เมื่อ 3 ปีก่อน ผมได้รับเชิญพร้อมกับเพื่อนๆ ไปรับประทานอาหารกลางวันและชมฟุตบอลที่สนามคิงเพาเวอร์สเตเดี่ยม “เลสเตอร์ ซิตี้” ทีมเจ้าบ้านที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกเป็นปีแรกพบกับยอดทีมของเกาะอังกฤษ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” …ใครจะนึกครับ เลสเตอร์ ซิตี้ทีมน้องใหม่โดนนำ 2 ลูกในครึ่งแรกจะพลิกกลับมาชนะทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อย่างสุดมันส์ 5-3
ทั้งทีมผมจำชื่อใครไม่ได้เลยยกเว้น “แคสเปอร์ ชไมเคิล” (ผมชอบเล่นตำแหน่งโกล์) และ “เจมี่ วาร์ดี้” กองหน้าเบอร์ 9 ตัวแสบ ลีลาจี๊ดจ๊าดสุดๆ ที่ทำทีมได้ประตู พอแมตช์นั้นเล่นจบผมขอไปถ่ายรูปกับนักเตะทั้ง 2 คนนี้และลงไปซื้อเสื้อทีมเลสเตอร์ ผมกลายเป็นแฟนทีมจิ้งจอกสยามตั้งแต่นัดนั้นเป็นต้นมา
ในช่วงปีเดียวกัน (เมื่อ 3 ปีที่แล้ว) ผมเพิ่งทราบว่า นอกจากทีมเลสเตอร์จะแข่งตามโปรแกรมเตะที่ประเทศอังกฤษแล้ว ในเมืองไทยมีโครงการส่งเสริมเยาวชนด้านกีฬาฟุตบอลที่ชื่อว่า “Fox Hunt” ด้วย ซึ่งเป็นการคัดตัวนักเตะเยาวชนไทยทั่วประเทศ แล้วได้ไปฝึกซ้อมและเรียนที่เมืองเลสเตอร์ วันนี้นักเตะรุ่นที่ 1 ของโครงการ Fox Hunt กลับมาแล้ว
ผมมีโอกาสสัมภาษณ์ 1 ใน 4 ของนักเตะที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสรในประเทศยุโรป ผมถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากที่เด็กไทยอายุเพียง 19 ปีจะได้ทำตามฝันและหาประสบการณ์ในต่างแดนให้กับตนเอง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นเยาว์ที่จะเดินตามรอยของรุ่นพี่ต่อไปได้
น้าเมฆ : สวัสดีครับ “เซ็คเกิ้น” (Second) ชื่อแบบนี้เป็นลูกคนที่สองหรือเปล่า ช่วยแนะนำตัวหน่อยครับ
เซ็คเกิ้น : ใช่ครับ ผมมีพี่ชื่อ เฟิร์ส ครับ ผมเป็นลูกคนที่สองเลยชื่อ “เซ็คเกิ้น” ชื่อจริงชื่อ ธาวิน มหจินดาวงษ์ ครับ
น้าเมฆ : ปัจจุบันอายุเท่าไหร่ แล้วเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่กี่ขวบครับ
เซ็คเกิ้น : ผมอายุ 19 ปีครับ จริงๆ ผมไม่ได้เล่นบอลเป็นกีฬาแรกๆ นะครับ ผมตีแบด ตีกอล์ฟ ตีปิงปองกับครอบครัวมาก่อน แต่พอเข้าเรียน ป.1 เข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ที่โรงเรียนมีการแข่งเตะฟุตบอลห้องของเด็ก ป.1 ผมลองเล่นแล้วสนุก เลยคุยกับแม่เพื่อหาที่เรียนฟุตบอล แล้วก็เล่นมาตลอดครับ
น้าเมฆ : ตอนเด็กๆ ได้ดูฟุตบอลหรืออ่านการ์ตูนฟุตบอลมาก่อนมไหมครับ เพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจ
เซ็คเกิ้น : ไม่เลยครับ เพราะที่บ้านจะตีแบด ถือเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่ทุกคนจะเล่นด้วยกันได้หมด ส่วนการ์ตูนก็อ่านครับ แต่ไม่ใช่การ์ตูนฟุตบอล ส่วนดูบอลนี่มาเริ่มดูหลังจากเริ่มเล่นแล้วครับ เพราะพ่อให้ดูจะได้จำเทคนิคต่างๆ มาใช้เวลาเล่นได้
น้าเมฆ : แล้วชอบดูบอลลีกไหนเป็นพิเศษครับ
เซ็คเกิ้น : ถ้าทั่วไปก็คงดูฟุตบอลอังกฤษนี่แหละครับ แต่ถ้าชอบจริงๆ คือ ดูแมตช์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกเพราะคัดแต่ทีมเก่งๆ ของแต่ละประเทศมาเจอกัน
น้าเมฆ : ถ้าเป็นในลีกอังกฤษชอบทีมไหนเป็นพิเศษ และมีใครเป็นนักเตะที่ชื่นชอบบ้างครับ (ผมแซวว่าอย่าตอบเอาใจเลสเตอร์นะ)
เซ็คเกิ้น : ผมชอบแมนยูสมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันคุมทีมอยู่ครับ ผมว่าตอนนั้นแมนยูเก่งมาก ผมจำชื่อนักเตะได้ทุกตัว มีนักเตะดีๆ ที่ชื่นชอบ คือ โรนัลโด้ ครับ ผมว่าเขาเก่ง ขยัน และไม่หยุดพัฒนาความสามารถของตัวเอง ขนาดตอนนี้อายุเกิน 30 แล้วก็ยังเก่งอยู่ หลังจาก เซอร์อเล็กซ์ เลิกคุมทีม ผมก็ไม่ดูบอลอังกฤษเลย จนมาเชียร์เลสเตอร์เพราะได้ข่าวว่าเจ้าของเป็นคนไทย เลยกลับมาดูบอล
ที่ชอบคือ ดริงค์วอเตอร์ เพราะเข้าเล่นดี และเล่นตำแหน่งเดียวกับผม (กองกลาง) อีกคนที่ชอบคือ เจมี่ วาร์ดี้ เพราะเขาขยัน วิ่งไล่บอลตลอด ผมชอบเขาตรงจุดนี้
น้าเมฆ : ผมอยากให้ “เซ็คเกิ้น” เล่าถึงเส้นทางฟุตบอลของตัวเองให้ฟังหน่อย ก่อนที่จะมาเจอโครงการ Fox Hunt
เซ็คเกิ้น : ผมเล่นฟุตบอลมาตลอดตั้งแต่ชั้นประถม เล่นให้กับโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรักและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน (ผู้ฝึกสอนมาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนชวนไปเข้าทีม) ผมติดเยาวชนทีมชาติมาตั้งแต่อายุ 12 แล้วก็ติดมาทุกปี แต่มีช่วงหนึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ผมไปคัดตัวเยาวชนทีมชาติรุ่น 16 ปี แล้วหลุดรอบสุดท้าย ผมคิดว่าจุดนั้นเป็นช่วงขาลงที่สุดในการเล่นฟุตบอลของผม
ผมมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ เล่นฟุตบอลต่อไปเพื่อเป็นนักฟุตบอลอาชีพ หรือกลับไปเรียนให้เต็มที่เพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลังจากผมคัดตัวเยาวชนทีมชาติไม่ติด ผมคิดจะกลับไปเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ แล้วอยากจะต่อโทด้านบริหารธุรกิจ และเรียนไปให้ถึงปริญญาเอก ซึ่งถ้าผมเลือกทางไหนก็ตาม ครอบครัวผมพร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ครับ
น้าเมฆ : ผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้างครับ (ผมขอถามแทรก)
เซ็คเกิ้น : ผมเป็นเด็กเรียนดีมาตลอดตั้งแต่เด็ก ได้เกรด 4 ทุกวิชามาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมต้น พอเข้ามัธยมปลายเลือกเรียนสายวิทย์ เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7 ครับ หลายคนบอกว่าถ้าทุ่มให้กีฬามากๆ ระวังการเรียนจะเสีย แต่ผมว่า ถ้าเราแบ่งเวลาเป็นและมีความรับผิดชอบ เราจะทำได้ดีทั้ง 2 อย่างครับ เพราะเรารู้เวลาซ้อมอยู่แล้วว่าจะต้องซ้อมกี่โมง เราก็รีบทำการบ้านกับงานที่ค้างให้เสร็จก่อน พอซ้อมเสร็จก็ยังมีเวลาทำการบ้านและพักผ่อนอีก ถ้าจัดเวลาเป็น ผมว่าทำได้ครับ
น้าเมฆ : หลังจากคัดตัวเยาวชนทีมชาติไม่ติดแล้วจะเลิกเล่นฟุตบอลเลยเหรอครับ แล้วมาเจอ โครงการ Fox Hunt ได้อย่างไร มาสมัครเองหรือโรงเรียนส่งมาครับ
เซ็คเกิ้น : ครับ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจริงๆ ครับ เพราะดูเส้นทางฟุตบอลแล้วอาจจะไปต่อไม่ได้ เลยตั้งใจจะมุ่งเรื่องการเรียนอย่างเดียว แต่โชคดีจริงๆ ผมได้เห็น โครงการ Fox Hunt ที่ส่งในโซเชียลมีเดีย ผมเห็นว่าอายุผมได้พอดี ถ้าไม่ลองปีนั้น อายุผมจะเกิน ผมเลยส่งใบสมัครเข้ามาเอง ผมอยากตั้งใจลุยกับฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง เพราะผมมีความฝันว่าผมอยากไปเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศครับ
น้าเมฆ : ยังจำขั้นตอนการคัดตัวได้ใช่มั้ยครับ เขาคัดกันยังไง มีกี่รอบ แล้วสุดท้ายเหลือกี่คนครับ
เซ็คเกิ้น : โครงการ Fox Hunt แบ่งคัดตัวรอบแรกทั้ง 5 ภาคครับ มีเด็กที่เข้ามาสมัครเป็นพันคน มีการทดสอบทักษะด้านต่างๆ เช่น การเลี้ยงบอลเร็ว การแปบอลดูความแม่นยำ แล้วแบ่งทีมเล็กเล่นข้างละ 7 คน หลังจากนั้นจะประกาศรายชื่อคนที่เข้ารอบต่อไป ภาคละ 22 คน รวม 110 คน คนที่เข้ารอบทั้ง 110 คนจะเข้ามาซ้อมเก็บตัวอีก 3-4 วันที่กรุงเทพฯ มีสอบเลข สอบภาษาอังกฤษ แล้วก็จะมาแบ่งทีมใหญ่เล่นกันอีกที มี Scout จากทีมเลสเตอร์มาดู วันสุดท้ายจะประกาศชื่อ 16 คนที่ได้รับคัดเลือกครับ
น้าเมฆ : แล้วเล่นตำแหน่งอะไร หลังจากคัดตัวได้แล้ว ต้องไปเรียนและซ้อมที่ประเทศอังกฤษ ครอบครัวว่ายังไงบ้างครับ
เซ็คเกิ้น : ผมเล่นตำแหน่งกองกลางครับ แต่เดิมผมเล่นตำแหน่งกองหน้ามาก่อน แต่เสียเปรียบเรื่องรูปร่าง เลยถอยมาเป็นกองกลางคอยคุมเกมและตัดเกมฝ่ายตรงข้าม พอครอบครัวทราบว่าผมได้รับคัดเลือก ทุกคนดีใจมากเพราะครอบครัวสนับสนุนผมให้เล่นกีฬามาตลอด ผมเองก็ภูมิใจที่ผ่านการคัดตัวเพราะยังอยู่ในเส้นทางฟุตบอลต่อไปตามที่เคยฝันไว้และยิ่งได้ไปฝึกที่ประเทศอังกฤษ ผมคงหาโอกาสแบบนี้อีกไม่ได้ง่ายๆ
น้าเมฆ : เคยไปประเทศอังกฤษมาก่อนหรือเปล่า ช่วยเล่าบรรยากาศการซ้อมและการเรียนที่นั่นให้ฟังหน่อยครับ เราได้ไปแข่งกับใครบ้างหรือเปล่า มีปัญหาเรื่องภาษาและการปรับตัวบ้างไหมครับ
เซ็คเกิ้น : ผมเคยไปต่างประเทศมาบ้าง แต่ไม่เคยไปประเทศทางฝั่งยุโรปเลย ถือว่าไปอังกฤษเป็นครั้งแรกครับ สำหรับเรื่องภาษาผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ อาจจะติดขัดในช่วงแรกเพราะคนอังกฤษพูดเร็วและมีสำเนียงที่ฟังยาก แต่พอผมเลิกเขินที่จะคุยกับฝรั่งก็ปรับตัวได้ ส่วนเพื่อนๆ ที่มาจากต่างจังหวัดอาจจะมีปัญหาเรื่องภาษาช่วงแรกๆ บ้าง แต่เราทั้ง 16 คนช่วยเหลือกัน แล้วก็ผ่านกันมาได้ การเรียนและการซ้อมที่นั่นเป็นโปรแกรมที่เป๊ะเป็นเวลา
ผมจำได้เพราะทำซ้ำกันทุกวัน โรงเรียนที่ผมเรียนเป็นโรงเรียนไฮสกูลชื่อ Ratcliffe College เมืองเลสเตอร์ กิจวัตรประจำวันคือ เช้าตื่น 7 โมงทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ ลงมากินข้าวให้ทัน 8 โมง แล้วเวลา 8 โมง20 จะเป็นเวลาเช็คชื่อร่วมกับนักเรียนคนอื่น จะมีอาจารย์มาแนะแนวและพูดคุย หลังจากนั้นจะแยกย้ายกันไปเรียน ผมและเพื่อนทั้ง 16 คนจะไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษก่อน เราเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเลย เรียนร่วมกับเพื่อนต่างชาติบ้าง เพราะพวกเขาจะเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นก็จะไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ผมว่าดีตรงที่เราเป็นนักกีฬาจะเข้าใจด้านสรีระของร่างกาย สร้างความแข็งแกร่ง และลดการบาดเจ็บของร่างกายได้ พักรับประทานอาหารกลางวันตอนบ่ายโมง บ่าย 2 เริ่มซ้อมฟุตบอลจนถึง 6 โมงเย็น แล้วรับประทานอาหารเย็น เวลา 19.00-20.00 น.จะเป็นชั่วโมงทำการบ้าน หลังจากนั้นจะเป็นช่วงปล่อยฟรีให้ไปเดินเล่นหรือเล่นกีฬาต่อก็ได้ ส่วนใหญ่ผมจะไปเล่นเวท สามทุ่มขึ้นมาอาบน้ำ 4 ทุ่มถึงเข้านอนครับ วันเสาร์จะซ้อมฟุตบอลครึ่งวันตอนเช้า ครึ่งบ่ายโรงเรียนจะพาไปซื้อของใช้ส่วนตัว ส่วนวันอาทิตย์โรงเรียนจะพาไปเที่ยว ส่วนวันพุธมักจะมีแข่งฟุตบอล เราเป็นเจ้าบ้านบ้าง หรือไปเยือนทีมต่างเมืองบ้างครับ บางครั้งจะได้ไปซ้อมร่วมกับทีม U18 และ U21 ของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อให้เรารู้ระบบการเล่นแบบนักฟุตบอลอาชีพ
น้าเมฆ : เรียนทั้งหมดกี่ปีครับ แล้วต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
เซ็คเกิ้น : เรียนทั้งหมด 2 ปีครึ่งครับ ใช้เวลาทั้งหมด 30 เดือน และไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยครับ ค่าที่พัก ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางโครงการจ่ายให้ครับ แถมยังมีเงินค่าขนมให้ทุกเดือนไว้ใช้จ่ายด้วยครับ
น้าเมฆ : หลังจาก 2 ปีครึ่ง นักเตะทั้ง 16 คนกลับมาเมืองไทย มีกี่คนที่ได้เซ็นสัญญากับต่างประเทศครับ แล้วคนที่เหลือทำอะไรต่อ
เซ็คเกิ้น : ผมและเพื่อนๆ กลับมา ก็มีการประกาศว่าใครได้เซ็นสัญญากับสโมสรไหนบ้าง มี 4 คนที่ได้เซ็นสัญญาไปเล่นให้กับสโมสร OHL เป็นสโมสรดิวิชั่น 2 ในประเทศเบลเยี่ยม ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นอีก 12 คน ได้รับการเซ็นสัญญากับทีมในไทยแลนด์ลีกทั้งหมดครับ
น้าเมฆ : นอกจากเซ็คเกิ้นที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสร OHL แล้ว มีอีก 3 คน มีใครบ้างและเล่นตำแหน่งอะไรกันบ้างครับ
เซ็คเกิ้น : มี ทรั้งค์ (จิรัฐติกาล วาพิลัย) และ โบ๊ต (อนนต์ สมากร) เล่นตำแหน่งกองกลางเหมือนผม โตโต้ ( สมประสงค์ พรมศร) เล่นตำแหน่งกองหน้าและปีกขวา
น้าเมฆ : สิ่งที่ได้จากการไปฝึกซ้อมและเรียนที่เมืองเลสเตอร์ คิดว่าเราเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหนครับ
เซ็คเกิ้น : นอกจากเรื่องร่างกายที่แข็งแรงขึ้นจากการฝึกซ้อม (เพราะก่อนหน้านี้ผมผอมมากครับ) ก็มีเรื่องความคิดที่โตขึ้น ความรับผิดชอบที่มีมากขึ้น เพราะการไปอยู่เมืองนอกต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างครับ มีความมั่นใจมากขึ้นด้วยเพราะได้ฝึกฟุตบอลทุกวัน ผมอาจจะเสียช่วงเวลาของวัยรุ่นที่ควรจะอยู่กับเพื่อนใน ม.ปลายไป แต่ผมก็ได้เพื่อนใหม่เป็นเพื่อนต่างชาติที่กลายเป็นเพื่อนสนิทเช่นกัน
คอลัมน์ : ก้อนเมฆเล่าเรื่อง
โดย “น้าเมฆ”
www.facebook.com/cloudbookfanpage
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.dailynews.co.th/article/595999
ข่าว บทสัมภาษณ์ น้องเซ็คเกิ้น 1 ใน 4 ของนักเตะที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสรในประเทศยุโรป
เมื่อ 3 ปีก่อน ผมได้รับเชิญพร้อมกับเพื่อนๆ ไปรับประทานอาหารกลางวันและชมฟุตบอลที่สนามคิงเพาเวอร์สเตเดี่ยม “เลสเตอร์ ซิตี้” ทีมเจ้าบ้านที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกเป็นปีแรกพบกับยอดทีมของเกาะอังกฤษ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” …ใครจะนึกครับ เลสเตอร์ ซิตี้ทีมน้องใหม่โดนนำ 2 ลูกในครึ่งแรกจะพลิกกลับมาชนะทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อย่างสุดมันส์ 5-3
ทั้งทีมผมจำชื่อใครไม่ได้เลยยกเว้น “แคสเปอร์ ชไมเคิล” (ผมชอบเล่นตำแหน่งโกล์) และ “เจมี่ วาร์ดี้” กองหน้าเบอร์ 9 ตัวแสบ ลีลาจี๊ดจ๊าดสุดๆ ที่ทำทีมได้ประตู พอแมตช์นั้นเล่นจบผมขอไปถ่ายรูปกับนักเตะทั้ง 2 คนนี้และลงไปซื้อเสื้อทีมเลสเตอร์ ผมกลายเป็นแฟนทีมจิ้งจอกสยามตั้งแต่นัดนั้นเป็นต้นมา
ในช่วงปีเดียวกัน (เมื่อ 3 ปีที่แล้ว) ผมเพิ่งทราบว่า นอกจากทีมเลสเตอร์จะแข่งตามโปรแกรมเตะที่ประเทศอังกฤษแล้ว ในเมืองไทยมีโครงการส่งเสริมเยาวชนด้านกีฬาฟุตบอลที่ชื่อว่า “Fox Hunt” ด้วย ซึ่งเป็นการคัดตัวนักเตะเยาวชนไทยทั่วประเทศ แล้วได้ไปฝึกซ้อมและเรียนที่เมืองเลสเตอร์ วันนี้นักเตะรุ่นที่ 1 ของโครงการ Fox Hunt กลับมาแล้ว
ผมมีโอกาสสัมภาษณ์ 1 ใน 4 ของนักเตะที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสรในประเทศยุโรป ผมถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากที่เด็กไทยอายุเพียง 19 ปีจะได้ทำตามฝันและหาประสบการณ์ในต่างแดนให้กับตนเอง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นเยาว์ที่จะเดินตามรอยของรุ่นพี่ต่อไปได้
น้าเมฆ : สวัสดีครับ “เซ็คเกิ้น” (Second) ชื่อแบบนี้เป็นลูกคนที่สองหรือเปล่า ช่วยแนะนำตัวหน่อยครับ
เซ็คเกิ้น : ใช่ครับ ผมมีพี่ชื่อ เฟิร์ส ครับ ผมเป็นลูกคนที่สองเลยชื่อ “เซ็คเกิ้น” ชื่อจริงชื่อ ธาวิน มหจินดาวงษ์ ครับ
น้าเมฆ : ปัจจุบันอายุเท่าไหร่ แล้วเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่กี่ขวบครับ
เซ็คเกิ้น : ผมอายุ 19 ปีครับ จริงๆ ผมไม่ได้เล่นบอลเป็นกีฬาแรกๆ นะครับ ผมตีแบด ตีกอล์ฟ ตีปิงปองกับครอบครัวมาก่อน แต่พอเข้าเรียน ป.1 เข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ที่โรงเรียนมีการแข่งเตะฟุตบอลห้องของเด็ก ป.1 ผมลองเล่นแล้วสนุก เลยคุยกับแม่เพื่อหาที่เรียนฟุตบอล แล้วก็เล่นมาตลอดครับ
น้าเมฆ : ตอนเด็กๆ ได้ดูฟุตบอลหรืออ่านการ์ตูนฟุตบอลมาก่อนมไหมครับ เพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจ
เซ็คเกิ้น : ไม่เลยครับ เพราะที่บ้านจะตีแบด ถือเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่ทุกคนจะเล่นด้วยกันได้หมด ส่วนการ์ตูนก็อ่านครับ แต่ไม่ใช่การ์ตูนฟุตบอล ส่วนดูบอลนี่มาเริ่มดูหลังจากเริ่มเล่นแล้วครับ เพราะพ่อให้ดูจะได้จำเทคนิคต่างๆ มาใช้เวลาเล่นได้
น้าเมฆ : แล้วชอบดูบอลลีกไหนเป็นพิเศษครับ
เซ็คเกิ้น : ถ้าทั่วไปก็คงดูฟุตบอลอังกฤษนี่แหละครับ แต่ถ้าชอบจริงๆ คือ ดูแมตช์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกเพราะคัดแต่ทีมเก่งๆ ของแต่ละประเทศมาเจอกัน
น้าเมฆ : ถ้าเป็นในลีกอังกฤษชอบทีมไหนเป็นพิเศษ และมีใครเป็นนักเตะที่ชื่นชอบบ้างครับ (ผมแซวว่าอย่าตอบเอาใจเลสเตอร์นะ)
เซ็คเกิ้น : ผมชอบแมนยูสมัยที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันคุมทีมอยู่ครับ ผมว่าตอนนั้นแมนยูเก่งมาก ผมจำชื่อนักเตะได้ทุกตัว มีนักเตะดีๆ ที่ชื่นชอบ คือ โรนัลโด้ ครับ ผมว่าเขาเก่ง ขยัน และไม่หยุดพัฒนาความสามารถของตัวเอง ขนาดตอนนี้อายุเกิน 30 แล้วก็ยังเก่งอยู่ หลังจาก เซอร์อเล็กซ์ เลิกคุมทีม ผมก็ไม่ดูบอลอังกฤษเลย จนมาเชียร์เลสเตอร์เพราะได้ข่าวว่าเจ้าของเป็นคนไทย เลยกลับมาดูบอล
ที่ชอบคือ ดริงค์วอเตอร์ เพราะเข้าเล่นดี และเล่นตำแหน่งเดียวกับผม (กองกลาง) อีกคนที่ชอบคือ เจมี่ วาร์ดี้ เพราะเขาขยัน วิ่งไล่บอลตลอด ผมชอบเขาตรงจุดนี้
น้าเมฆ : ผมอยากให้ “เซ็คเกิ้น” เล่าถึงเส้นทางฟุตบอลของตัวเองให้ฟังหน่อย ก่อนที่จะมาเจอโครงการ Fox Hunt
เซ็คเกิ้น : ผมเล่นฟุตบอลมาตลอดตั้งแต่ชั้นประถม เล่นให้กับโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรักและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน (ผู้ฝึกสอนมาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนชวนไปเข้าทีม) ผมติดเยาวชนทีมชาติมาตั้งแต่อายุ 12 แล้วก็ติดมาทุกปี แต่มีช่วงหนึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ผมไปคัดตัวเยาวชนทีมชาติรุ่น 16 ปี แล้วหลุดรอบสุดท้าย ผมคิดว่าจุดนั้นเป็นช่วงขาลงที่สุดในการเล่นฟุตบอลของผม
ผมมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ เล่นฟุตบอลต่อไปเพื่อเป็นนักฟุตบอลอาชีพ หรือกลับไปเรียนให้เต็มที่เพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลังจากผมคัดตัวเยาวชนทีมชาติไม่ติด ผมคิดจะกลับไปเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ แล้วอยากจะต่อโทด้านบริหารธุรกิจ และเรียนไปให้ถึงปริญญาเอก ซึ่งถ้าผมเลือกทางไหนก็ตาม ครอบครัวผมพร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ครับ
น้าเมฆ : ผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้างครับ (ผมขอถามแทรก)
เซ็คเกิ้น : ผมเป็นเด็กเรียนดีมาตลอดตั้งแต่เด็ก ได้เกรด 4 ทุกวิชามาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมต้น พอเข้ามัธยมปลายเลือกเรียนสายวิทย์ เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7 ครับ หลายคนบอกว่าถ้าทุ่มให้กีฬามากๆ ระวังการเรียนจะเสีย แต่ผมว่า ถ้าเราแบ่งเวลาเป็นและมีความรับผิดชอบ เราจะทำได้ดีทั้ง 2 อย่างครับ เพราะเรารู้เวลาซ้อมอยู่แล้วว่าจะต้องซ้อมกี่โมง เราก็รีบทำการบ้านกับงานที่ค้างให้เสร็จก่อน พอซ้อมเสร็จก็ยังมีเวลาทำการบ้านและพักผ่อนอีก ถ้าจัดเวลาเป็น ผมว่าทำได้ครับ
น้าเมฆ : หลังจากคัดตัวเยาวชนทีมชาติไม่ติดแล้วจะเลิกเล่นฟุตบอลเลยเหรอครับ แล้วมาเจอ โครงการ Fox Hunt ได้อย่างไร มาสมัครเองหรือโรงเรียนส่งมาครับ
เซ็คเกิ้น : ครับ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจริงๆ ครับ เพราะดูเส้นทางฟุตบอลแล้วอาจจะไปต่อไม่ได้ เลยตั้งใจจะมุ่งเรื่องการเรียนอย่างเดียว แต่โชคดีจริงๆ ผมได้เห็น โครงการ Fox Hunt ที่ส่งในโซเชียลมีเดีย ผมเห็นว่าอายุผมได้พอดี ถ้าไม่ลองปีนั้น อายุผมจะเกิน ผมเลยส่งใบสมัครเข้ามาเอง ผมอยากตั้งใจลุยกับฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง เพราะผมมีความฝันว่าผมอยากไปเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศครับ
น้าเมฆ : ยังจำขั้นตอนการคัดตัวได้ใช่มั้ยครับ เขาคัดกันยังไง มีกี่รอบ แล้วสุดท้ายเหลือกี่คนครับ
เซ็คเกิ้น : โครงการ Fox Hunt แบ่งคัดตัวรอบแรกทั้ง 5 ภาคครับ มีเด็กที่เข้ามาสมัครเป็นพันคน มีการทดสอบทักษะด้านต่างๆ เช่น การเลี้ยงบอลเร็ว การแปบอลดูความแม่นยำ แล้วแบ่งทีมเล็กเล่นข้างละ 7 คน หลังจากนั้นจะประกาศรายชื่อคนที่เข้ารอบต่อไป ภาคละ 22 คน รวม 110 คน คนที่เข้ารอบทั้ง 110 คนจะเข้ามาซ้อมเก็บตัวอีก 3-4 วันที่กรุงเทพฯ มีสอบเลข สอบภาษาอังกฤษ แล้วก็จะมาแบ่งทีมใหญ่เล่นกันอีกที มี Scout จากทีมเลสเตอร์มาดู วันสุดท้ายจะประกาศชื่อ 16 คนที่ได้รับคัดเลือกครับ
น้าเมฆ : แล้วเล่นตำแหน่งอะไร หลังจากคัดตัวได้แล้ว ต้องไปเรียนและซ้อมที่ประเทศอังกฤษ ครอบครัวว่ายังไงบ้างครับ
เซ็คเกิ้น : ผมเล่นตำแหน่งกองกลางครับ แต่เดิมผมเล่นตำแหน่งกองหน้ามาก่อน แต่เสียเปรียบเรื่องรูปร่าง เลยถอยมาเป็นกองกลางคอยคุมเกมและตัดเกมฝ่ายตรงข้าม พอครอบครัวทราบว่าผมได้รับคัดเลือก ทุกคนดีใจมากเพราะครอบครัวสนับสนุนผมให้เล่นกีฬามาตลอด ผมเองก็ภูมิใจที่ผ่านการคัดตัวเพราะยังอยู่ในเส้นทางฟุตบอลต่อไปตามที่เคยฝันไว้และยิ่งได้ไปฝึกที่ประเทศอังกฤษ ผมคงหาโอกาสแบบนี้อีกไม่ได้ง่ายๆ
น้าเมฆ : เคยไปประเทศอังกฤษมาก่อนหรือเปล่า ช่วยเล่าบรรยากาศการซ้อมและการเรียนที่นั่นให้ฟังหน่อยครับ เราได้ไปแข่งกับใครบ้างหรือเปล่า มีปัญหาเรื่องภาษาและการปรับตัวบ้างไหมครับ
เซ็คเกิ้น : ผมเคยไปต่างประเทศมาบ้าง แต่ไม่เคยไปประเทศทางฝั่งยุโรปเลย ถือว่าไปอังกฤษเป็นครั้งแรกครับ สำหรับเรื่องภาษาผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ อาจจะติดขัดในช่วงแรกเพราะคนอังกฤษพูดเร็วและมีสำเนียงที่ฟังยาก แต่พอผมเลิกเขินที่จะคุยกับฝรั่งก็ปรับตัวได้ ส่วนเพื่อนๆ ที่มาจากต่างจังหวัดอาจจะมีปัญหาเรื่องภาษาช่วงแรกๆ บ้าง แต่เราทั้ง 16 คนช่วยเหลือกัน แล้วก็ผ่านกันมาได้ การเรียนและการซ้อมที่นั่นเป็นโปรแกรมที่เป๊ะเป็นเวลา
ผมจำได้เพราะทำซ้ำกันทุกวัน โรงเรียนที่ผมเรียนเป็นโรงเรียนไฮสกูลชื่อ Ratcliffe College เมืองเลสเตอร์ กิจวัตรประจำวันคือ เช้าตื่น 7 โมงทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ ลงมากินข้าวให้ทัน 8 โมง แล้วเวลา 8 โมง20 จะเป็นเวลาเช็คชื่อร่วมกับนักเรียนคนอื่น จะมีอาจารย์มาแนะแนวและพูดคุย หลังจากนั้นจะแยกย้ายกันไปเรียน ผมและเพื่อนทั้ง 16 คนจะไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษก่อน เราเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานเลย เรียนร่วมกับเพื่อนต่างชาติบ้าง เพราะพวกเขาจะเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นก็จะไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ผมว่าดีตรงที่เราเป็นนักกีฬาจะเข้าใจด้านสรีระของร่างกาย สร้างความแข็งแกร่ง และลดการบาดเจ็บของร่างกายได้ พักรับประทานอาหารกลางวันตอนบ่ายโมง บ่าย 2 เริ่มซ้อมฟุตบอลจนถึง 6 โมงเย็น แล้วรับประทานอาหารเย็น เวลา 19.00-20.00 น.จะเป็นชั่วโมงทำการบ้าน หลังจากนั้นจะเป็นช่วงปล่อยฟรีให้ไปเดินเล่นหรือเล่นกีฬาต่อก็ได้ ส่วนใหญ่ผมจะไปเล่นเวท สามทุ่มขึ้นมาอาบน้ำ 4 ทุ่มถึงเข้านอนครับ วันเสาร์จะซ้อมฟุตบอลครึ่งวันตอนเช้า ครึ่งบ่ายโรงเรียนจะพาไปซื้อของใช้ส่วนตัว ส่วนวันอาทิตย์โรงเรียนจะพาไปเที่ยว ส่วนวันพุธมักจะมีแข่งฟุตบอล เราเป็นเจ้าบ้านบ้าง หรือไปเยือนทีมต่างเมืองบ้างครับ บางครั้งจะได้ไปซ้อมร่วมกับทีม U18 และ U21 ของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อให้เรารู้ระบบการเล่นแบบนักฟุตบอลอาชีพ
น้าเมฆ : เรียนทั้งหมดกี่ปีครับ แล้วต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
เซ็คเกิ้น : เรียนทั้งหมด 2 ปีครึ่งครับ ใช้เวลาทั้งหมด 30 เดือน และไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยครับ ค่าที่พัก ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทางโครงการจ่ายให้ครับ แถมยังมีเงินค่าขนมให้ทุกเดือนไว้ใช้จ่ายด้วยครับ
น้าเมฆ : หลังจาก 2 ปีครึ่ง นักเตะทั้ง 16 คนกลับมาเมืองไทย มีกี่คนที่ได้เซ็นสัญญากับต่างประเทศครับ แล้วคนที่เหลือทำอะไรต่อ
เซ็คเกิ้น : ผมและเพื่อนๆ กลับมา ก็มีการประกาศว่าใครได้เซ็นสัญญากับสโมสรไหนบ้าง มี 4 คนที่ได้เซ็นสัญญาไปเล่นให้กับสโมสร OHL เป็นสโมสรดิวิชั่น 2 ในประเทศเบลเยี่ยม ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นอีก 12 คน ได้รับการเซ็นสัญญากับทีมในไทยแลนด์ลีกทั้งหมดครับ
น้าเมฆ : นอกจากเซ็คเกิ้นที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสร OHL แล้ว มีอีก 3 คน มีใครบ้างและเล่นตำแหน่งอะไรกันบ้างครับ
เซ็คเกิ้น : มี ทรั้งค์ (จิรัฐติกาล วาพิลัย) และ โบ๊ต (อนนต์ สมากร) เล่นตำแหน่งกองกลางเหมือนผม โตโต้ ( สมประสงค์ พรมศร) เล่นตำแหน่งกองหน้าและปีกขวา
น้าเมฆ : สิ่งที่ได้จากการไปฝึกซ้อมและเรียนที่เมืองเลสเตอร์ คิดว่าเราเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหนครับ
เซ็คเกิ้น : นอกจากเรื่องร่างกายที่แข็งแรงขึ้นจากการฝึกซ้อม (เพราะก่อนหน้านี้ผมผอมมากครับ) ก็มีเรื่องความคิดที่โตขึ้น ความรับผิดชอบที่มีมากขึ้น เพราะการไปอยู่เมืองนอกต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างครับ มีความมั่นใจมากขึ้นด้วยเพราะได้ฝึกฟุตบอลทุกวัน ผมอาจจะเสียช่วงเวลาของวัยรุ่นที่ควรจะอยู่กับเพื่อนใน ม.ปลายไป แต่ผมก็ได้เพื่อนใหม่เป็นเพื่อนต่างชาติที่กลายเป็นเพื่อนสนิทเช่นกัน
คอลัมน์ : ก้อนเมฆเล่าเรื่อง
โดย “น้าเมฆ”
www.facebook.com/cloudbookfanpage
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.dailynews.co.th/article/595999