม่ใช่พวกธุรกิจขายตรงก็ตามที

หลายๆ ท่านน่าจะเคยลงสมัครงานตาม Website สำหรับประกาศหางานต่างๆ กันเอาไว้บ้าง ซึ่งถ้าเราไม่ได้ไปลบประวัติออกไป มันก็จะมีประวัติการสมัครงานของเราค้าอยู่ในระบบอย่างนั้นใช่มั้ยหล่ะครับ ก็จะมีบ้างที่ทางบริษัทต่างๆ ที่ต้องการบุคลากร ก็จะทำการโทรมาสอบถาม เพื่อนัดสัมภาษณ์งานกับเรา จนกระทั่งครั้งหนึ่ง

ปลายสาย - สวัสดีค่ะ คุณ... หรือเปล่าคะ
เรา - ใช่ครับ
ปลายสาย - ติดต่อจากบริษัท ... นะคะ พอดีว่าเห็นประวัติของคุณ ทางเราสนใจอยากจะนัดเข้ามาเขียนใบสมัครพร้อมนัดสัมภาษณ์งานกันค่ะ
เรา - ได้ครับ ขอทราบวัน เวลา ด้วยครับ
ปลายสาย - ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าสะดวกวันที่ ... เวลา ... หรือเปล่าคะ
เรา - ได้ครับ ให้เตรียมอะไรไปบ้างหรือเปล่าครับ
ปลายสาย - เตรียมเอกสานสมัครงานทั่วไป พร้อมรูปถ่าย หรือถ้ามีตัวอย่างผลงานมาก็รบกวนนำมาด้วยค่ะ
เรา - ได้ครับ

หลังจากที่ทำการนัดสถานที่ วันเวลากันเรียบร้อยแล้วก็ถึงวันที่เราต้องไปสัมภาษณ์งานตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ ซึ่งเป็นเวลา 9:30 น.
ผมก็เดินทางไปถึงตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ทางห้านหน้าก็ให้ผมนั่งเขียนใบสมัครก่อน พร้อมเตรียมเอกสารการสมัครงานต่างๆ ให้พร้อม พอเสร็จก็นั่งรอ ระหว่างเจ้าหน้าที่ทำเอกสารไปส่งให้ทางฝ่าย HR. อันนี้ก็ตามระบบ ไม่ได้แปลกอะไร
ซักครู่หนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งกับผมว่า CEO. ต้องการจะคุยด้วยนะคะ ให้ผมขึ้นไปรอคุยกับทาง CEO. ได้เลย

ว่าแล้วก็มีเจ้าหน้าที่เดินมารับผมขึ้นไปนั่งรอที่หน้าห้องของ CEO. ซึ่งก็เป็นเลขาของ CEO. ท่านั้นนั่นเอง
แต่เหมือนว่าท่านกำลังติดคุยงานอยู่ ทางเลขาก็แจ้งให้ผมนั่งรอซักครู่หนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร CEO. มีงานเยอะก็เข้าใจ

ซักพักก็มีเจ้าหน้าที่จากห้องข้างๆ เดินเข้ามาถามว่าผมเป็นใคร มาติดต่อเรื่องอะไร คุณเลขาก็ทำการแนะนำตัวไปตามเรื่องราว
แล้วก็ได้รับแจ้งว่าเดี่ยวจะมีเจ้าหน้าที่จากทางธนาคารเข้ามา เกรงว่าจะไม่ทัน จะให้ทางผมรอให้ CEO. คุยกับเจ้าหน้าที่จากธนาคารก่อนได้หรือไม่
ผมก็รู้สึกว่า อะไรวะ!! ถึงจะว่างในวันนี้ก็เถอะ แต่ให้มานั่งรอแบบนี้จะดีเหรอ แต่ในใจก็อยากคุยงานกับ CEO. มากกว่าคุยกับ HR. อยู่แล้ว
เพราะคิดว่าทาง HR. ไม่น่าจะเข้าใจเรื่องรูปแบบการทำงาน หรือสิ่งที่เราสามารถทำได้มากเท่ากับการคุยตรงกับ CEO. เลย ก็เลยทำอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็รอคุยกับทาง CEO. เลยดีกว่า ไหนๆ ก็เสียเวลามาแล้วนี่ ว่าแล้วก็เลยให้ทางเจ้าหน้าที่จากธนาคารเข้าไปคุยก่อน

ระหว่างที่เจ้าหน้าที่จากธนาคารเข้าไปคุยกับทาง CEO. อยู่ ก็มีผู้ชายวัยกลางคนท่านหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมเอกสาร คุณเลขาก็ทำการแนะนำว่าท่านนี่เป็นหัวหน้าฝ่าย ... ซึ่งคุณหัวหน้าฝ่ายก็บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับท่าน CEO. อยู่เหมือนกัน แต่พอทราบว่าผมมานั่งรอคุยกับท่าน CEO. อยู่ก่อน ก็หันมาบอกว่า "ขอผมก่อนได้มั้ยครับ พอดีเอกสารผมรีบ" เอ้า...อะไรอีกแล้ววะ แต่ว่าผมเองก็ยังไม่ได้เริ่มงาน หรือถ้าเกิดได้งานนี้ขึ้นมา แล้วต้องมาทำงานร่วมกันด้วยก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งเค้าเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วย ก็เออๆ ออๆ ให้เข้าไปก่อนก็ได้ ไม่เป็นไรครับ จริงๆ ก็เซ็งมากเลยทีเดียว

ซักพักหนึ่งด้วยอาการภูมิแพ้กำเริบ ผมก็เริ่มมีอาการจาม น้ำมูกไหล เป็นเรื่องปรกติ เพราะว่าตั้งแต่เดินเข้า Office มา ก็มีแต่กลิ่นธูปคลุ้งไปทั่ว Office คุณเลขาก็หยิบกระดาษทิชชู่ยื่นให้ พร้อมสอบถามอาการ ก็เลยอธิบายไปว่าเป็นเพราะกลิ่นธูปครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ก็ได้ทราบมาว่า ถ้ามาทำงานที่นี่จะเป็นแบบนี้ทุกวันค่ะ เพราะว่าที่นี่จุดธูป ไหว้พระทุกวัน ทุกชั้น ทั้งใน และนอกอาคาร ได้ยินแล้วก็แปลกใจหน่อยๆ เพราะปรกติในตึกสำนักงานใหญ่ๆ เค้าไม่ค่อยจุดธูปในสถานที่ปิดแบบนี้ ยิ่งไม่ได้มีอากาศถ่ายเทด้วย ตายแน่ๆ ทนๆ เอาหน่อย คิดซะว่าวัฒนธรรมแต่ละองค์กรไม่เหมือนกันละกันนะ ถ้าได้มาทำแล้วต้องเจอแบบนี้ก็ทนๆ ไป หาผ้าปิดจมูกเอาตอนเค้าจุดธูปก็ได้

แต่คุณหัวหน้าที่มาขอแทรกคิดเมื่อซักครู่นี้ จากตอนแรกที่พูดจาดี อยากจะขอแทรกคิด ก็หันมาตวาดใส่ผม พร้อมพูดจาไม่ดี "เฮ้ยๆ ไม่ไหวแล้วมั้งคุณเนี่ย ออกไปข้างนอกเลยไป อย่าเอาเชื้อโรคมาติดคนแถวนี้" พูดอย่างนี้ผมก็อึ้ง ก็เลยหันไปตอบว่า "เป็นภูมิแพ้ครับ ไม่ได้เป็นโรค ขอโทษครับ" แล้วก็หันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมาใช้เอง จะได้ไม่รบกวนคุณเลขา เพราะว่าเจอแบบนี้บ่อยๆ ก็มักจะพกทิชชู่ หรือผ้าเช็ดหน้าไว้อยู่แล้ว พร้อมยาแก้แพ้ แล้วก็นั่งเล่นมือถือรอไป ไม่อยากสนใจ อยากจะรีบๆ คุย แล้วก็กลับซะที

หลังจากที่เจ้าหน้าที่จากธนาคารกำลังเดินออกมาจากห้องกัน คุณหัวหน้าก็รีบเตรียมเอกสารเพื่อเข้าไปพบกับ CEO. ต่อ แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าห้อง ก็มีคุณหัวหน้าฝ่ายอีกท่านหนึ่งเดินมา เพื่อที่จะขอเข้าไปคุยกับ CEO. เหมือนกัน สีหน้าคุณเลขาก็เริ่มออก เพราะว่าให้ผมมานั่งรอนานแล้ว แต่คุณหัวหน้าทั้งสองก็บอกว่า "ไม่เป็นไรเดี่ยวผมเข้าไปคุยพร้อมกันเลย" ไม่เป็นไรเตี่ยแกสิ!! นี่มานั่งรอตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าไปคุยพร้อมกันได้หรือเปล่าซะหน่อย ว่าแล้วก็สะบัดตูดเดินเข้าห้อง CEO. ไป ทั้งหัวหน้าสองคนนั่น

จนเวลา 12:00 น. คุณหัวหน้าทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้อง ผมก้มดูนาฬิกา ชิหาย!! ให้มานั่งรอนานขานดนี้ นี่อยากคุยจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย CEO. แต่ก็นะ นั่งรอมาขนาดนี้แล้ว รีบๆ คุยให้เสร็จๆ แล้วรีบกลับดีกว่า จะได้ออกไปหาอะไรกินด้วย

พอคิดจบ คุณแม่บ้านก็เดินถือถาดอาหารเข้ามาพอดี ฝ่าม!! CEO. พักทานข้าว เอิ่ม...........
คุณเลขาหันมายิ้มแห้งให้หนึ่งที อยากจะบอกว่า "ไม่ต้องยิ้มครับ ตกลงจะเอายังไง นี่มานั่งรอตั้งนานแล้ว คนนู้นคนนี้มาขอแทรกคิด แล้วนี่ยังติดพักกลางวันอีก" แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะดูๆ แล้วว่าคุณเลขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เหมือนเป็นเลขาเฉยๆ หน้าที่ประสานงาน การจัดการคิวงานต่างๆ ไม่สามารถทำได้เลย

คุณเลขาก็เลยชวนผมไปทานข้าวด้วยกันก่อน แล้วเดี่ยวค่อยกลับมาคุยกับ CEO. กัน คือจริงๆ ไม่ได้อยากทานข้าวครับ อยากคุยให้เสร็จๆ ไป เพราะนี่มานั่งรอตั้งแต่ 9:30 น. แล้ว อยากรู้จริงๆ ว่า CEO. ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าผมยังนั่งรออยู่ แต่ด้วย Office ที่ผมไป แถวๆ นั้นไม่มีอะไรขายเลย แม้แต่ร้านข้าวข้างทางก็ยังไม่มี ถ้าไม่ทานตอนนี้ คุณเลขาเค้าก็คงหาอะไรทานไม่ได้แล้ว ก็เลยตามเลย ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว ไปทานข้าวก่อนก็ได้ครับ

ว่าแล้วก็รีบลงไปทานอาหารกลางวันกันที่แคนทีนในบริษัท ซึ่งทางคุณเลขาก็แนะนำ กึ่งชวนพูดคุยว่าที่นี่มีอาหารกลางวันเลี้ยงพนักงานทุกวัน เนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีอะไรขาย ก็เลยมีนโยบายนี้ขึ้นมาจากทางผู้บริหาร ได้ยินแบบนี้ ก็เบาใจหน่อย ว่า CEO. ที่นี่ก็มีจิตใจดีแหละนะ จากนั้นก็รีบทานอาหารกันให้เสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปนั่งรอที่หน้าห้อง CEO. เหมือนเดิม

ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าไปนั่งรอ CEO. ที่หน้าห้องเหมือนเดิม ก็มีเสียงของคุณแม่บ้านดังมาจากห้องข้างๆ "คุณคะๆ มาติดต่ออะไรหรือเปล่าคะ"
คุณเลขาก็หันกลับไปตอบว่า "คุณเค้ามารอสัมภาษณ์งานกับ CEO. ค่ะ" คุณแม่บ้านส่ายหัว หันมาตอบว่า "CEO. กลับไปแล้ว เพิ่งออกไปเอง"

WTF!! อะไรกันฟระ ผมก้มดูนาฬิกา 12:40 น. นี่ยังไม่บ่ายเลย ผมลงไปทานข้าวกลางวันตอน 12:10 น. รีบกิน รีบขึ้นมา นี่กลับไปแล้ว แล้วให้ผมมานั่งรอครึ่งค่อนวัน เพราะ CEO. จะคุยด้วย คืออะไร?!

คุณป้าแม่บ้านเหมือนรู้สึกสาแก่ใจ พูดต่อไปว่า "ป้าว่าจะบอกอยู่ แต่เดี่ยวคนแถวนี้เค้าหาว่า เสื...ก " โธ่...ป้า ใช่เวลาไหม

ตัดภาพกลับไปที่คุณเลขา ......... นิ่งไปเลยจร้า ผมก็เลยถามว่า "กลับไปแล้ว แล้วยังไงครับ นัดผมมา บอกว่า CEO. จะคุยด้วย นั่งรอมาครึ่งค่อนวัน แล้วกลับไปแล้ว ผมว่าง แต่ก็ไม่ได้สะดวกขนาดนี้นะครับ" แต่ก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดุว่าอย่างไร พูดเชิงทีเล่น ทีจริง ขำๆ ไป แต่คุณเลขาก็คงทราบถึงเจตนาแหละ เพราะว่าผมก็ตั้งใจจะกลับแล้วเหมืนกัน เสียเวลา แต่คุณเลขาก็แจ้งว่า ให้นั่งรอซักครู่ รออะไรหล่ะ CEO. ออกไปแล้ว ให้ผมนั่งรอ CEO. กลับมาอีกเหรอคุณ

สุดท้ายผมก็ได้สัมภาษณ์งานกับทาง HR. อยุ่ดี ซึ่ง... ถ้าจะเป็นแบบนี้ก็ให้ผมคุยกับ HR. แต่แรกเลยก็ได้ครับ เสียเวลา เสียความรู้สึก อารมณ์เสียด้วย แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับ HR. แล้วเหมือนกันตอนนั้น ไม่คิดว่าจะได้งานเหมือกันครับ สรุปวันนั้นทั้งวันผมรอตั้งแต่ 9:30 ได้ออกมาตอน 14:00 เสียเวลา...

ก็เอาเรื่องนี้มาแชร์ให้ได้อ่านกัน จะ ผู้บริการ จะหัวหน้า ตำแหน่งใหญ่โต จะทำอะไรก็ได้ แต่... สมควรหรือไม่ ผมว่าคุณๆ ก็ทราบกันดี
เด็กๆ จบใหม่ น้องๆ หนูๆ ที่ต้องไปสมัภาษณ์งานกัน ก็ฝากไว้หน่อยละกันครับ การทำงาน ไม่ใช่ว่าเราไปง้อเค้าทำงานนะครับ
มันก็คือการแลกเปลี่ยนกัน เราทำงานให้คุณ แลกกับเงินเดือนที่ได้รับ คุณได้งานจากเรา แลกกับเงินที่คุณต้องจ่าย ทุกอย่างคือการแลกเปลี่ยน ทุกอย่างต้องพอเหมาะ พอดี สมน้ำ สมเนื้อ เพื่อความเท่าเทียมกับสิ่งที่แลกเปลี่ยนกัน หากคุณไม่พอใจในงานเรา กฎระเบียบของบริษัทคุณก็สามารถจัดการได้อยู่แล้ว ถ้าเรารู้สึกว่างานไม่เหมาะสมกับค่าตอบแทนที่เราได้รับ ก็ค่อยๆ หาที่ๆ เหมาะสมกับการแลกเปลี่ยนของเรา

อันนี้ก็ไม่ได้ยุให้ลาออกจากงานกันนะครับ ยังมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ต้องคำนึงถึงด้วย อย่างเรื่องของความสามารถอื่นๆ ประสบการณ์ทำงาน ต่างๆ
HR. หลายแห่งที่เจอก็ไม่ได้คำนึงถึงค่าประสปการณ์ทำงานของเราเลยก็มี ตำแหน่งนี้ เงินเดือนเท่านี้พอ จะทำงานมานาน มีประสปการณ์แค่ไหนไม่สน ก็มีอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพดานเงินเดือนของทางบริษัทด้วยเหมือนกัน

เอาเป็นว่า หาที่ๆ เหมาะสม ที่ๆ เราพอใจ ไม่เอาเปรียบเราจนเกินไป เราก็ต้องไม่เลือกงานจนเกินไป ถ้าคิดว่าเก่งแล้วก็จะไม่พัฒนาแล้วเหมือนกัน เรามีสิทธิ์เลือกงาน งานก็มีสิทธิ์เลือกเราเหมือนกัน เพราะคนเราไม่ขาด ก็เกิน ไม่มีความพอดีหรอกครับ อย่าให้มันมากเกินเรารับได้ก็พอ ส่วนเรื่องของเพื่อนร่วมงาน พูดเลยว่า เหมือนๆ กันหมดทุกที่แหละครับ เพราะมีคนทุกประเภทในนั้นแน่นอน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่