สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์การเป็นพ่อค้ากล้องมือสองแบบ"ไม่ได้ตั้งใจ"จนเอาตัวรอดมาได้ครบ 1 ปี เชื่อว่าเป็นเรื่องที่พ่อค้าอยากเล่าเพราะคิดว่าจะมีคนกระโดดเข้ามาทำหากฟังแล้วดูง่าย กระทู้นี้ค่อนข้างยาวมาก แต่ผมจะแบ่งไว้เป็นช่วงและพยามทำให้อ่านง่ายครับ
ตรงนี้ข้ามได้ครับ มีกระทู้เคยขึ้นกระทู้แนะนำ 2 ครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนหน้านี้ผมทำอะไร?
เป็นพนักงานบริษัมเอกชนที่มาตกงานตอนอายุเกิน 35 เนื่องจากบริษัทปิดตัว และอายุเกินในสายงานที่ทำเลยหาทางเปลี่ยนสาย(แต่ก็สายไป) ประกาศขายบ้าน/ตกงาน 1 ปี ถึงขายบ้านได้
กระทู้: ประสบการณ์ขายบ้านแบบเจ็บตัว เมื่อสู้ทั้งบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง
https://ppantip.com/topic/34945979
ระหว่างนั้นก็ขับ Grab/Uber
กระทู้: แชร์ประสบการณ์ขับ Uber X และ GrabCar จากรุ่งเรืองจนเลิกขับ
https://ppantip.com/topic/34224002
จนเลิกขับถาวรเนื่องจากอุบัติเหตุหลับใน และมีปัญหาสุขภาพ(เข่ามีปัญหาเนื่องจากขับรถนาน) เจ็บป่วยครั้งสุดท้าย นอนแบบจะคลานยังยากถึง 15 วัน
จุดเริ่มต้นความคิดเรื่องธุรกิจ
จากการที่ผมเลิกหวังกลับไปทำงานบริษัทเนื่องจากถูกเลิกจ้างและยังไม่มีแนวคิดใดๆ ในการประกอบอาชีพอิสระชัดเจน ผมเริ่มขายสิ่งต่างๆ (ระหว่างรอขายบ้าน) เช่น มอเตอร์ไซค์ iPad และกล้องถ่ายรูป และก็วนๆ เวียนในเว็บขายของ จนขายบ้านได้และกลับมาอยู่บ้านแม่ ผมก็ยังดูของจากเว็บนี้อยู่
วันหนึ่ง ผมเจอประกาศขายกล้องคอมแพค Panasonic ในราคา 500 บาท ก็มีความคิดที่ว่า "ราคาน่าเอามาทำกำไรขายได้" และคนขายอยู่ไม่ไกลกันจึงนัดเจอ ดูของ ทดสอบ จ่ายเงิน เอากลับมาบ้านแล้วถ่ายรูปสินค้า และตั้งราคาขาย จำได้ว่าขายไปได้ 950 แต่ไม่แน่ใจว่ากี่วันถึงจะขายออก
ผมเห็นกระทู้ถามของหลายท่านที่มักถามว่า: ทำธุรกิจอะไรดี/ขายอะไรดี ผมรู้จากประสบการณ์ว่าความคิดเรื่องธุรกิจ เริ่มจากการ"มองเห็น"ด้วยตัวเอง มีบางสิ่ง/หรือบางเหตุการณ์จุดประกายริเริ่มจากภายในตัวเราเสียมากกว่าการเห็นคนอื่นทำและทำตาม
หาสินค้าหรือหาลูกค้าก่อน? อีกคำถามยอดฮิต
อีกวันหนึ่งผมมาที่งานเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งไปเจอกล้องดิจิตอลหลายตัวนำมาเคลียร์ลดโดยแค่คิดว่าน่าจะขายได้จึงซื้อมาขาย
ผมได้กล้อง Nikon 3 ตัว 3 รุ่นที่เป็นครูในสนามตลาดกล้องมือสองของจริง
กล้อง Nikon ตัวที่ 1 คอมแพคธรรมดาๆ: บทเรียนเรื่องไม่ใช่ว่าจะขายอะไรก็ขายได้
"กล้องมันราคาเดิม 4,990 ลดเหลือ 1,590 น่าจะเอามาขายได้" ผมคิดแบบนี้และเป็นกล้องเพิ่งตกรุ่นไม่นาน (ซึ่งมารู้จากตลาดว่ากล้องคอมแพค Nikonไม่เป็นที่นิยม) ผมเอามาขายอยู่ร่วมเดือน เสียเงินดันโฆษณา หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว เหลือกำไร "100 บาท" จากกล้องรุ่นนั้น เรียกว่าขายทิ้งทีเดียว
บางทีสิ่งที่เราคิดว่าขายได้ หากตลาดไม่ตอบรับก็จบ
กล้อง Nikon ตัวที่ 2 คอมแพคไฮเอนด์: สินค้าดีตามความคิดเราแต่อาจไม่ใช่สำหรับตลาด
ส่วนตัวผมเล่นกล้องบ้างมาก่อนหน้า พอได้ตัวนี้มาคิดว่าเป็นของดีที่ได้มาในราคาที่ไม่แพงกล้องรุ่นนี้ หลังจากปล้ำสู้ขายตัวนี้กว่า Nikon ตัวแรก (ผมขายตัวนี้ได้ใน Shopee) กำไรหลังหักค่าใช้จ่าย ได้เพียง 10 บาท ครับ 10 บาทจริงๆ
บางครั้งสินค้าดี อาจจะดีจริงหรือดีในความคิดของเรา อาจจะไม่เป็นที่นิยมของตลาดได้ เรียกว่า"อาการแป๊ก" สิ่งที่ผมจับมาไม่เป็นที่นิยมของตลาดแต่แรก(เขาถึงมาขายเทไง) ของดีบางอย่างอาจขาดการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือการทำตลาดที่ดี หรือแม้ว่าจะพยามแล้วบางทีอาจไม่เข้าตาก็ได้เหมือนอย่างตัวที่ 3
กล้อง Nikon ตัวที่ 3 กล้องฟรุ้งฟริ้ง: บทเรียนเรื่องความนิยม
การสินค้ามาขายต้องเข้าใจว่าจะขายใคร รู้จักพฤติกรรมบริโภคและความนิยมของลูกค้า(ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังใหม่กับเรื่องนี้) ผมได้กล้องฟรุ้งฟริ้งของ Nikon มาขายในรอบนั้น ก็ได้เรียนรู้ว่ากล้องฟรุ้งฟริ้ง Nikon ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะในตัวเลือกราคาใกล้เคียงกันเพิ่มอีก 500-1,000 ก็ได้กล้อง Casio ZR ซึ่งตลาดตอบรับมากกว่า
หลายธุรกิจจึงต้องทำการสำรวจตลาดและทำวิจัยก่อนผลิตและส่งสินค้าในตลาด
ในช่วงตลาดกล้องซิลฟี่บูมในสมัยหนึ่ง ค่ายกล้องหันมาออกรุ่นฟรุ้งฟริ้งตามตลาด ทั้ง Nikon(S6900) Canon(N2) Sony(KW11) แต่เหลือรอดแข็งแกร่งยี่ห้อเดียวคือ Casio
จากบทเรียนกล้อง Nikon 3 ตัวนี่เอง ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่ใช่ว่าจะเอาอะไรมาขายก็ได้แต่ต้องเข้าใจตลาด ลูกค้าของเราด้วยว่าต้องการอะไร นิยมอะไร และหาสินค้าที่ตอบโจทย์ หรือจะนำสินค้าเฉพาะกลุ่ม(Niche Market)ต้องรู้ว่าจะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไร ได้ที่ไหน? บางกลุ่มเอาสินค้าบางประเภทไปลงก็ขายดีไม่หยุด เช่น เลนส์มือหมุนจีน(จนคนกระโดดเจ้ามาร่วมจนทะเลแดงเดือด มีมือสองเกลื่อน) สรุปง่ายๆ ว่า
ต้องรู้ว่า "ขายอะไร(สินค้า) ที่ไหน(รู้ว่าที่ไหนขายได้/ตลาดของสินค้า) แก่ใคร(รู้จักลูกค้า/ความนิยม/กลุ่มเป้าหมาย)
ผันตัวมาเป็นเซลล์โดยไม่ได้รับเงินเดือน
กำไรเดือนแรกหลังหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขาย+ค่าแรง(60 บาทต่อ 1 ตัว) ได้กำไร 4,350 บาท
ผมมานั่งประเมินตัวเองว่า"จะเอายังไงดี?" ส่วนหนึ่งผมก็สนุกกับการที่ได้ลอง
กล้องต่างๆ เพราะผมมักนั่งทดสอบและเอาออกไปถ่าย/ทำรีวิวให้ลูกค้า แต่มาถึงจุดที่สินค้าชุดแรกหมดและไม่มีงานขายเคลียร์สินค้า แล้วผมก็มีคำถามกับตัวเอง"จะเอาสินค้ามาจากไหน?"
.....
เริ่มต้นเป็นพ่อค้ากล้องมือสอง
แหล่งที่มาของสินค้ามาจากที่ต่างๆ เช่น ประกาศรับซื้อ/เทิร์น/จำนำ ร้านจำนำ ประมูล หาตามเว็บขายของมือสอง/เฟส หรือแม้แต่ของโจร!
พ่อค้าสายขาว(และเกือบขาว) พ่อค้าสายเทา และพ่อค้าสายมืด
คำว่าพ่อค้าในทีนี้หมายถึงแม่ค้าเช่นกัน สายขาว(และเกือบขาว)จะไม่ยุ่งกับสิ่งที่รู้ดีว่าเป็นของโจร พ่อค้าส่วนใหญ่น่าจะรู้ครับว่าของไหนเป็นของโจร ของร้อนเงินกับของโจรมันต่างกัน พูดคุยสอบถามก็น่าจะรู้ได้ไม่ยาก เคสที่ดูง่ายๆ คือเอากล้องมาขายแต่ไม่รู้จักกล้องตัวเองและท่าทางมีพิรุธว่าไม่ใช่เจ้าของกล้อง ผมก็มีวิธีปฏิเสธไป
พ่อค้าสายขาว(เกือบขาว)
เน้นทำอาชีพระยะยาวหรือถือว่าเป็นอาชีพของเขา ถ้ากล้องได้มามีปัญหาก็รับผิดชอบ ขาดทุนก็มี เพราะเจอลูกค้าหลอก พยามแจ้งทุกอย่างที่ลูกค้าควรทราบก่อนซื้อ พ่อค้าที่เกือบขาวก็ประมาณลดจากมาตรฐานความขาวนิดๆ(ฮา) พ่อค้าที่แท้จริงยังคงมีความเป็นพ่อค้านั่นแหล่ะ ผมเลยเข้าใจเรื่องธุรกิจก็และได้ทักษะพวกนี้มาใช้ในชีวิต แน่นอนมันกลายมาเป็นบุคคลิกลักษณะส่วนหนึ่งหากเราประกอบอาชีพแบบไหน
ตัวอย่างทักษะพ่อค้า: ผมเคยพาหลานไปงานวัด หลานอยากเล่นเครื่องเล่น หลาน 4 คนมีเงินรวมกัน 100 บาท แต่ค่าเข้าเครื่องเล่น 120 บาท(คนละ 30 บาท) ผมจึงบอกกับคนขายตั๋ว
"หลานผมอยากเล่นนะ แต่4คนรวมกัน100บาท ถ้าคนหนึ่งไม่ได้เล่นพวกเขาก็ไม่เล่น" สรุปได้เล่นในราคา 100
พ่อค้าสายเทา
พ่อค้าสายเทาคือพ่อค้าที่พร้อมจะตุกติกทั้งแง่ซื้อและขายสินค้า เช่น หลอกขอซื้อกล้องโดยปิดบังตัวเอง/อ้างว่างบน้อย/เอาไว้ใช้งาน/ขอลดราคาเพื่อค่านมลูก/โกหกว่าจะเอาไปเป็นกล้องสำรอง หาข้อตำหนิเพื่อหักคอหน้างาน(ต่อราคาอีกหลังจากตกลงราคาเบื้องต้น) ในแง่การขายก็พยามหมกเม็ดรายละเอียดตำหนิและอาการเสีย บางทีบอกว่าสภาพนางฟ้าแต่ของจริงสภาพหญิงงามเมือง พ่อค้าแบบนี้ก็ยังอยู่ได้ในวงการ ส่วนตัวถ้าเคยดีลกับพ่อค้าประเภทนี้ก็เลิกดีลหากมีติดต่อมา
พ่อค้า(แม่ค้า)สายเทามีบางพวกรับซื้อกล้องเสียอาการยอดฮิตไปซ่อมแล้วเอามาขาย เช่น อาการสายแพเสียของกล้อง 2 ยี่ห้อ...
พ่อค้าสายมืด ไม่สนว่าเป็นของโจร อันนี้ขึ้นอยู่กับมโนธรรมตัวเอง และชี้ไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อค้าสายมืด
สงครามพ่อค้า
พ่อค้ามักไม่ยุ่งกับโพสต์ขายของคนอื่น ขายของใครของมัน แม้ว่าจะมีโพสต์สินค้าที่ตั้งราคาเอาเปรียบลูกค้าเขาก็ไม่เข้าไปยุ่งกัน ส่วนเรื่องช่วงชิงลูกค้านี่เป็นเรื่องที่เจอปรกติ แรกๆ ก็เดือดร้อน หัวร้อน แค้นใจและเจ็บปวด หลังก็เริ่มแกร่งขึ้น
พ่อค้าสายเทาเข้าขั้น มักแย่งลูกค้าซึ่งหน้า วิธีง่ายๆ คือ หากมีคนขายกล้องในราคาถูกมากและมีพ่อค้าคนหนึ่งนัด/ตกลงได้แล้ว จะมีพ่อค้าบางคนเสนอราคาเพิ่มขึ้น หรือสวมรอยไปรับแทน อันนี้มีดราม่าให้เห็นบ่อยๆ
ผมเคยโดนลูกค้าปิดสาย ให้รอเก้อ หลายหนเพราะโดนพวกนี้ตัดหน้า หลังๆ เริ่มมีทักษะดูออกและมีวิธีป้องกันตัวเองจากการโดนนัดลมเพราะถูกตัดหน้า
นี่เป็นตัวอย่างบทสนทนาผ่านแอพขายของมือสอง ผมลงกล้องตัวหนึ่งในราคาถูกเพราะขายมัดรวม มีพ่อค้าที่เคยตัดหน้าชิงตัวลูกค้าที่ผมนัดไปแล้ว
ผู้อ่านทราบไหมว่า
ถ้า "สินค้าราคาถูก"โผล่ขึ้นมา มันจะถูกขายได้ในไม่เกิน 10 นาที อย่างเร็วมากก็ 5 นาทีแรกก็ปิดดีลกันแล้ว เสมือนหนึ่งไม่เคยมีสินค้านี้ถูกขายในตลาด และกลับมาใหม่ในรูปสินค้าของพ่อค้า พ่อค้าต้องฝึกทักษะสกรีนสินค้าและตรวจสอบสินค้าราคาถูก(ว่าไม่ใช่มิจฉาชีพ)เร็วภายใน 5 นาที ต้องหูไวตาไว ความจำดี มีสัญชาติญาณ/สัญญาณเตือน
ส่งท้ายเรื่องพ่อค้า
บางคนเห็นว่ากล้องขายโดยพ่อค้าก็เบือนหน้าหนีคิดว่าพวกนี้เอาแต่กำไรอย่างเดียว พ่อค้ามีหลายแบบครับ ที่ดีที่คบได้ลูกค้าได้ทั้งสินค้าที่ดีและการบริการ มีการเช็คของและรับผิดชอบแทน มุมของผมเองถือว่าได้มิตรภาพและแลกเปลี่ยนความรู้จากลูกค้าเช่นกัน
....
1 ปีที่ผมมาเป็นพ่อค้ากล้องมือสอง ในแง่มุมพ่อค้า ตลาด ลูกค้า และมิจฉาชีพ
ตรงนี้ข้ามได้ครับ มีกระทู้เคยขึ้นกระทู้แนะนำ 2 ครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จุดเริ่มต้นความคิดเรื่องธุรกิจ
จากการที่ผมเลิกหวังกลับไปทำงานบริษัทเนื่องจากถูกเลิกจ้างและยังไม่มีแนวคิดใดๆ ในการประกอบอาชีพอิสระชัดเจน ผมเริ่มขายสิ่งต่างๆ (ระหว่างรอขายบ้าน) เช่น มอเตอร์ไซค์ iPad และกล้องถ่ายรูป และก็วนๆ เวียนในเว็บขายของ จนขายบ้านได้และกลับมาอยู่บ้านแม่ ผมก็ยังดูของจากเว็บนี้อยู่
วันหนึ่ง ผมเจอประกาศขายกล้องคอมแพค Panasonic ในราคา 500 บาท ก็มีความคิดที่ว่า "ราคาน่าเอามาทำกำไรขายได้" และคนขายอยู่ไม่ไกลกันจึงนัดเจอ ดูของ ทดสอบ จ่ายเงิน เอากลับมาบ้านแล้วถ่ายรูปสินค้า และตั้งราคาขาย จำได้ว่าขายไปได้ 950 แต่ไม่แน่ใจว่ากี่วันถึงจะขายออก
ผมเห็นกระทู้ถามของหลายท่านที่มักถามว่า: ทำธุรกิจอะไรดี/ขายอะไรดี ผมรู้จากประสบการณ์ว่าความคิดเรื่องธุรกิจ เริ่มจากการ"มองเห็น"ด้วยตัวเอง มีบางสิ่ง/หรือบางเหตุการณ์จุดประกายริเริ่มจากภายในตัวเราเสียมากกว่าการเห็นคนอื่นทำและทำตาม
หาสินค้าหรือหาลูกค้าก่อน? อีกคำถามยอดฮิต
อีกวันหนึ่งผมมาที่งานเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งไปเจอกล้องดิจิตอลหลายตัวนำมาเคลียร์ลดโดยแค่คิดว่าน่าจะขายได้จึงซื้อมาขาย
ผมได้กล้อง Nikon 3 ตัว 3 รุ่นที่เป็นครูในสนามตลาดกล้องมือสองของจริง
กล้อง Nikon ตัวที่ 1 คอมแพคธรรมดาๆ: บทเรียนเรื่องไม่ใช่ว่าจะขายอะไรก็ขายได้
"กล้องมันราคาเดิม 4,990 ลดเหลือ 1,590 น่าจะเอามาขายได้" ผมคิดแบบนี้และเป็นกล้องเพิ่งตกรุ่นไม่นาน (ซึ่งมารู้จากตลาดว่ากล้องคอมแพค Nikonไม่เป็นที่นิยม) ผมเอามาขายอยู่ร่วมเดือน เสียเงินดันโฆษณา หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว เหลือกำไร "100 บาท" จากกล้องรุ่นนั้น เรียกว่าขายทิ้งทีเดียว
บางทีสิ่งที่เราคิดว่าขายได้ หากตลาดไม่ตอบรับก็จบ
กล้อง Nikon ตัวที่ 2 คอมแพคไฮเอนด์: สินค้าดีตามความคิดเราแต่อาจไม่ใช่สำหรับตลาด
ส่วนตัวผมเล่นกล้องบ้างมาก่อนหน้า พอได้ตัวนี้มาคิดว่าเป็นของดีที่ได้มาในราคาที่ไม่แพงกล้องรุ่นนี้ หลังจากปล้ำสู้ขายตัวนี้กว่า Nikon ตัวแรก (ผมขายตัวนี้ได้ใน Shopee) กำไรหลังหักค่าใช้จ่าย ได้เพียง 10 บาท ครับ 10 บาทจริงๆ
บางครั้งสินค้าดี อาจจะดีจริงหรือดีในความคิดของเรา อาจจะไม่เป็นที่นิยมของตลาดได้ เรียกว่า"อาการแป๊ก" สิ่งที่ผมจับมาไม่เป็นที่นิยมของตลาดแต่แรก(เขาถึงมาขายเทไง) ของดีบางอย่างอาจขาดการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือการทำตลาดที่ดี หรือแม้ว่าจะพยามแล้วบางทีอาจไม่เข้าตาก็ได้เหมือนอย่างตัวที่ 3
กล้อง Nikon ตัวที่ 3 กล้องฟรุ้งฟริ้ง: บทเรียนเรื่องความนิยม
การสินค้ามาขายต้องเข้าใจว่าจะขายใคร รู้จักพฤติกรรมบริโภคและความนิยมของลูกค้า(ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังใหม่กับเรื่องนี้) ผมได้กล้องฟรุ้งฟริ้งของ Nikon มาขายในรอบนั้น ก็ได้เรียนรู้ว่ากล้องฟรุ้งฟริ้ง Nikon ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะในตัวเลือกราคาใกล้เคียงกันเพิ่มอีก 500-1,000 ก็ได้กล้อง Casio ZR ซึ่งตลาดตอบรับมากกว่า
หลายธุรกิจจึงต้องทำการสำรวจตลาดและทำวิจัยก่อนผลิตและส่งสินค้าในตลาด
ในช่วงตลาดกล้องซิลฟี่บูมในสมัยหนึ่ง ค่ายกล้องหันมาออกรุ่นฟรุ้งฟริ้งตามตลาด ทั้ง Nikon(S6900) Canon(N2) Sony(KW11) แต่เหลือรอดแข็งแกร่งยี่ห้อเดียวคือ Casio
จากบทเรียนกล้อง Nikon 3 ตัวนี่เอง ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่ใช่ว่าจะเอาอะไรมาขายก็ได้แต่ต้องเข้าใจตลาด ลูกค้าของเราด้วยว่าต้องการอะไร นิยมอะไร และหาสินค้าที่ตอบโจทย์ หรือจะนำสินค้าเฉพาะกลุ่ม(Niche Market)ต้องรู้ว่าจะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไร ได้ที่ไหน? บางกลุ่มเอาสินค้าบางประเภทไปลงก็ขายดีไม่หยุด เช่น เลนส์มือหมุนจีน(จนคนกระโดดเจ้ามาร่วมจนทะเลแดงเดือด มีมือสองเกลื่อน) สรุปง่ายๆ ว่า
ต้องรู้ว่า "ขายอะไร(สินค้า) ที่ไหน(รู้ว่าที่ไหนขายได้/ตลาดของสินค้า) แก่ใคร(รู้จักลูกค้า/ความนิยม/กลุ่มเป้าหมาย)
ผันตัวมาเป็นเซลล์โดยไม่ได้รับเงินเดือน
กำไรเดือนแรกหลังหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขาย+ค่าแรง(60 บาทต่อ 1 ตัว) ได้กำไร 4,350 บาท
ผมมานั่งประเมินตัวเองว่า"จะเอายังไงดี?" ส่วนหนึ่งผมก็สนุกกับการที่ได้ลอง
กล้องต่างๆ เพราะผมมักนั่งทดสอบและเอาออกไปถ่าย/ทำรีวิวให้ลูกค้า แต่มาถึงจุดที่สินค้าชุดแรกหมดและไม่มีงานขายเคลียร์สินค้า แล้วผมก็มีคำถามกับตัวเอง"จะเอาสินค้ามาจากไหน?"
.....
เริ่มต้นเป็นพ่อค้ากล้องมือสอง
แหล่งที่มาของสินค้ามาจากที่ต่างๆ เช่น ประกาศรับซื้อ/เทิร์น/จำนำ ร้านจำนำ ประมูล หาตามเว็บขายของมือสอง/เฟส หรือแม้แต่ของโจร!
พ่อค้าสายขาว(และเกือบขาว) พ่อค้าสายเทา และพ่อค้าสายมืด
คำว่าพ่อค้าในทีนี้หมายถึงแม่ค้าเช่นกัน สายขาว(และเกือบขาว)จะไม่ยุ่งกับสิ่งที่รู้ดีว่าเป็นของโจร พ่อค้าส่วนใหญ่น่าจะรู้ครับว่าของไหนเป็นของโจร ของร้อนเงินกับของโจรมันต่างกัน พูดคุยสอบถามก็น่าจะรู้ได้ไม่ยาก เคสที่ดูง่ายๆ คือเอากล้องมาขายแต่ไม่รู้จักกล้องตัวเองและท่าทางมีพิรุธว่าไม่ใช่เจ้าของกล้อง ผมก็มีวิธีปฏิเสธไป
พ่อค้าสายขาว(เกือบขาว)
เน้นทำอาชีพระยะยาวหรือถือว่าเป็นอาชีพของเขา ถ้ากล้องได้มามีปัญหาก็รับผิดชอบ ขาดทุนก็มี เพราะเจอลูกค้าหลอก พยามแจ้งทุกอย่างที่ลูกค้าควรทราบก่อนซื้อ พ่อค้าที่เกือบขาวก็ประมาณลดจากมาตรฐานความขาวนิดๆ(ฮา) พ่อค้าที่แท้จริงยังคงมีความเป็นพ่อค้านั่นแหล่ะ ผมเลยเข้าใจเรื่องธุรกิจก็และได้ทักษะพวกนี้มาใช้ในชีวิต แน่นอนมันกลายมาเป็นบุคคลิกลักษณะส่วนหนึ่งหากเราประกอบอาชีพแบบไหน
ตัวอย่างทักษะพ่อค้า: ผมเคยพาหลานไปงานวัด หลานอยากเล่นเครื่องเล่น หลาน 4 คนมีเงินรวมกัน 100 บาท แต่ค่าเข้าเครื่องเล่น 120 บาท(คนละ 30 บาท) ผมจึงบอกกับคนขายตั๋ว
"หลานผมอยากเล่นนะ แต่4คนรวมกัน100บาท ถ้าคนหนึ่งไม่ได้เล่นพวกเขาก็ไม่เล่น" สรุปได้เล่นในราคา 100
พ่อค้าสายเทา
พ่อค้าสายเทาคือพ่อค้าที่พร้อมจะตุกติกทั้งแง่ซื้อและขายสินค้า เช่น หลอกขอซื้อกล้องโดยปิดบังตัวเอง/อ้างว่างบน้อย/เอาไว้ใช้งาน/ขอลดราคาเพื่อค่านมลูก/โกหกว่าจะเอาไปเป็นกล้องสำรอง หาข้อตำหนิเพื่อหักคอหน้างาน(ต่อราคาอีกหลังจากตกลงราคาเบื้องต้น) ในแง่การขายก็พยามหมกเม็ดรายละเอียดตำหนิและอาการเสีย บางทีบอกว่าสภาพนางฟ้าแต่ของจริงสภาพหญิงงามเมือง พ่อค้าแบบนี้ก็ยังอยู่ได้ในวงการ ส่วนตัวถ้าเคยดีลกับพ่อค้าประเภทนี้ก็เลิกดีลหากมีติดต่อมา
พ่อค้า(แม่ค้า)สายเทามีบางพวกรับซื้อกล้องเสียอาการยอดฮิตไปซ่อมแล้วเอามาขาย เช่น อาการสายแพเสียของกล้อง 2 ยี่ห้อ...
พ่อค้าสายมืด ไม่สนว่าเป็นของโจร อันนี้ขึ้นอยู่กับมโนธรรมตัวเอง และชี้ไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อค้าสายมืด
สงครามพ่อค้า
พ่อค้ามักไม่ยุ่งกับโพสต์ขายของคนอื่น ขายของใครของมัน แม้ว่าจะมีโพสต์สินค้าที่ตั้งราคาเอาเปรียบลูกค้าเขาก็ไม่เข้าไปยุ่งกัน ส่วนเรื่องช่วงชิงลูกค้านี่เป็นเรื่องที่เจอปรกติ แรกๆ ก็เดือดร้อน หัวร้อน แค้นใจและเจ็บปวด หลังก็เริ่มแกร่งขึ้น
พ่อค้าสายเทาเข้าขั้น มักแย่งลูกค้าซึ่งหน้า วิธีง่ายๆ คือ หากมีคนขายกล้องในราคาถูกมากและมีพ่อค้าคนหนึ่งนัด/ตกลงได้แล้ว จะมีพ่อค้าบางคนเสนอราคาเพิ่มขึ้น หรือสวมรอยไปรับแทน อันนี้มีดราม่าให้เห็นบ่อยๆ
ผมเคยโดนลูกค้าปิดสาย ให้รอเก้อ หลายหนเพราะโดนพวกนี้ตัดหน้า หลังๆ เริ่มมีทักษะดูออกและมีวิธีป้องกันตัวเองจากการโดนนัดลมเพราะถูกตัดหน้า
นี่เป็นตัวอย่างบทสนทนาผ่านแอพขายของมือสอง ผมลงกล้องตัวหนึ่งในราคาถูกเพราะขายมัดรวม มีพ่อค้าที่เคยตัดหน้าชิงตัวลูกค้าที่ผมนัดไปแล้ว
ผู้อ่านทราบไหมว่า ถ้า "สินค้าราคาถูก"โผล่ขึ้นมา มันจะถูกขายได้ในไม่เกิน 10 นาที อย่างเร็วมากก็ 5 นาทีแรกก็ปิดดีลกันแล้ว เสมือนหนึ่งไม่เคยมีสินค้านี้ถูกขายในตลาด และกลับมาใหม่ในรูปสินค้าของพ่อค้า พ่อค้าต้องฝึกทักษะสกรีนสินค้าและตรวจสอบสินค้าราคาถูก(ว่าไม่ใช่มิจฉาชีพ)เร็วภายใน 5 นาที ต้องหูไวตาไว ความจำดี มีสัญชาติญาณ/สัญญาณเตือน
ส่งท้ายเรื่องพ่อค้า
บางคนเห็นว่ากล้องขายโดยพ่อค้าก็เบือนหน้าหนีคิดว่าพวกนี้เอาแต่กำไรอย่างเดียว พ่อค้ามีหลายแบบครับ ที่ดีที่คบได้ลูกค้าได้ทั้งสินค้าที่ดีและการบริการ มีการเช็คของและรับผิดชอบแทน มุมของผมเองถือว่าได้มิตรภาพและแลกเปลี่ยนความรู้จากลูกค้าเช่นกัน
....