สมองเสื่อม…คืออะไร ?
ภาวะสมองเสื่อมจริงๆ แล้วเป็นแค่อาการแสดงอย่างหนึ่งของโรคซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ความหมายโดยทั่วไปของสมองเสื่อมคือ การด้อยประสิทธิภาพในการทำงานของสมองทุกๆ ด้าน แบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ การคำนวณ หรือการใช้ความคิดที่สลับซับซ้อน รวมถึงประสิทธิภาพทางการสื่อภาษา การแปลความหมาย
จะทราบได้อย่างไรว่ามีอาการสมองเสื่อม ?
ในการตรวจแพทย์อาจต้องทดสอบความจำ การคำนวณ สังเกตการแก้ปัญหาง่ายๆ คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมมักสูญเสียความจำที่เพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ แต่ความจำในอดีตมักจะยังดี ยกเว้นในกรณีที่เป็นมากหรือเป็นมานานๆ
สมองเสื่อมจริง…แตกต่างจากสมองเสื่อมเทียมอย่างไร ?
ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคมองเสื่อมจริงๆ มักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าตัวเองเป็น แต่ญาติหรือคนใกล้ชิดหลายๆ คนจะสังเกตอาการ และให้ข้อมูลแก่แพทย์ทราบถึงความผิด ปกติทางสมองที่ค่อยเป็นค่อยไป ตรงกันข้ามกับผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมเทียม ที่มักจะบอกกับแพทย์โดยตรงว่าตัวเองหลงลืมง่าย และวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อม
สมองเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกิดจากความเสื่อม ดังนั้นจึงพบได้บ่อยในคนสูงอายุ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและสังขาร ส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ไขให้ได้ดีดังเดิม สาเหตุใหญ่ๆ แบ่งได้ดังนี้
• สมองเสื่อมจากวัยชรา
• โรคอัลไซเมอร์
• โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
• ภาวะเลือดคั่งในสมอง หรือเนื้องอกในสมอง
• ภาวะขาดวิตามิน บี 12
• โรคติดเชื้อที่มีผลทางสมอง
• สมองเสื่อมจากการติดสุราเรื้อรังนานๆ
• ภาวะที่เกิดตามหลังการขาดออกซิเจน
นอกจากนี้ยังมีบางโรคทำให้เกิดสมองฝ่อบางส่วน เช่น โรคพาร์กินสัน ซึ่งทำให้เกิดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้าลง เป็นต้น
ภาวะใดที่เรียกว่าสมองเสื่อมเทียม?
ก่อนที่แพทย์จะบอกว่าคุณเป็นโรคสมองเสื่อม แพทย์จำเป็นต้องตรวจแยกโรคสมองเสื่อมเทียม ซึ่งพบได้บ่อย อันได้แก่ ภาวะที่เกิดจากความเครียด นอนไม่หลับความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคจิตประสาทอื่นๆ ซึ่งมีผลทำให้ความคิดอ่านของสมองไม่ปกติ
แล้วจะดูแลสมองอย่างไร? ไม่ให้เป็นโรคสมองเสื่อม
การป้องกันในสิ่งที่ทำได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราไม่สามารถหยุดยั้งความเสื่อมตามธรรมชาติได้ แต่เราสามารถดูแลสุขภาพของเราให้ดี เช่น ควบคุมความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า หลีกเลี่ยงสารเสพติด ซึ่งจะมีผลทำลายสุขภาพในระยะยาว ไม่
ทางเพศ เพื่อป้องกันโรคเอดส์ ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใสอยู่เสมอ มีความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่นในครอบครัว ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง ไม่เคร่งเครียดเกินไป เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้ระดับหนึ่ง
สมองเสื่อมจริง…แตกต่างจากสมองเสื่อมเทียมอย่างไร ?
ภาวะสมองเสื่อมจริงๆ แล้วเป็นแค่อาการแสดงอย่างหนึ่งของโรคซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ความหมายโดยทั่วไปของสมองเสื่อมคือ การด้อยประสิทธิภาพในการทำงานของสมองทุกๆ ด้าน แบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ การคำนวณ หรือการใช้ความคิดที่สลับซับซ้อน รวมถึงประสิทธิภาพทางการสื่อภาษา การแปลความหมาย
จะทราบได้อย่างไรว่ามีอาการสมองเสื่อม ?
ในการตรวจแพทย์อาจต้องทดสอบความจำ การคำนวณ สังเกตการแก้ปัญหาง่ายๆ คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมมักสูญเสียความจำที่เพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ แต่ความจำในอดีตมักจะยังดี ยกเว้นในกรณีที่เป็นมากหรือเป็นมานานๆ
สมองเสื่อมจริง…แตกต่างจากสมองเสื่อมเทียมอย่างไร ?
ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคมองเสื่อมจริงๆ มักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าตัวเองเป็น แต่ญาติหรือคนใกล้ชิดหลายๆ คนจะสังเกตอาการ และให้ข้อมูลแก่แพทย์ทราบถึงความผิด ปกติทางสมองที่ค่อยเป็นค่อยไป ตรงกันข้ามกับผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมเทียม ที่มักจะบอกกับแพทย์โดยตรงว่าตัวเองหลงลืมง่าย และวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อม
สมองเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกิดจากความเสื่อม ดังนั้นจึงพบได้บ่อยในคนสูงอายุ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและสังขาร ส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ไขให้ได้ดีดังเดิม สาเหตุใหญ่ๆ แบ่งได้ดังนี้
• สมองเสื่อมจากวัยชรา
• โรคอัลไซเมอร์
• โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
• ภาวะเลือดคั่งในสมอง หรือเนื้องอกในสมอง
• ภาวะขาดวิตามิน บี 12
• โรคติดเชื้อที่มีผลทางสมอง
• สมองเสื่อมจากการติดสุราเรื้อรังนานๆ
• ภาวะที่เกิดตามหลังการขาดออกซิเจน
นอกจากนี้ยังมีบางโรคทำให้เกิดสมองฝ่อบางส่วน เช่น โรคพาร์กินสัน ซึ่งทำให้เกิดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้าลง เป็นต้น
ภาวะใดที่เรียกว่าสมองเสื่อมเทียม?
ก่อนที่แพทย์จะบอกว่าคุณเป็นโรคสมองเสื่อม แพทย์จำเป็นต้องตรวจแยกโรคสมองเสื่อมเทียม ซึ่งพบได้บ่อย อันได้แก่ ภาวะที่เกิดจากความเครียด นอนไม่หลับความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคจิตประสาทอื่นๆ ซึ่งมีผลทำให้ความคิดอ่านของสมองไม่ปกติ
แล้วจะดูแลสมองอย่างไร? ไม่ให้เป็นโรคสมองเสื่อม
การป้องกันในสิ่งที่ทำได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราไม่สามารถหยุดยั้งความเสื่อมตามธรรมชาติได้ แต่เราสามารถดูแลสุขภาพของเราให้ดี เช่น ควบคุมความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า หลีกเลี่ยงสารเสพติด ซึ่งจะมีผลทำลายสุขภาพในระยะยาว ไม่ทางเพศ เพื่อป้องกันโรคเอดส์ ทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใสอยู่เสมอ มีความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่นในครอบครัว ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง ไม่เคร่งเครียดเกินไป เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้ระดับหนึ่ง