เห็นกระทู้เรื่องคุยกับคนมีแฟน เลยเกิดไอเดียว่ามันมีกรณียกเว้นหรือไม่ เพราะจากที่อ่านคร่าวๆเหมือนคำตอบจะมีอย่างเดียวคือห้ามทุกกรณีที่จะบอกความรู้สึกให้อีกฝ่ายทีมีแฟนแล้วได้รู้ความรู้สึกของเรา
เทียบเคียงจากเหตุการณ์จริง มีเปลี่ยนข้อเท็จจริงบ้างนะครับ หากปรากฎว่าคุณพอใจคนนึง แต่เขามีแฟนแล้ว คุณเลยไม่กล้าที่จะคุยบ่อยๆเรียกว่านานๆครั้งเข้าไปคุยด้วย และไม่ได้แสดงท่าทางชัดเจนว่าสนใจในการคุยแต่ล่ะครั้งใช้เวลาไม่นาน เพราะรู้ว่าเขามีแฟนแล้วไม่เหมาะที่จะไปชวนคุย
ปรากฎว่าจากที่ได้คุยกันมาบ้างทำให้รู้ว่า เขาอยากจะแต่งงานมีลูกก่อนสามสิบ เพราะไม่อยากมีลูกตอนแก่ แต่แฟนเขาบอกว่ายังไม่พร้อม ซึ่งจากการคาดการณ์กว่าจะได้แต่งมีลูกก็คงจะสามสิบอัพ หากไม่เลิกกันไปเสียก่อน เขาเคยคุยกับแฟนแล้วแต่แฟนบ่ายเบี่ยงบอกแต่ว่ายังไม่พร้อม ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคงต้องวัดดวงกันอีกทีว่าให้สามสิบอัพตอนนั้นก็คงจะหน้าที่การงานมั่นคงพอจะมีครอบครัว ค่อยคิดเรื่องแต่ง(หากยังไม่เลิกกันเสียก่อน) อันนี้เป็นการคาดการณ์ความน่าจะเป็นนะครับ
เขาคบกับแฟนมาราวๆ 5 ปีแล้วครับ ผุ้หญิงมีผุ้ชายคนนี้เป็นแฟนคนแรกรู้จักกันในที่ทำงานตั้งแต่เรียนจบแรกๆ
กรณีแบบนี้ หากเราสถานะทุกอย่างพร้อมแล้วที่จะสร้างครอบครัว ดังนั้นถ้าเราคุยกับผุ้หญิงไปตรงๆว่าเราสนใจและอยากจะสร้างครอบครัวกับเขา ข้อแม้คือให้ผุ้หญิงไปคุยกับผุ้ชายเรื่องนี้ตรงๆเสียก่อน หากผู้ชายยอมแต่งงานมีครอบตัว ผมก็จะถอย แต่ถ้าหากผุ้ชายไม่ยอมยังยืนยันว่าไม่พร้อม ก็ค่อยให้ผู้หญิงตัดสินใจเลือกอีกทีว่าจะรอแฟนพร้อมต่อไปหรือจะเลิกมาแต่งงานกับเรา
สถานะผู้ชายกับผู้หญิงมีการงานทำทั้งคู่รวมถึงมีบ้านมีรถ(ยังต้องผ่อนหมด) เรียกว่าก็พอมีทรัพย์สินพอสมควรเพียงแต่อาจจะอยากให้มีพร้อมหรือมากกว่านี้ค่อยคิดเรื่องแต่งงาน น่าจะประมาณนี้ครับ
กรณีแบบนี้จะทำได้หรือไม่ สังคมจะยอมรับหรือไม่ หากผู้หญิงสอบถามผู้ชายแล้วแต่ผู้ชายก็ยังยืนยันคำเดิมว่ายังไงก็ไม่พร้อม ไม่อยากมีครอบครัวตอนนี้
หรือไม่ว่ากรณีใดๆก็ห้ามบอกห้ามยุ่งเลย ได้แต่รอเวลาให้เขาเลิกกันเองโดยไม่มีเราเป็นเงื่อนไขทำให้เขาเลิกรากัน
มีกรณีเดียวที่ผมคิดว่าเราสามารถคุยกับผุ้หญิงให้เลือกเราได้คือ หากแฟนผู้ชายไม่มีอนาคต เช่น ไม่ทำการงาน ใช้กำลังกับผุ้หญิง ติดอบายมุข ฯลฯ เรียกว่าไม่ใช่คนดีล่ะกันครับ การที่เราไปสามารถว่าชอบพร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตผุ้หญิง กรณีแบบนี้สังคมยอมรับใช่เปล่าครับ เพราะถือว่าเป็นการฉุดดึงผู้หญิงให้ออกมาจากสภาพที่เป็นอยู่ หรือว่ายังอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันคือยังไงก็ห้ามทำให้เขาเลิกกันเพราะเรา
แต่ตอนนี้ผมเลือกที่จะเงียบไม่บอกอะไรทังนั้นครับ ไม่เคยคิดอย่างละเอียดสักที คิดรวมๆแต่ว่าเราไม่ควรจะไปทำให้ใครเลิกกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ถ่าได้ความคิดจากหลายช่วงอายุคงดีครับ อยากอ่านความคิดหลากหลาย หลายช่วงวัย
ขอบคุณครับ
กรณีไหนบ้างที่สังคมยอมรับที่เราจะบอกความรู้สึกกับคนมีแฟนแล้วบ้างครับ
เทียบเคียงจากเหตุการณ์จริง มีเปลี่ยนข้อเท็จจริงบ้างนะครับ หากปรากฎว่าคุณพอใจคนนึง แต่เขามีแฟนแล้ว คุณเลยไม่กล้าที่จะคุยบ่อยๆเรียกว่านานๆครั้งเข้าไปคุยด้วย และไม่ได้แสดงท่าทางชัดเจนว่าสนใจในการคุยแต่ล่ะครั้งใช้เวลาไม่นาน เพราะรู้ว่าเขามีแฟนแล้วไม่เหมาะที่จะไปชวนคุย
ปรากฎว่าจากที่ได้คุยกันมาบ้างทำให้รู้ว่า เขาอยากจะแต่งงานมีลูกก่อนสามสิบ เพราะไม่อยากมีลูกตอนแก่ แต่แฟนเขาบอกว่ายังไม่พร้อม ซึ่งจากการคาดการณ์กว่าจะได้แต่งมีลูกก็คงจะสามสิบอัพ หากไม่เลิกกันไปเสียก่อน เขาเคยคุยกับแฟนแล้วแต่แฟนบ่ายเบี่ยงบอกแต่ว่ายังไม่พร้อม ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคงต้องวัดดวงกันอีกทีว่าให้สามสิบอัพตอนนั้นก็คงจะหน้าที่การงานมั่นคงพอจะมีครอบครัว ค่อยคิดเรื่องแต่ง(หากยังไม่เลิกกันเสียก่อน) อันนี้เป็นการคาดการณ์ความน่าจะเป็นนะครับ
เขาคบกับแฟนมาราวๆ 5 ปีแล้วครับ ผุ้หญิงมีผุ้ชายคนนี้เป็นแฟนคนแรกรู้จักกันในที่ทำงานตั้งแต่เรียนจบแรกๆ
กรณีแบบนี้ หากเราสถานะทุกอย่างพร้อมแล้วที่จะสร้างครอบครัว ดังนั้นถ้าเราคุยกับผุ้หญิงไปตรงๆว่าเราสนใจและอยากจะสร้างครอบครัวกับเขา ข้อแม้คือให้ผุ้หญิงไปคุยกับผุ้ชายเรื่องนี้ตรงๆเสียก่อน หากผู้ชายยอมแต่งงานมีครอบตัว ผมก็จะถอย แต่ถ้าหากผุ้ชายไม่ยอมยังยืนยันว่าไม่พร้อม ก็ค่อยให้ผู้หญิงตัดสินใจเลือกอีกทีว่าจะรอแฟนพร้อมต่อไปหรือจะเลิกมาแต่งงานกับเรา
สถานะผู้ชายกับผู้หญิงมีการงานทำทั้งคู่รวมถึงมีบ้านมีรถ(ยังต้องผ่อนหมด) เรียกว่าก็พอมีทรัพย์สินพอสมควรเพียงแต่อาจจะอยากให้มีพร้อมหรือมากกว่านี้ค่อยคิดเรื่องแต่งงาน น่าจะประมาณนี้ครับ
กรณีแบบนี้จะทำได้หรือไม่ สังคมจะยอมรับหรือไม่ หากผู้หญิงสอบถามผู้ชายแล้วแต่ผู้ชายก็ยังยืนยันคำเดิมว่ายังไงก็ไม่พร้อม ไม่อยากมีครอบครัวตอนนี้
หรือไม่ว่ากรณีใดๆก็ห้ามบอกห้ามยุ่งเลย ได้แต่รอเวลาให้เขาเลิกกันเองโดยไม่มีเราเป็นเงื่อนไขทำให้เขาเลิกรากัน
มีกรณีเดียวที่ผมคิดว่าเราสามารถคุยกับผุ้หญิงให้เลือกเราได้คือ หากแฟนผู้ชายไม่มีอนาคต เช่น ไม่ทำการงาน ใช้กำลังกับผุ้หญิง ติดอบายมุข ฯลฯ เรียกว่าไม่ใช่คนดีล่ะกันครับ การที่เราไปสามารถว่าชอบพร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตผุ้หญิง กรณีแบบนี้สังคมยอมรับใช่เปล่าครับ เพราะถือว่าเป็นการฉุดดึงผู้หญิงให้ออกมาจากสภาพที่เป็นอยู่ หรือว่ายังอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันคือยังไงก็ห้ามทำให้เขาเลิกกันเพราะเรา
แต่ตอนนี้ผมเลือกที่จะเงียบไม่บอกอะไรทังนั้นครับ ไม่เคยคิดอย่างละเอียดสักที คิดรวมๆแต่ว่าเราไม่ควรจะไปทำให้ใครเลิกกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ถ่าได้ความคิดจากหลายช่วงอายุคงดีครับ อยากอ่านความคิดหลากหลาย หลายช่วงวัย
ขอบคุณครับ