เนื่องจากที่แอรากอนสุดสัปดาห์นี้มีข่าวที่น่าสนใจหลายข่าว นี่ถือเป็นอีก 1 กระทู้พิเศษจากปกติที่จะไม่มีกระทู้พรีวิวก่อนแข่ง จากกรณีของ Rossi ที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ดูเหมือนทางทีมได้ประเมิณและเห็นว่า Rossi ควรจะต้องพักอย่างน้อย 2 สนาม ก่อนจะประกาศเรียกตัว Michael van der Mark มาขี่แทนเมื่อสัปดาห์ก่อน นั้นแปลว่าเป้าหมายจริงๆคือการกลับมาแข่งที่โมเตกิ ซึ่งนั่นถือว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วล่ะ แต่ล่าสุด รอสซี่ตัดสินใจที่จะกลับมาลองควบเจ้า YZR-M1 คู่ใจเป็นครั้งแรกที่ Aragon หลังจากได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ 21 วัน
แม้ว่าก่อนหน้านี้พอจะคาดเดากันได้ว่าเหล่ามนุษย์เหล็กอย่างนักแข่งโมโตจีพีมักจะฟื้นตัวได้เร็วก่อนกำหนด แต่การที่รอสซี่ตัดสินใจกลับมาเร็วขนาดนี้นั้นถือว่าสร้างความประหลาดใจให้กับวงการอยู่พอสมควร VR46 ลองทดสอบสภาพร่างกายครั้งแรกที่สนามมิซาโน่ ด้วยรถ YZF-R1M เมื่อวันจันทร์ภายใต้ความควบคุมดูแลของ คุณหมอ Lucidi และทีมงาน ซึ่งระหว่างวัน รอสซี่ยังต้องใช้รถเข็นเป็นยานพานะอยู่เลย แต่วิ่งไปได้แค่ 4 รอบก็ต้องหยุดเพราะมีฝนตกลงมา
ถัดมาวันอังคาร รอสซี่ลงไปขี่ได้ประมาณ 20 รอบ อาการปวดตรงขาช่วงที่หักยังมีอยู่แต่ก็ถืออาการว่าทุเลาขึ้นมาเยอะ ต่อมารอสซี่ได้เข้าไปพบคุณหมอ Pascarella ให้ประเมิณอาการว่าถ้าเค้าจะลองมาเช็คสภาพร่างกายในรอบ FP1 ทางหมอจะอนุญาตมั้ย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้รับไฟเขียว ทำให้ VR ได้เก็บเสื้อผ้าแพ็คกระเป๋าบินมาที่แอรากอนสมใจ และล่าสุดเมื่อวาน ทีมแพทย์ของสนามได้ทำการตรวจเช็คและประเมิณสภาพร่างกายของ Rossi อีกรอบ ผลก็คือผ่านการทดสอบพร้อมสำหรับการออกไปทดสอบรถในเช้านี้
การมาของ The doctor ทำให้แคมป์ของ Yamaha ในสุดสัปดาห์นี้มีนักแข่งทั้งหมด 3 คนคือ Maverick Vinales, Valentino Rossi และ Michael van der Mark โดย Rossi จะประเมิณอาการบาดเจ็บอีกครั้งในรอบ FP1 ว่ายังไง ถ้าดูแล้วมันเสี่ยงเกินไปก็จะเป็นฟาน เดอร์ มาร์ค ที่จะทำหน้าที่รับไม้ต่อลงไปวิ่งในอีกทุกเซสชั่นที่เหลือ ตอนแรกที่ The doctor ประกาศว่าจะมาแข่งที่แอรากอน ก็มีหลายคนออกมาเตือนว่าเสี่ยงเกินไปรึเปล่า ถ้าหากได้รับบาดเจ็บซ้ำมา มันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันแล้ว รอสซี่คงอยากจะลองดูว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็เชื่อว่าเจ้าตัวคงไม่เสี่ยงหรอก
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไม Rossi ถึงได้พยายามอย่างหนักขนาดนี้ อย่างแรกก็คงจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บที่ดีขึ้นไว้จริงๆ แม้ว่าจะขาหักแต่ก็ไม่ได้หนักเหมือนปี 2010 เดาว่ารอยแตกของกระดูที่หักน่าจะแตกแบบเป็นระเบียบ ยังไงดี ประมาณว่ารอยหักน่าจะแตกเป็นรอยใหญ่รอยเดียว ทำให้การเชื่อมต่อนั้นทำได้เร็วและมีอาการบาดเจ็บน้อยกว่ากรณีกระดูกที่แตกหลายๆส่วน อีกอย่างคือรอสซี่มองว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจุบัน โดยเฉพาะตัวยาที่พัฒนาขึ้นก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้อาการบาดเจ็บของเค้าดีขึ้นได้ไวกว่าในอดีต ซึ่งจริงๆรอสซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ตั้งแต่หลังออกจาก ร.พ. ได้ไม่กี่วันแล้วว่าแผลที่เท้าน่ะโอเค ไม่ได้รุนแรงมาก แต่ที่แย่กว่าคือสภาพจิตใจ ที่ต้องพลาดการลงแข่งที่มิซาโน่ต่อหน้าแฟนๆ
จากบทสัมภาษณ์เมื่อวาน แม้ว่ารอสซี่จะพยายามออกตัวว่าที่กลับมาเร็วขนาดนี้ ไม่ได้หวังลุ้นแชมป์อะไรหรอก นี่เป็นสิ่งที่เค้าตั้งใจและพยายามตั้งแต่แรกแล้วว่าจะคัมแบ็คให้เร็วที่สุด แต่ส่วนตัวมองว่า ตอนนี้ Rossi ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว รอสซี่ก็คงอยากลองทุกวิธี เผื่อว่ามันจะช่วยยืดความหวังที่จะได้ไปลุ้นแชมป์ในสนามสุดท้ายกับเค้าออกไปได้อีก แม้ว่าคะแนนในตอนนี้จะตามหลังผู้นำอยู่ถึง 42 คะแนน แต่กับอีก 5 สนามที่เหลือ มันก็มีโอกาสที่ผู้นำอย่างมาเกวซ โดวิหรือวินยาเลสจะมีข้อผิดพลาดเช่นอาจจะมีพลาดเกี่ยวก้อยกันล้มออกไปเป็นคู่งี้ นั่นคือถ้ารอสซี่โชคดี ไม่ปวดแผลมาก สามารถลงไปแข่งและเก็บคะแนนในสัปดาห์นี้ได้บ้าง ก็อาจจะโดนทิ้งห่างออกไปอีกแค่ 10 กว่าคะแนน รวมๆไปแล้วก็จะตามอยู่ราวๆ 50-60 แต้ม ทำให้กับอีก 4 สนามที่เหลือ หลังจากที่ VR46 กลับมาแข่งแบบฟิตสมบูรณ์ ก็ยังถือว่าพอได้ลุ้นอีกเฮือก แม้ว่าโอกาสจะน้อยแต่ยังดีกว่าไม่มี เพียงแต่ว่างานนี้กองแช่งต้องทำงานกันอีกทีมหนึ่งด้วย ฮ่าๆ
แต่ถามว่าง่ายมั้ยที่ Rossi จะเก็บได้ 6-7 คะแนน ก็ต้องบอกว่าไม่ง่ายเพราะนี่ไม่ใช่สนามเก่งของเค้า อาการบาดเจ็บน่าจะดีขึ้นวันต่อวัน ถ้าไม่ล้มซ้ำ หลังจากผ่านเซสชั่นแรกไปแล้ว Rossi น่าจะพอประเมิณได้คร่าวๆว่าจนถึงบ่ายวันอาทิตย์ ขาของเค้าจะดีขึ้นแค่ไหน หลังจากที่ลงไปวิ่งเมื่อวันจันทร์ อังคาร ส่วนที่ยังเจ็บที่สุดในตอนนี้คือน่อง ตรงหน้าแข้งรอสซี่บอกว่าค่อนข้างโอเคแล้ว แต่เมื่อขาดบาดเจ็บ การเปลี่ยนทิศทางรถก็จะทำได้ช้ากว่านักแข่งที่ฟิตสมบูรณ์ ซึ่งในเซ็คเตอร์ที่ 2 และ 3 ของสนามมีโค้งที่ต้องเปลี่ยนทิศทางหลายโค้งซะด้วย ส่วนตัวเดาว่าถ้า Rossi จะหวังแต้ม เค้าก็คงอยากจบใน Top 10 นี่แหละ คงไม่ได้หวังแค่ 1-5 คะแนนในอันดับ 11-15 ปัญหาคือการขับเคี่ยวในกลุ่ม Top10 นั้นค่อนข้างสูง ในบางสนามมันอาจจะมีนักแข่ง 12-13 คนที่สามารถเข้ามาแย่งตำแหน่งในกลุ่มนี้ ถือว่าไม่ง่ายสำหรับนักแข่งที่บาดเจ็บแล้วต้องลงไปบู๊กับฝูงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ Rossi ต้องประเมิณทั้งในส่วนของตัวเองและคู่แข่ง
สำหรับ Michael van der Mark แม้ว่าอาจจะต้องรับบทตัวสำรอง ต้องมานั่งลุ้นว่าตัวเองจะได้ลงไปสัมผัสกับรถ MotoGP รึเปล่า แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีและถือว่าได้ทำเพื่อ Yamaha แล้ว สมมุติว่าเค้าไม่ได้แข่งในสุดสัปดาห์นี้ แต่ด้วยสปิริตตรงนี้ ก็พอจะการันตีได้ว่าเค้าจะได้สัมผัสรถ YZR-M1 ของ Yamaha อย่างแน่นอนในอนาคต
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในสุดสัปดาห์นี้คือการขับเคี่ยวกันระหว่างนักแข่งตัวจริงอย่าง Bradley Smith และนักแข่งทดสอบ Mika Kallio ที่จะได้ลงแข่งผ่าน Wildcard อีก 1 สนาม KTM ประกาศออกมาค่อนข้างชัดว่าจะใช้ผลงานในสนามนี้เป็นตัวตัดสินว่าทั้งคู่จะต้องสลับตำแหน่งกันในฤดูกาลหน้ารึเปล่า เนื่องจาก Bradley Smith ทำผลงานได้เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Pol Espargaro มาตลอดในฤดูกาลนี้ จนกระทั่งมาถึงสนามล่าสุดที่ซานมาริโน่นี่แหละที่ BS38 นั้นสามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับที่เหนือกว่า PE44 ได้เป็นครั้งแรก
KTM เริ่มตั้งคำถามไปยังฟอร์มของสมิธหลังจากผ่านครึ่งฤดูกาลมาแล้ว และลองเปลี่ยนหัวหน้าช่างให้ใหม่เพื่อช่วยอีกทาง จาก 2 สนามล่าสุด ดูเหมือนว่าแรงกดดันนั้นเริ่มจะส่งผลในทางบวก เจ้าตัวเริ่มปรับตัวให้เข้ากับรถ RC 16 ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการได้ที่ 10 เมื่อสนามที่แล้วซึ่งน่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเจ้ามิตตี้พอสมควร การมาเจอกับ Mika Kallio ที่มุ่งมั่นสุดๆและตั้งใจจะหวนกลับคืนมาแข่งในรุ่นโมโตจีพีให้ได้ในฤดูกาลหน้าให้ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นมวยคู่ค้ำที่ถูกคู่มากๆ ถ้านับเฉพาะสนามที่ทั้งสมิธและมิก้าลงแข่งพร้อมกัน ที่เยอรมัน BS38 ทำได้ดีกว่า แต่ที่ออสเตรียเป็น MK36 ที่ทำได้กว่าพร้อมกับคว้าอันดับ 10 มาได้ ถือว่าสถิติค่อนข้างสูสีกัน ต้องรอดูว่าผลการแข่งขันที่นี่จะออกมายังไง
ไหนๆก็เป็นกระทู้พรีวิวละ มาดูสถิติเกี่ยวกับการแข่งที่นี่กันหน่อย
- สนาม Aragon รับหน้าเสื่อจัดแข่งขัน MotoGP ครั้งแรกเมื่อปี 2010 โดยเป็นสนามที่ 6 ในสเปนที่เคยถูกใช้ในการแข่งโมโตจีพีต่อจากสนาม Jerez, Catalunya, Jarama, Montjuich และ Valencia ปัจุบันมีการแข่งขัน MotoGP ในสเปนถึง 4 รายการ (เฆเรส, คาตาลัน, แอรากอนและบาเลนเซีย)
- เคซีย์ สโตนเนอร์ เป็นนักแข่งคนแรกที่ชนะในรุ่นโมโตจีพีที่นี่ โดยตอนนั้นบักหินยังคงขี่รถ Ducati อยู่และนั่นเป็นชัยชนะเพียงครั้งเดียวของดูคาติที่ทำได้ที่แอรากอน
- ฮอนด้าเป็นโรงงานที่ชนะที่นี่มากที่สุด โดยชนะไปแล้วถึง 4 ครั้ง จากสโตนเนอร์ในปี 2011, เพโดรซ่าในปี 2012 และมาร์ค มาเกวซปี 2013 และ 2016 ส่วน Yamaha ชนะที่นี่ 2 ครั้งในปี 2014 และ 2015 โดยฮอร์เฮ ลอเรนโซ่
- นักแข่งสเปนครองความเป็นเต้ยที่นี่ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา นับทั้ง 3 รุ่นมีนักแข่งชาติอื่นเพียงแค่ Casey Stoner (MotoGP), Andrea Iannone (Moto2), Romano Fenati (Moto3), Miguel Oliveira (Moto3) และ Sam Lowes (Moto2) เท่านั้นที่เคยชนะการแข่งขันที่นี่
- ทั้ง 4 ปีที่ Marc Marquez มาแข่งที่นี่ในรุ่น MotoGP เค้าได้ออกสตาร์ทจากอันดับ 1 ทุกครั้ง
- Aragon เป็น 1 ใน 5 สนามที่รถจะวิ่งแบบทวนเข็มนาฬิกา เหมือนกับสนาม Austin, Sachsenring, Phillip Island และ Valencia
- และที่นี่ยังเป็น 1 ใน 3 สนามในปฏิทินการแข่งขันที่ Rossi ยังไม่เคยชนะการแข่งขัน ส่วนอีก 2 สนามที่เหลือคือที่ออสติน ซึ่งมาร์ค มาเกวซเหมาหมด ส่วนอีกสนามก็คือที่ Red Bull Ring ที่ถ้านับกันเฉพาะรอบหลังนี่เป็น Ducati ที่กวาดแชมป์ไปครองทั้ง 2 ครั้ง ส่วนที่แข่งขันในสมัยก่อน ครั้งล่าสุดก็ต้องย้อนกลับไปนู้นนนน ปี 1997 ในสมัยที่สนามยังมีชื่อว่า A1-Ring อยู่ ซึ่งมิค ดูฮาน ตำนานนักบิดชาวออสเตรเรียจากทีม Honda เป็นคนที่ชนะในการแข่งขันครั้งนั้น
สรุปสถานการณ์และสถิติต่างๆหลังจากจบการแข่งขันที่มิซาโน่
- Honda เป็นผู้นำในตารางคะแนนสะสมประเภททีมผู้สร้าง โดยนำ Yamaha ที่ตามมาในอันดับ 2 อยู่แค่ 5 คะแนน ขณะที่ Ducati ที่ตามมาในอันดับ 3 นั้นมีคะแนนตามหลังผู้นำอยู่แค่ 17 คะแนนเท่านั้น นี่ถือเป็นตารางคะแนนที่สูสีที่สุดในประเภทนี้ตั้งแต่มีการเปลี่ยนมาเป็น MotoGP ในปี 2002
- ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา มีการสลับเปลี่ยนผู้นำในตารางคะแนนสะสมมาแล้วถึง 6 คน
- ตอนนี้ผู้นำอย่างมาเกวซและโดวิซิโอโซ่เก็บคะแนนได้ 199 คะแนน หลังผ่านไป 13 สนาม ซึ่งถือเป็นคะแนนที่ต่ำที่สุดในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกทั้งรุ่น 500cc และ MotoGP นับตั้งแต่ปี 1993 โดยเจ้าของสถิติเดิมก่อนหน้านี้ คือปี 2006 โดย Nicky Hayden และปี 2000 โดย Kenny Roberts ที่ทั้งคู่เก็บไปได้ 214 คะแนน หลังจากผ่านไป 13 รายการ
- Andrea Dovizioso ที่ตอนนี้มีคะแนน 199 คะแนนกำลังจะกลายเป็นนักแข่งดูคาติคนแรกที่จะเก็บคะแนนได้เกิน 200 นับตั้งแต่ปี 2010 ที่สโตนเนอร์ทำได้ 225 คะแนน (ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ Honda ในปี 2011)
- โพเดี่ยมที่มิซ่าโน่ ทำให้โดวินั้นขึ้นไปยืนบนโพเดี่ยมในรุ่น MotoGP เป็นครั้งที่ 40 เทียบเท่ากับเจ้าของแชมป์โลกรุ่น 500cc 2 สมัย ซึ่งเป็นนักแข่งที่เฟี้ยวฟ้าวที่สุดคนหนึ่งอย่าง Barry Sheene
- Jack Miller จะแข่งขันรายการที่ 100 ใน World Grand Prix ที่นี่ โดยไอ้แจ็คนั้นลงแข่งในรุ่น 125cc 6 ครั้ง Moto3 49 ครั้ง ก่อนที่จะกระโดดขึ้นมาแข่งในโมโตจีพีแล้วทั้งหมด 45 สนาม
- ผลต่างคะแนนระหว่าง MM93 ที่อยู่อันดับ 1 กับ MV25 ที่อยู่ในอันดับ 3 ที่ 16 คะแนนนั้นถือเป็นช่องว่างที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีระหว่างอันดับ 1 และ 3 โดยก่อนหน้านี้เป็นปี 2006 ที่มีช่องว่างอยู่ที่ 26 คะแนน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บ
MotoGP ครับผม
[MotoGP] พรีวิว สนาม 14: Valentino Rossi comeback! และศึกภายในอันร้อนระอุของ KTM
แม้ว่าก่อนหน้านี้พอจะคาดเดากันได้ว่าเหล่ามนุษย์เหล็กอย่างนักแข่งโมโตจีพีมักจะฟื้นตัวได้เร็วก่อนกำหนด แต่การที่รอสซี่ตัดสินใจกลับมาเร็วขนาดนี้นั้นถือว่าสร้างความประหลาดใจให้กับวงการอยู่พอสมควร VR46 ลองทดสอบสภาพร่างกายครั้งแรกที่สนามมิซาโน่ ด้วยรถ YZF-R1M เมื่อวันจันทร์ภายใต้ความควบคุมดูแลของ คุณหมอ Lucidi และทีมงาน ซึ่งระหว่างวัน รอสซี่ยังต้องใช้รถเข็นเป็นยานพานะอยู่เลย แต่วิ่งไปได้แค่ 4 รอบก็ต้องหยุดเพราะมีฝนตกลงมา
ถัดมาวันอังคาร รอสซี่ลงไปขี่ได้ประมาณ 20 รอบ อาการปวดตรงขาช่วงที่หักยังมีอยู่แต่ก็ถืออาการว่าทุเลาขึ้นมาเยอะ ต่อมารอสซี่ได้เข้าไปพบคุณหมอ Pascarella ให้ประเมิณอาการว่าถ้าเค้าจะลองมาเช็คสภาพร่างกายในรอบ FP1 ทางหมอจะอนุญาตมั้ย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้รับไฟเขียว ทำให้ VR ได้เก็บเสื้อผ้าแพ็คกระเป๋าบินมาที่แอรากอนสมใจ และล่าสุดเมื่อวาน ทีมแพทย์ของสนามได้ทำการตรวจเช็คและประเมิณสภาพร่างกายของ Rossi อีกรอบ ผลก็คือผ่านการทดสอบพร้อมสำหรับการออกไปทดสอบรถในเช้านี้
การมาของ The doctor ทำให้แคมป์ของ Yamaha ในสุดสัปดาห์นี้มีนักแข่งทั้งหมด 3 คนคือ Maverick Vinales, Valentino Rossi และ Michael van der Mark โดย Rossi จะประเมิณอาการบาดเจ็บอีกครั้งในรอบ FP1 ว่ายังไง ถ้าดูแล้วมันเสี่ยงเกินไปก็จะเป็นฟาน เดอร์ มาร์ค ที่จะทำหน้าที่รับไม้ต่อลงไปวิ่งในอีกทุกเซสชั่นที่เหลือ ตอนแรกที่ The doctor ประกาศว่าจะมาแข่งที่แอรากอน ก็มีหลายคนออกมาเตือนว่าเสี่ยงเกินไปรึเปล่า ถ้าหากได้รับบาดเจ็บซ้ำมา มันจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันแล้ว รอสซี่คงอยากจะลองดูว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็เชื่อว่าเจ้าตัวคงไม่เสี่ยงหรอก
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไม Rossi ถึงได้พยายามอย่างหนักขนาดนี้ อย่างแรกก็คงจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บที่ดีขึ้นไว้จริงๆ แม้ว่าจะขาหักแต่ก็ไม่ได้หนักเหมือนปี 2010 เดาว่ารอยแตกของกระดูที่หักน่าจะแตกแบบเป็นระเบียบ ยังไงดี ประมาณว่ารอยหักน่าจะแตกเป็นรอยใหญ่รอยเดียว ทำให้การเชื่อมต่อนั้นทำได้เร็วและมีอาการบาดเจ็บน้อยกว่ากรณีกระดูกที่แตกหลายๆส่วน อีกอย่างคือรอสซี่มองว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจุบัน โดยเฉพาะตัวยาที่พัฒนาขึ้นก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้อาการบาดเจ็บของเค้าดีขึ้นได้ไวกว่าในอดีต ซึ่งจริงๆรอสซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ตั้งแต่หลังออกจาก ร.พ. ได้ไม่กี่วันแล้วว่าแผลที่เท้าน่ะโอเค ไม่ได้รุนแรงมาก แต่ที่แย่กว่าคือสภาพจิตใจ ที่ต้องพลาดการลงแข่งที่มิซาโน่ต่อหน้าแฟนๆ
จากบทสัมภาษณ์เมื่อวาน แม้ว่ารอสซี่จะพยายามออกตัวว่าที่กลับมาเร็วขนาดนี้ ไม่ได้หวังลุ้นแชมป์อะไรหรอก นี่เป็นสิ่งที่เค้าตั้งใจและพยายามตั้งแต่แรกแล้วว่าจะคัมแบ็คให้เร็วที่สุด แต่ส่วนตัวมองว่า ตอนนี้ Rossi ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว รอสซี่ก็คงอยากลองทุกวิธี เผื่อว่ามันจะช่วยยืดความหวังที่จะได้ไปลุ้นแชมป์ในสนามสุดท้ายกับเค้าออกไปได้อีก แม้ว่าคะแนนในตอนนี้จะตามหลังผู้นำอยู่ถึง 42 คะแนน แต่กับอีก 5 สนามที่เหลือ มันก็มีโอกาสที่ผู้นำอย่างมาเกวซ โดวิหรือวินยาเลสจะมีข้อผิดพลาดเช่นอาจจะมีพลาดเกี่ยวก้อยกันล้มออกไปเป็นคู่งี้ นั่นคือถ้ารอสซี่โชคดี ไม่ปวดแผลมาก สามารถลงไปแข่งและเก็บคะแนนในสัปดาห์นี้ได้บ้าง ก็อาจจะโดนทิ้งห่างออกไปอีกแค่ 10 กว่าคะแนน รวมๆไปแล้วก็จะตามอยู่ราวๆ 50-60 แต้ม ทำให้กับอีก 4 สนามที่เหลือ หลังจากที่ VR46 กลับมาแข่งแบบฟิตสมบูรณ์ ก็ยังถือว่าพอได้ลุ้นอีกเฮือก แม้ว่าโอกาสจะน้อยแต่ยังดีกว่าไม่มี เพียงแต่ว่างานนี้กองแช่งต้องทำงานกันอีกทีมหนึ่งด้วย ฮ่าๆ
แต่ถามว่าง่ายมั้ยที่ Rossi จะเก็บได้ 6-7 คะแนน ก็ต้องบอกว่าไม่ง่ายเพราะนี่ไม่ใช่สนามเก่งของเค้า อาการบาดเจ็บน่าจะดีขึ้นวันต่อวัน ถ้าไม่ล้มซ้ำ หลังจากผ่านเซสชั่นแรกไปแล้ว Rossi น่าจะพอประเมิณได้คร่าวๆว่าจนถึงบ่ายวันอาทิตย์ ขาของเค้าจะดีขึ้นแค่ไหน หลังจากที่ลงไปวิ่งเมื่อวันจันทร์ อังคาร ส่วนที่ยังเจ็บที่สุดในตอนนี้คือน่อง ตรงหน้าแข้งรอสซี่บอกว่าค่อนข้างโอเคแล้ว แต่เมื่อขาดบาดเจ็บ การเปลี่ยนทิศทางรถก็จะทำได้ช้ากว่านักแข่งที่ฟิตสมบูรณ์ ซึ่งในเซ็คเตอร์ที่ 2 และ 3 ของสนามมีโค้งที่ต้องเปลี่ยนทิศทางหลายโค้งซะด้วย ส่วนตัวเดาว่าถ้า Rossi จะหวังแต้ม เค้าก็คงอยากจบใน Top 10 นี่แหละ คงไม่ได้หวังแค่ 1-5 คะแนนในอันดับ 11-15 ปัญหาคือการขับเคี่ยวในกลุ่ม Top10 นั้นค่อนข้างสูง ในบางสนามมันอาจจะมีนักแข่ง 12-13 คนที่สามารถเข้ามาแย่งตำแหน่งในกลุ่มนี้ ถือว่าไม่ง่ายสำหรับนักแข่งที่บาดเจ็บแล้วต้องลงไปบู๊กับฝูงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ Rossi ต้องประเมิณทั้งในส่วนของตัวเองและคู่แข่ง
สำหรับ Michael van der Mark แม้ว่าอาจจะต้องรับบทตัวสำรอง ต้องมานั่งลุ้นว่าตัวเองจะได้ลงไปสัมผัสกับรถ MotoGP รึเปล่า แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีและถือว่าได้ทำเพื่อ Yamaha แล้ว สมมุติว่าเค้าไม่ได้แข่งในสุดสัปดาห์นี้ แต่ด้วยสปิริตตรงนี้ ก็พอจะการันตีได้ว่าเค้าจะได้สัมผัสรถ YZR-M1 ของ Yamaha อย่างแน่นอนในอนาคต
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในสุดสัปดาห์นี้คือการขับเคี่ยวกันระหว่างนักแข่งตัวจริงอย่าง Bradley Smith และนักแข่งทดสอบ Mika Kallio ที่จะได้ลงแข่งผ่าน Wildcard อีก 1 สนาม KTM ประกาศออกมาค่อนข้างชัดว่าจะใช้ผลงานในสนามนี้เป็นตัวตัดสินว่าทั้งคู่จะต้องสลับตำแหน่งกันในฤดูกาลหน้ารึเปล่า เนื่องจาก Bradley Smith ทำผลงานได้เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Pol Espargaro มาตลอดในฤดูกาลนี้ จนกระทั่งมาถึงสนามล่าสุดที่ซานมาริโน่นี่แหละที่ BS38 นั้นสามารถจบการแข่งขันด้วยอันดับที่เหนือกว่า PE44 ได้เป็นครั้งแรก
KTM เริ่มตั้งคำถามไปยังฟอร์มของสมิธหลังจากผ่านครึ่งฤดูกาลมาแล้ว และลองเปลี่ยนหัวหน้าช่างให้ใหม่เพื่อช่วยอีกทาง จาก 2 สนามล่าสุด ดูเหมือนว่าแรงกดดันนั้นเริ่มจะส่งผลในทางบวก เจ้าตัวเริ่มปรับตัวให้เข้ากับรถ RC 16 ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการได้ที่ 10 เมื่อสนามที่แล้วซึ่งน่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเจ้ามิตตี้พอสมควร การมาเจอกับ Mika Kallio ที่มุ่งมั่นสุดๆและตั้งใจจะหวนกลับคืนมาแข่งในรุ่นโมโตจีพีให้ได้ในฤดูกาลหน้าให้ได้ ก็ต้องถือว่าเป็นมวยคู่ค้ำที่ถูกคู่มากๆ ถ้านับเฉพาะสนามที่ทั้งสมิธและมิก้าลงแข่งพร้อมกัน ที่เยอรมัน BS38 ทำได้ดีกว่า แต่ที่ออสเตรียเป็น MK36 ที่ทำได้กว่าพร้อมกับคว้าอันดับ 10 มาได้ ถือว่าสถิติค่อนข้างสูสีกัน ต้องรอดูว่าผลการแข่งขันที่นี่จะออกมายังไง
ไหนๆก็เป็นกระทู้พรีวิวละ มาดูสถิติเกี่ยวกับการแข่งที่นี่กันหน่อย
- สนาม Aragon รับหน้าเสื่อจัดแข่งขัน MotoGP ครั้งแรกเมื่อปี 2010 โดยเป็นสนามที่ 6 ในสเปนที่เคยถูกใช้ในการแข่งโมโตจีพีต่อจากสนาม Jerez, Catalunya, Jarama, Montjuich และ Valencia ปัจุบันมีการแข่งขัน MotoGP ในสเปนถึง 4 รายการ (เฆเรส, คาตาลัน, แอรากอนและบาเลนเซีย)
- เคซีย์ สโตนเนอร์ เป็นนักแข่งคนแรกที่ชนะในรุ่นโมโตจีพีที่นี่ โดยตอนนั้นบักหินยังคงขี่รถ Ducati อยู่และนั่นเป็นชัยชนะเพียงครั้งเดียวของดูคาติที่ทำได้ที่แอรากอน
- ฮอนด้าเป็นโรงงานที่ชนะที่นี่มากที่สุด โดยชนะไปแล้วถึง 4 ครั้ง จากสโตนเนอร์ในปี 2011, เพโดรซ่าในปี 2012 และมาร์ค มาเกวซปี 2013 และ 2016 ส่วน Yamaha ชนะที่นี่ 2 ครั้งในปี 2014 และ 2015 โดยฮอร์เฮ ลอเรนโซ่
- นักแข่งสเปนครองความเป็นเต้ยที่นี่ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา นับทั้ง 3 รุ่นมีนักแข่งชาติอื่นเพียงแค่ Casey Stoner (MotoGP), Andrea Iannone (Moto2), Romano Fenati (Moto3), Miguel Oliveira (Moto3) และ Sam Lowes (Moto2) เท่านั้นที่เคยชนะการแข่งขันที่นี่
- ทั้ง 4 ปีที่ Marc Marquez มาแข่งที่นี่ในรุ่น MotoGP เค้าได้ออกสตาร์ทจากอันดับ 1 ทุกครั้ง
- Aragon เป็น 1 ใน 5 สนามที่รถจะวิ่งแบบทวนเข็มนาฬิกา เหมือนกับสนาม Austin, Sachsenring, Phillip Island และ Valencia
- และที่นี่ยังเป็น 1 ใน 3 สนามในปฏิทินการแข่งขันที่ Rossi ยังไม่เคยชนะการแข่งขัน ส่วนอีก 2 สนามที่เหลือคือที่ออสติน ซึ่งมาร์ค มาเกวซเหมาหมด ส่วนอีกสนามก็คือที่ Red Bull Ring ที่ถ้านับกันเฉพาะรอบหลังนี่เป็น Ducati ที่กวาดแชมป์ไปครองทั้ง 2 ครั้ง ส่วนที่แข่งขันในสมัยก่อน ครั้งล่าสุดก็ต้องย้อนกลับไปนู้นนนน ปี 1997 ในสมัยที่สนามยังมีชื่อว่า A1-Ring อยู่ ซึ่งมิค ดูฮาน ตำนานนักบิดชาวออสเตรเรียจากทีม Honda เป็นคนที่ชนะในการแข่งขันครั้งนั้น
สรุปสถานการณ์และสถิติต่างๆหลังจากจบการแข่งขันที่มิซาโน่
- Honda เป็นผู้นำในตารางคะแนนสะสมประเภททีมผู้สร้าง โดยนำ Yamaha ที่ตามมาในอันดับ 2 อยู่แค่ 5 คะแนน ขณะที่ Ducati ที่ตามมาในอันดับ 3 นั้นมีคะแนนตามหลังผู้นำอยู่แค่ 17 คะแนนเท่านั้น นี่ถือเป็นตารางคะแนนที่สูสีที่สุดในประเภทนี้ตั้งแต่มีการเปลี่ยนมาเป็น MotoGP ในปี 2002
- ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา มีการสลับเปลี่ยนผู้นำในตารางคะแนนสะสมมาแล้วถึง 6 คน
- ตอนนี้ผู้นำอย่างมาเกวซและโดวิซิโอโซ่เก็บคะแนนได้ 199 คะแนน หลังผ่านไป 13 สนาม ซึ่งถือเป็นคะแนนที่ต่ำที่สุดในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกทั้งรุ่น 500cc และ MotoGP นับตั้งแต่ปี 1993 โดยเจ้าของสถิติเดิมก่อนหน้านี้ คือปี 2006 โดย Nicky Hayden และปี 2000 โดย Kenny Roberts ที่ทั้งคู่เก็บไปได้ 214 คะแนน หลังจากผ่านไป 13 รายการ
- Andrea Dovizioso ที่ตอนนี้มีคะแนน 199 คะแนนกำลังจะกลายเป็นนักแข่งดูคาติคนแรกที่จะเก็บคะแนนได้เกิน 200 นับตั้งแต่ปี 2010 ที่สโตนเนอร์ทำได้ 225 คะแนน (ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ Honda ในปี 2011)
- โพเดี่ยมที่มิซ่าโน่ ทำให้โดวินั้นขึ้นไปยืนบนโพเดี่ยมในรุ่น MotoGP เป็นครั้งที่ 40 เทียบเท่ากับเจ้าของแชมป์โลกรุ่น 500cc 2 สมัย ซึ่งเป็นนักแข่งที่เฟี้ยวฟ้าวที่สุดคนหนึ่งอย่าง Barry Sheene
- Jack Miller จะแข่งขันรายการที่ 100 ใน World Grand Prix ที่นี่ โดยไอ้แจ็คนั้นลงแข่งในรุ่น 125cc 6 ครั้ง Moto3 49 ครั้ง ก่อนที่จะกระโดดขึ้นมาแข่งในโมโตจีพีแล้วทั้งหมด 45 สนาม
- ผลต่างคะแนนระหว่าง MM93 ที่อยู่อันดับ 1 กับ MV25 ที่อยู่ในอันดับ 3 ที่ 16 คะแนนนั้นถือเป็นช่องว่างที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีระหว่างอันดับ 1 และ 3 โดยก่อนหน้านี้เป็นปี 2006 ที่มีช่องว่างอยู่ที่ 26 คะแนน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากเว็บ MotoGP ครับผม