น้องหมวย : เรื่องสั้นร่วมกิจกรรมกับคุณซอง

กระทู้สนทนา
น้องหมวย
              ดรัสวันต์

    
       นทีเพิ่งเข้าทำงานที่ออฟฟิศแห่งนี้มาครบหนึ่งปี มันทำให้เขามีสิทธิ์ลาหยุดพักร้อนได้ถึง 12 วันต่อปี เป็นโอกาสที่เขารอคอยที่จะได้ท่องเที่ยวไปเก็บภาพสวยงามตามสถานที่ที่ได้ไปเยือน นทีมีงานอดิเรกที่เขารักเป็นชีวิตจิตใจคือการถ่ายภาพ ซึ่งเขาพยายามพัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับลงทุนเกี่ยวกับอุปกรณ์กล้องราคาแพง เงินเดือนที่ได้รับมาก็หมดไปกับการท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพ จนเมื่อครั้งหนึ่งที่เขาส่งภาพถ่ายเข้าประกวดแล้วได้รับรางวัลชมเชยมานั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเกิดแรงบันดาลใจที่จะเอาดีในเรื่องนี้ เพราะสักวันหนึ่ง ภาพถ่ายของเขาอาจจะชนะเลิศได้รางวัลเรือนหมื่นเรือนแสนก็เป็นได้  

       นทีเป็นหนุ่มโสดที่อาศัยอยู่กับบิดามารดา เขาจึงไม่มีภาระรับผิดชอบค่าใช้จ่ายครอบครัวอะไรเลย นอกจากเรื่องใช้จ่ายส่วนตัวและเที่ยวเตร่ ช่างเป็นความโชคดีสำหรับผู้ชายอย่างเขาเมื่อเทียบกับคนอื่นที่ยังต้องตีนถีบปากกัด บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ ต้องผ่อนรถ ผ่อนบ้าน อีกจิปาถะ
ดังนั้น นทีจึงสามารถไปตามความฝันของเขาได้อย่างไม่เดือดร้อน

       สิงห์เพื่อนรุ่นพี่ที่ออฟฟิศก็มีความชอบเรื่องการถ่ายรูปไม่แพ้นที เพราะฉะนั้นทั้งสองจึงเป็นเกลอกันในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ในการถ่ายภาพ

      “ที ไปญี่ปุ่นกันไหม” สิงห์ชวนขึ้น

      “แพงอ่ะพี่”

     “ทัวร์ไฟไหม้ ไม่แพงหรอก”

     “ทัวร์อะไร ชื่อประหลาดไม่เคยได้ยิน”

      สิงห์หัวเราะ ก่อนจะอธิบายว่า

      “ไม่ใช่ชื่อทัวร์ แต่เป็นชนิดของทัวร์ คือลูกทัวร์เขาไม่เต็มไง หรือมีคนวางมัดจำแล้วไม่ไป เขาเลยมีราคาถูกพิเศษมาแอบขาย ครึ่งหนึ่งของราคาเต็มเลยนะ ออกเดินทางพรุ่งนี้”

      “ห๊ะ พรุ่งนี้ ! ทำไมมันกะทันหันอย่างนี้ล่ะพี่”

       “เขาถึงเรียกทัวร์ไฟไหม้ไง ฮ่า ฮ่า” สิงห์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีที่เขาไปได้ทัวร์ญี่ปุ่นราคาแสนถูกนี้มา และเขารู้ดีว่านทีก็พร้อมที่จะไปกับเขา “เครื่องออกเที่ยงคืนพรุ่งนี้ มีเวลาถมเถไป รีบเขียนใบลาพักร้อนซะ แล้วไปถอนเงินมาจ่ายค่าทัวร์ มีเวลาเย็นนี้กับพรุ่งนี้อีกทั้งวัน” เขารู้ว่านทีไม่ใช่คนเรื่องมาก เรื่องจัดกระเป๋าเดินทางก็แค่โยนๆ เสื้อกางเกงลงกระเป๋า ไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จ

      นทีพยักหน้ารับสีหน้ายังไม่คลายอาการตื่นเต้นกับการเดินทางที่ไม่คาดฝันเช่นนี้

      “งานนี้ล่ะจะได้ไปสอยเลนส์ไวลด์ตัวใหม่ที่อาคิฮาบาระ” สิงห์หมายมั่นปั้นมือ  ยิ่งทำให้นทีตื่นเต้นหนักขึ้นไปอีกเพราะอาคิฮาบาระเป็นศูนย์รวมเครื่องอีเล็กโทรนิคที่ใหญ่ที่สุดของโตเกียว

      “ไม่ได้แล้ว ต้องรีบไปแลกเยน เท่าไหร่ถึงจะพอพี่”

      “ถ้าจะซื้ออุปกรณ์กล้อง แลกเผื่อไปสักแสนเยน เพราะบางร้านที่ขายถูกจริงๆ เขาไม่รับรูดการ์ด แต่เชื่อเถอะ ที่นั่นถูกกว่าและมีให้เลือกมากกว่าเมืองไทย ไหนๆ มีโอกาสได้ไปแล้ว ขืนไม่ซื้อจะเสียดาย”


      สามทุ่มของคืนเดินทาง ทั้งสองมาเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ณ จุดนัดพบที่บริษัททัวร์นัดหมาย

      “ไม่ลืมอะไรนะ” สิงห์ถามย้ำพลางมองกระเป๋าอุปกรณ์กล้องของรุ่นน้องที่เขาตั้งใจจะถือขึ้นเครื่อง ส่วนกระเป๋าเดินทางขนาดกลางที่จะโหลดลงใต้ท้องเครื่องนั้นไม่มีเสื้อผ้าอะไรมากนอกจากเครื่องกันหนาวที่ต้องเตรียมไปเต็มที่ แม้ว่าช่วงเวลานี้จะพ้นฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม แต่ทั้งสองรู้ดีว่าบางครั้งจะต้องไปยืนรอถ่ายภาพนานเป็นชั่วโมงท่ามกลางความหนาวเหน็บเหมือนครั้งที่ไปรอถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยอินทนนท์ในวันที่อุณหภูมิ 4 องศา นั้น มันทรมานขนาดไหน ถ้าเตรียมเครื่องกันหนาวไปไม่เพียงพอ

       เจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ดูแลจัดการเรื่องการเช็คอิน โหลดกระเป๋าแล้วแจกบอร์ดดิ้งพาสให้แก่ลูกทัวร์ เป็นความสะดวกสบายกว่าทริปที่ไปกันเอง ที่จะต้องเหนื่อยจัดการเองทุกสิ่งทุกอย่าง  ในบรรดาลูกทัวร์ที่เข้าแถวเรียงรายเตรียมเช็ดอินอยู่แถวเดียวกับนทีนั้น มองดูคร่าวๆ ก็น่าจะประมาณยี่สิบคน เป็นเพราะคนน้อยนี่เองเขาถึงได้ราคาพิเศษ นี่เป็นครั้งแรกที่นทีเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์ ที่จะต้องเที่ยวกับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่พรรคพวกเพื่อนพ้อง แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าได้เที่ยวชมธรรมชาติความงาม และสัมผัสกับบรรยากาศของต่างประเทศที่แตกต่างจากเมืองไทย

       เครื่องบินใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงก็พาคณะทัวร์กรุ๊ปนี้มาถึงสนามบินคันไซของโอซาก้า เป็นสนามบินที่เกิดจากการถมทะเล จึงมีลักษณะเป็นเกาะที่อยู่ห่างจากแผ่นดินห้ากิโลเมตรเชื่อมต่อด้วยสะพานที่เป็นทั้งถนนสำหรับรถและเป็นรางสำหรับรถไฟ

       ตอนเดินออกจากเครื่องมาจนถึงห้องโถง หัวหน้าทัวร์หรือไกด์ชื่อไพรัชเรียกรวมพลให้สมาชิกทัวร์ให้มาพร้อมหน้ากันก่อนที่จะพานั่งรถไฟรางเดียวไปยังตัวอาคารเพื่อผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง ยามนี้ลูกทัวร์จึงมีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตากันชัดขึ้น ต่างเริ่มมองหน้าสบตาทักทายกันพอเป็นพิธี

       เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ มาจนได้กระเป๋า ผ่านศุลกากรออกมาข้างนอกกันแล้ว นทีกับสิงห์ก็เริ่มความเป็นตากล้อง ทั้งสองถ่ายรูปทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเห็น จนเมื่อขึ้นไปนั่งบนรถทัวร์ซึ่งมีที่นั่งว่างมากพอ ทั้งสองจึงไปจับจองเก้าอี้ข้างหลังคนละตัวที่มีบานหน้าต่างกว้างให้ได้ถ่ายรูปวิวกันอย่างสะดวก

       เนื่องจากคณะของนทีเดินทางมาถึงในตอนเช้าตรู่ รายการทัวร์วันนี้จึงเต็มที่ทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทั้งเข้าชมปราสาทราชวัง ชมสวนสวยที่ซากุระเริ่มผลิดอกเป็นสีชมพูอ่อน-แก่ หลากพันธุ์ทั้งแบบกลีบเดี่ยวกลีบซ้อน บ้างออกเป็นช่อ บ้างออกเป็นสาย ทั้งสองหนุ่มเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป และการหามุมกล้องกับเทคนิคการถ่ายรูปแบบต่างๆ

       จนเมื่อถึงเวลาอาหารค่ำที่โรงแรม ซึ่งเป็นอาหารชุดสไตล์ญี่ปุ่น มีถ้วยเล็กจานน้อย ตกแต่งมาอย่างวิจิตรบรรจง ทั้งนทีกับสิงห์ก็ไม่พลาดการถ่ายรูปชุดอาหาร แล้วเริ่มต้นจิบเหล้าบ๊วยแสนอร่อยจนต้องขอสั่งเพิ่ม ในขณะที่ผู้ร่วมโต๊ะสั่งเครื่องดื่มอย่างอื่น

       “ขอสั่งโค้กได้ไหมคะ น้ำแข็งด้วย” เสียงใสๆ ของผู้ร่วมโต๊ะบอกกับไกด์ที่มานั่งร่วมโต๊ะในมื้อนี้ด้วย

       นทีจึงหันไปมองคนพูด แล้วก็ต้องสะดุดที่ใจ หญิงสาวที่นั่งเยื้องๆ เขาไปนั้น หล่อนช่างสวยน่ารักเหลือเกิน ขาวๆ หมวยๆ แบบนี้ พิมพ์นิยมแบบดาราเกาหลีจริงๆ แต่ดวงตาของหล่อนไม่ได้เรียวเล็ก แต่กลับกลมโตแป๋วแหวว แก้มเนียนๆ ปากอิ่มๆ ผมยาวตรงประบ่าทำสีออกโทนน้ำตาลอย่างที่สาวๆ สมัยนี้เขาชอบทำสีผมกัน  หล่อนอยู่ในชุดยูกาตะของโรงแรมที่จัดไว้ให้แขกได้ใส่ และทุกคนในคณะทัวร์ก็ใส่เหมือนกันหมด รวมถึงเขาและสิงห์ด้วย

       ชายหนุ่มยอมรับว่าแม้หญิงสาวจะไม่ใช่คนสวยฉูดฉาดบาดตา แต่ก็ถูกสเปคเขาอย่างแรง อดจะคิดไม่ได้ว่าเขาร่วม ทัวร์คณะนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนวาน เขาไม่เคยมองหรือสังเกตผู้ร่วมเดินทางเลย สนใจแต่จะถ่ายรูปอย่างเดียว ถึงเพิ่งมาเห็นว่ามีลูกทัวร์สาวสวยถูกใจเขาขนาดนี้

      “อะ แฮ้ม” เสียงคนตรงหน้ากระแอมกระไอ ดึงนทีให้กลับมา “ชาบู ไฟจะมอดหมดแล้ว” สิงห์เตือน พร้อมกับยิ้มในหน้าแบบคนรู้ทันว่านทีกำลังจ้องมองใครอยู่ ชายหนุ่มทำหน้าเก้อแล้วก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้า ที่แม้จะจานละเล็กจานละน้อย แต่ก็สามารถทำให้เขาอิ่มท้องได้อย่างประหลาด

      หญิงสาวผู้นั้นอิ่มแล้ว และลุกขึ้นพร้อมกับหญิงสาวและชายหนุ่มอีกคน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสามคนนี้มาด้วยกัน

      “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่ล็อบบี้นะครับ ผมจะพาไปออนเซนกลางแจ้งตามที่แจ้งรายละเอียดแล้วตอนอยู่ในรถ” ไกด์ไพรัชประกาศนัดหมาย “ใครที่อยากไป ลงมาพบกัน ส่วนใครที่ไม่ไปก็อิสระนะครับ ช้อปปิ้งในโรงแรมนี้ได้ เหล้าบ๊วยที่ชิมเมื่อกี้ ถ้าใครติดใจก็มีขาย”

      “ออนเซนกลางแจ้ง” นทีทวนคำแล้วทำท่าคิดว่ามันจะเป็นยังไง “พี่ไปไหม”

      “ไปซิ เสียเงินมาแล้ว ต้องเที่ยวและทำกิจกรรมทุกอย่างให้คุ้ม” สิงห์ตอบแบบขาลุย ที่พร้อมจะเรียนรู้ประสบการณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง

       ฉะนั้น เมื่อถึงเวลานัด ทั้งสองจึงลงมาพบกับไกด์ และลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็มาพร้อม รวมทั้ง ‘ก๊วนน้องหมวย’ ด้วย เขาอยากจะเรียกแบบนั้น

      ไกด์อธิบายว่าบ่อน้ำพุร้อนที่จะไปแช่ออนเซนกันนี้เป็นบ่อธรรมชาติที่อยู่ริมลำธารกลางแจ้งท่ามกลางป่าสน อยู่ห่างจากตัวโรงแรมนี้ไปจึงจะต้องพานั่งรถไปพร้อมๆ กัน การไปแช่น้ำพุร้อนในที่แจ้งแบบนี้ ทุกคนจะใส่เสื้อผ้าชุดที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ ฉะนั้นจึงไม่ต้องแยกชายหญิงเหมือนบ่อในโรงแรมที่ต้องถอดเสื้อผ้าหมดและแยกห้องเป็นสัดส่วน

      นทีมองไปรอบตัว ดูเหมือนลูกทัวร์ทั้งคณะสนใจมาร่วมกิจกรรมนี้ ชายหญิงต่างแยกย้ายเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องที่จัดเตรียมไว้ให้แล้วขึ้นรถไปยังบ่อน้ำพุร้อน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

       เมื่อไปถึง ทุกคนจึงได้เห็นว่าลักษณะของบ่อนั้นมีความกว้างจนน่าจะเรียกว่าอ่างหรือสระมากกว่าเพราะกว้างเท่าสระว่ายน้ำขนาดเล็ก บ้างก็มีขนาดประมาณอ่างจากุซซี่ และมีหลายสระให้เลือกลงไปแช่ อากาศรอบตัวที่หนาวเหน็บบนภูเขาตอนกลางคืนแถมยังมีฝนตกลงมาเป็นละอองยิ่งเพิ่มความหนาวเป็นทวีคูณ ทุกคนจึงรีบพาตัวลงไปแช่ในน้ำร้อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

      “อูย ร้อนจัง” คนแรกที่หย่อนตัวลงในสระกว้างที่มีไอน้ำลอยขึ้นเป็นสายอุทานออกมา

      “ค่อยๆ หย่อนขาลงไปก่อนครับ” ไกด์ที่ตามมาดูแลส่งเสียงแนะนำ “ให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวทีละน้อยแล้วจึงค่อยหย่อนตัวลงไป พอร่างกายปรับตัวได้ก็จะอุ่นสบายไม่ร้อน”

      ยังไม่ทันสิ้นเสียงอธิบายของไกด์ เด็กผู้ชายตัวน้อยคนเดียวในกลุ่มที่หย่อนตัวนั่งลงในสระน้ำร้อนก็อุทานขึ้นว่า

      “โอ๊ย ไข่สุกหมดแล้ว”

      เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากบรรดาผู้ใหญ่ในกลุ่ม โดยเฉพาะคนที่มี ‘ไข่’ คงรู้สึกไม่ต่างกัน

      นทีกับสิงห์ยังไม่ลงไปแช่ แต่มองทิวทัศน์รอบๆ ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ที่ให้ความสว่าง รอบบริเวณมีสระน้ำพุร้อนห้าแห่งด้วยกัน ลดหลั่นไปตามโขดหินใหญ่น้อย โดยมีลำธารน้ำใสเย็นยะเยือกไหลผ่ากลาง มีสะพานไม้ทอดข้ามลำธารไปยังสระน้ำร้อนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง แต่ละคนจึงสามารถเลือกสระที่ตัวเองอยากแช่ได้

      “ที่นี่สวยจริงๆ น่าถ่ายรูป”

      “เขาไม่ให้ถ่ายน่ะซิ” รุ่นพี่ตอบแล้วหันมาชวน “ไป เราลงกันเถอะ หนาวแล้ว” เพราะชุดที่แต่ละคนใส่มาเป็นชุดยูกะตะฝ้ายเนื้อไม่หนานัก

       นทีพยักหน้ารับ แต่สายตาก็อดสอดส่ายมองหาคนที่ต้องตาไม่ได้  โน่น หล่อนอยู่ที่สระอีกฟากหนึ่งของลำธาร กำลังหัวเราะสนุกสนานกับเพื่อนที่มาด้วย โดยเฉพาะเพื่อนหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางอาเสี่ยลูกเศรษฐีแบบนั้น เขาอยากจะเดาว่าทั้งคู่น่าจะเป็นแฟนกัน คิดแล้วนทีก็หลุดเสียงถอนหายใจออกมา

      นานหลายปีแล้วกับการอกหักครั้งนั้น นทีไม่เจ็บปวดกับมันอีกแล้ว เพราะเขาใช้เวลาให้หมดไปกับการทำงาน การเที่ยวเตร่เฮฮากับเพื่อนหนุ่มๆ และงานอดิเรกที่เขารักคือการท่องเที่ยวเดินทางเพื่อถ่ายรูป มันทำให้เขารู้ดีว่าถึงไม่มีแฟนชีวิตนี้ก็มีความสุขได้ แถมเขายังอายุน้อย ยังไม่ต้องรีบมีแฟนหรือแต่งงาน เพื่อนๆ ของเขาแม้จะมีผู้หญิงควง แต่ยังไม่มีใครคิดจริงจังหรืออยากมีครอบครัวในวัยยังไม่ถึงสามสิบอย่างนี้

       ทั้งๆ ที่ไม่สนใจผู้หญิงมานาน แถมผู้หญิงสวยก็เคยเจอมาเยอะ แต่ทำไมคราวนี้.... ผู้หญิงคนนี้ คนที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนชื่ออะไร ได้แต่ตั้งฉายาเอาเองว่าน้องหมวย  ทำไมหล่อนจึงทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นได้ขนาดนี้ นทีไม่อาจห้ามสายตาตัวเองได้ มันคอยแต่จะวนเวียนไปยังทิศทางที่หล่อนอยู่

       นทีสะบัดศีรษะไล่ความคิด บอกเตือนตัวเองว่า ‘อย่าไปสนใจเลย เขามีแฟนมาด้วย’


(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่