เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จริงๆ มีชื่อทุกมหาลัย ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยมาสองปีไม่เคยไปจัดค่ายที่ไหนเลย ความเป็นอยู่ก็อยู่หอไกลจากเพื่อนๆ ไม่ค่อยได้พบปะกันซักเท่าไหร่ แต่ก็มีเพื่อนที่สนิทกันคนนึงเรียนคนละคณะ เขาก็เล่าให้ฟังว่าไปจัดค่ายนั่นนี่ ก็มีทั้งสนุกปนลำบาก เราก็เลยเปรยไว้ว่าอยากลองไปจัดค่ายสักครั้งตั้งแต่สมัยปี 2
เหตุเกิดเมื่อวันนึงตอนปี 3 เพื่อนที่สนิทกันได้ชวนให้ไปทำค่ายอาสาที่โรงเรียนสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยพี่ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของมหาลัยและเป็นคุณครูที่นั่นด้วย ไปทั้งหมด 3 วัน 3 คืน แล้วด้วยความเป็นการติวของเด็กม.ปลาย เพื่อนก็หาข้อสอบมาให้ เราก็นั่งพิมพ์จนถึงตี 5 เลย เพื่อให้น้องๆ ได้มีชีทในการติว แล้วก็ไปช่วยกันหาเฉลย แต่พอใกล้วันจะไป ข้อสอบที่พิมพ์ถึงตี 5 กลับไม่ได้ใช้แล้ว
ที่ทำไปคืออะไร?? ทางโรงเรียนก็จัดข้อสอบชุดอื่นให้ เรายังไม่ทันได้ดูก็ถึงวันที่ต้องออกเดินทางแล้ว
เย็นวันพฤหัสบดี 15.05 น. เราไปถึงที่นัดหมายมีคนมาอีกแค่คนเดียว กับรถตู้ที่มารับ เท่านั้น เลยไปหาของรองท้อง แล้วกลับมารอที่เดิม แล้วก็เริ่มทยอยกันมา ล้วนแล้วเป็นชายฉกรรจ์ ทั้งสิ้น คือผมเผ้าหนวดเครามาเต็ม ยืนสูบบุหรี่กันเป็นแก๊ง ควันและกลิ่นลอยคละคลุ้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คิดในใจ "คิดผิดมั้ยเนี่ยที่จะมาค่ายนี้ พลาดอย่างแรง" กว่าจะได้ออกรถ 4 โมงกว่า นี่แหละ
นัดคนไทย ก็ไปจอดรถกินข้าวที่ปั้ม ปตท. นั่งกินข้าวที่ร้าน “อะเมซอน” เห็นพวกเขานั่งกันเป็นกลุ่ม เซลฟี่ กันสนุกสนาน ตัดภาพมาที่เรากับเพื่อนนั่งกินข้าวกันสองคนเงียบๆ แล้วกลับขึ้นรถไปแบบเงียบๆ จนกระทั่งถึงที่โรงเรียน ใช้เวลาในการเดินทางร่วม 4 ชั่วโมง เรากับเพื่อนได้ไปนอนกับครูที่พามา หลังจากนั้นก็เข้าสู่กิจกรรมแรก
กิจกรรมแนะนำตัว เป็นการแนะนำตัวทั่วๆ ไป แล้วก็กลับขึ้นไปห้องพัก นั่งคุยกับเพื่อน และพี่ ๆทำให้เริ่มรู้จักกันมากขึ้น
วันศุกร์ กิจกรรมค้นหาตัวตนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เช้า ก็จะมีหลายบูท เช่น ครู วิทยาศาสตร์ เกษตร ศิลปกรรม ประติมากรรม ตำรวจ ผมได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยในบูทของเกษตรการทดสอบดิน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีนักเรียนสนใจมากขนาดนี้มี พี่วิทยากรได้นำอุปกรณ์ที่เตรียมมาพาน้องๆ ทำสอบดิน สิ่งที่เห็นจากกิจกรรมนี้คือ การเรียนเกษตรไม่ใช่การปลูกพืชทำไร่อย่างเดียวเพราะเกษตรคือวิทยาศาสตร์ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะทำให้ผลผลิตมีปริมาณและคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจำเป็นกับประเทศที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประเทศอย่างยิ่ง
ในช่วงบ่าย ผมได้รับให้สอนวิชาสังคม สาขาเศรษฐศาสตร์ คู่กับเพื่อนที่สนิทกัน ด้วยความไม่ค่อยได้สอนมันก็จะ มึนงง หน่อยๆ เพื่อนก็คอยช่วยเสริม คอยเติมให้ สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ น้องๆ ตั้งใจกับการเรียนมาก กระตือรือร้นที่จะตอบคำถาม อาจจะผิดบ้างแต่ก็ตอบ บรรยากาศในการเรียนการสอนก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน คือนักเรียนมองหน้าผมก็หัวเราะแล้ว 555 เป็นอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยได้เห็นในมุมของครู ที่ต้องอยู่หน้าห้องต้องคอยหาวิธี คอนโทล นักเรียนให้ฟังที่เราสอนนี่ไม่ง่ายเลย ความรู้สึกหนึ่งที่เข้าใจครูเลยก็คือการที่ถูกนักเรียนมองสนใจนั้นดีกว่าการที่นักเรียนไม่สนใจเลย
วันศุกร์ ช่วงเย็น หลังจากการเรียนการสอนเสร็จก็ไปกินข้าวทำธุระส่วนตัวแล้วก็มีกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมนี้ทำให้หลายคนที่ไม่รู้จักกันได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งในความไม่น่าเชื่อเลยคือวิทยากรบางคนที่เราไม่น่าจะได้รู้จักกันก็ทำให้เราได้รู้จักกันในค่ายนี้ บางคนกำลังเรียนปริญญาเอก บางคนเป็นอาจารย์ บางคนเป็นติวเตอร์ บางคนไม่ได้อยู่สถาบันเดียวกัน บางคนอาจจะเคยเจอหน้ากันแต่ไม่เคยคุยกันเลย บางคนอยากทำความรู้จักแต่ก็ไม่มีโอกาส บางคนไม่น่ารู้จัก ก็รู้จักกันแล้วเห็นความเป็นตัวตนรู้เลยว่า ที่เห็นไว้ผมไว้หนวดรุงรัง พ่นควันออกปาก พูดจาห้าวๆ นั่นเป็นแค่ภายนอกเท่านั้น เราไม่ควรตัดสินคนจาก นาทีแรกที่เราเจอ แต่เราต้องรู้จักตัวตนของเขาก่อน
วันเสาร์ เริ่มติวตั้งแต่ตอนเช้าแต่ผมมีติวตอนบ่าย ก็เลยไปติวบ่าย การติวก็เป็นไปตามปปกติ แต่เนื่องจากเป็นวันเสาร์ น้องๆ เลยหายไปบ้าง บรรยากาศการเรียนการสอนก็เป็นไปอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม แล้วน้องๆ ก็ตั้งใจเรียด แล้วก็มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น เริ่มพูดคุยเล่นมากขึ้น พอถึงเย็นมีกิจกรรมนันทนาการคือวิทยากรได้พบปะพูดคุยกัน ช่วยกระชับความสัมพันธ์ที่ดีของวิทยากรทุกท่าน
วันอาทิตย์ ผมไปติวตั้งแต่เช้าวแล้วก็ไปช่วยพี่อีกคนสอนด้วยในหลายๆห้อง ไปช่วยดูน้องในคาบศิลปะ ให้น้อง ๆตั้งใจวาดรูปแล้วรูปที่ออกมาก็สวยมาก ๆนึกแล้วยังอาย 555+ พอตอนกลับก็มีพิธีปิดเล็ก ๆที่น่ารัก คือมีน้อง ๆมามอบถุงย่ามให้กับวิทยากร แล้วก็กล่าวปิดได้อย่างน่าประทับใจ หลังจากนั้นประชุมสรุปค่าย มีพี่ๆ วิทยากรหลายคนมาพูด แล้วก็พูดได้ดีเห็นความคิดในหลายมุมมอง พอกลับมาถึงที่มหาลัย ผมกลับรู้สึกสนุกสนานและไม่อยากให้ค่ายนี้จบลงเลย แต่ก็งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ตอนนั้นผมมีความรู้สึกต่างจากตอนที่ขึ้นรถไปมาก สีหน้ายิ้มแย้มพูดคุยกับทุก ๆคน และผมถือว่า ”ค่ายนี้เป็นค่ายแรกและเป็นค่ายที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก”
ความรู้สึกหลังจากเข้าค่ายของผมคือ จากคนที่ไม่น่ามาพบเจอกันได้ก็สามารถมาเจอกันได้ มันอาจจะเป็นลิขิตของฟ้า หรือเวรกรรมอะไรสักอย่าง แต่ก็ทำให้ทุกคนมารู้จักกัน ถึงแม้ตอนแรกอาจจะไม่น่ารู้จักเลยแต่จริง ๆแล้วก็เป็นคนที่มีควรรู้จักเลยด้วยซ้ำ อาจจะดูน่ากลัวแต่จริง ๆแล้วก็เฮฮาไม่ต่างกัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่อาจจบลงได้ เรียกได้ว่า “ค่ายจบคนไม่จบ” ยังคงติดต่อกันอยู่เนือง ๆ สุดท้ายนี้ผมอยากบอกว่า “ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเราต้องเสียสละ” ถ้าคุณคิดว่าการเข้าค่ายทำให้เสียเวลาในการเรียนหรือการทำงานก็ตาม คุณอาจจะได้ในสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงอย่างที่ผมได้รับก็เป็นได้
I Hate Volunteer (จำฝังใจ ค่ายมหาลัย)
เหตุเกิดเมื่อวันนึงตอนปี 3 เพื่อนที่สนิทกันได้ชวนให้ไปทำค่ายอาสาที่โรงเรียนสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยพี่ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของมหาลัยและเป็นคุณครูที่นั่นด้วย ไปทั้งหมด 3 วัน 3 คืน แล้วด้วยความเป็นการติวของเด็กม.ปลาย เพื่อนก็หาข้อสอบมาให้ เราก็นั่งพิมพ์จนถึงตี 5 เลย เพื่อให้น้องๆ ได้มีชีทในการติว แล้วก็ไปช่วยกันหาเฉลย แต่พอใกล้วันจะไป ข้อสอบที่พิมพ์ถึงตี 5 กลับไม่ได้ใช้แล้ว ที่ทำไปคืออะไร?? ทางโรงเรียนก็จัดข้อสอบชุดอื่นให้ เรายังไม่ทันได้ดูก็ถึงวันที่ต้องออกเดินทางแล้ว
เย็นวันพฤหัสบดี 15.05 น. เราไปถึงที่นัดหมายมีคนมาอีกแค่คนเดียว กับรถตู้ที่มารับ เท่านั้น เลยไปหาของรองท้อง แล้วกลับมารอที่เดิม แล้วก็เริ่มทยอยกันมา ล้วนแล้วเป็นชายฉกรรจ์ ทั้งสิ้น คือผมเผ้าหนวดเครามาเต็ม ยืนสูบบุหรี่กันเป็นแก๊ง ควันและกลิ่นลอยคละคลุ้ง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ กว่าจะได้ออกรถ 4 โมงกว่า นี่แหละ นัดคนไทย ก็ไปจอดรถกินข้าวที่ปั้ม ปตท. นั่งกินข้าวที่ร้าน “อะเมซอน” เห็นพวกเขานั่งกันเป็นกลุ่ม เซลฟี่ กันสนุกสนาน ตัดภาพมาที่เรากับเพื่อนนั่งกินข้าวกันสองคนเงียบๆ แล้วกลับขึ้นรถไปแบบเงียบๆ จนกระทั่งถึงที่โรงเรียน ใช้เวลาในการเดินทางร่วม 4 ชั่วโมง เรากับเพื่อนได้ไปนอนกับครูที่พามา หลังจากนั้นก็เข้าสู่กิจกรรมแรก กิจกรรมแนะนำตัว เป็นการแนะนำตัวทั่วๆ ไป แล้วก็กลับขึ้นไปห้องพัก นั่งคุยกับเพื่อน และพี่ ๆทำให้เริ่มรู้จักกันมากขึ้น
วันศุกร์ กิจกรรมค้นหาตัวตนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เช้า ก็จะมีหลายบูท เช่น ครู วิทยาศาสตร์ เกษตร ศิลปกรรม ประติมากรรม ตำรวจ ผมได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยในบูทของเกษตรการทดสอบดิน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีนักเรียนสนใจมากขนาดนี้มี พี่วิทยากรได้นำอุปกรณ์ที่เตรียมมาพาน้องๆ ทำสอบดิน สิ่งที่เห็นจากกิจกรรมนี้คือ การเรียนเกษตรไม่ใช่การปลูกพืชทำไร่อย่างเดียวเพราะเกษตรคือวิทยาศาสตร์ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะทำให้ผลผลิตมีปริมาณและคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจำเป็นกับประเทศที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประเทศอย่างยิ่ง
ในช่วงบ่าย ผมได้รับให้สอนวิชาสังคม สาขาเศรษฐศาสตร์ คู่กับเพื่อนที่สนิทกัน ด้วยความไม่ค่อยได้สอนมันก็จะ มึนงง หน่อยๆ เพื่อนก็คอยช่วยเสริม คอยเติมให้ สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ น้องๆ ตั้งใจกับการเรียนมาก กระตือรือร้นที่จะตอบคำถาม อาจจะผิดบ้างแต่ก็ตอบ บรรยากาศในการเรียนการสอนก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน คือนักเรียนมองหน้าผมก็หัวเราะแล้ว 555 เป็นอีกมุมหนึ่งที่ผมไม่เคยได้เห็นในมุมของครู ที่ต้องอยู่หน้าห้องต้องคอยหาวิธี คอนโทล นักเรียนให้ฟังที่เราสอนนี่ไม่ง่ายเลย ความรู้สึกหนึ่งที่เข้าใจครูเลยก็คือการที่ถูกนักเรียนมองสนใจนั้นดีกว่าการที่นักเรียนไม่สนใจเลย
วันศุกร์ ช่วงเย็น หลังจากการเรียนการสอนเสร็จก็ไปกินข้าวทำธุระส่วนตัวแล้วก็มีกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมนี้ทำให้หลายคนที่ไม่รู้จักกันได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งในความไม่น่าเชื่อเลยคือวิทยากรบางคนที่เราไม่น่าจะได้รู้จักกันก็ทำให้เราได้รู้จักกันในค่ายนี้ บางคนกำลังเรียนปริญญาเอก บางคนเป็นอาจารย์ บางคนเป็นติวเตอร์ บางคนไม่ได้อยู่สถาบันเดียวกัน บางคนอาจจะเคยเจอหน้ากันแต่ไม่เคยคุยกันเลย บางคนอยากทำความรู้จักแต่ก็ไม่มีโอกาส บางคนไม่น่ารู้จัก ก็รู้จักกันแล้วเห็นความเป็นตัวตนรู้เลยว่า ที่เห็นไว้ผมไว้หนวดรุงรัง พ่นควันออกปาก พูดจาห้าวๆ นั่นเป็นแค่ภายนอกเท่านั้น เราไม่ควรตัดสินคนจาก นาทีแรกที่เราเจอ แต่เราต้องรู้จักตัวตนของเขาก่อน
วันเสาร์ เริ่มติวตั้งแต่ตอนเช้าแต่ผมมีติวตอนบ่าย ก็เลยไปติวบ่าย การติวก็เป็นไปตามปปกติ แต่เนื่องจากเป็นวันเสาร์ น้องๆ เลยหายไปบ้าง บรรยากาศการเรียนการสอนก็เป็นไปอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม แล้วน้องๆ ก็ตั้งใจเรียด แล้วก็มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น เริ่มพูดคุยเล่นมากขึ้น พอถึงเย็นมีกิจกรรมนันทนาการคือวิทยากรได้พบปะพูดคุยกัน ช่วยกระชับความสัมพันธ์ที่ดีของวิทยากรทุกท่าน
วันอาทิตย์ ผมไปติวตั้งแต่เช้าวแล้วก็ไปช่วยพี่อีกคนสอนด้วยในหลายๆห้อง ไปช่วยดูน้องในคาบศิลปะ ให้น้อง ๆตั้งใจวาดรูปแล้วรูปที่ออกมาก็สวยมาก ๆนึกแล้วยังอาย 555+ พอตอนกลับก็มีพิธีปิดเล็ก ๆที่น่ารัก คือมีน้อง ๆมามอบถุงย่ามให้กับวิทยากร แล้วก็กล่าวปิดได้อย่างน่าประทับใจ หลังจากนั้นประชุมสรุปค่าย มีพี่ๆ วิทยากรหลายคนมาพูด แล้วก็พูดได้ดีเห็นความคิดในหลายมุมมอง พอกลับมาถึงที่มหาลัย ผมกลับรู้สึกสนุกสนานและไม่อยากให้ค่ายนี้จบลงเลย แต่ก็งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ตอนนั้นผมมีความรู้สึกต่างจากตอนที่ขึ้นรถไปมาก สีหน้ายิ้มแย้มพูดคุยกับทุก ๆคน และผมถือว่า ”ค่ายนี้เป็นค่ายแรกและเป็นค่ายที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก”
ความรู้สึกหลังจากเข้าค่ายของผมคือ จากคนที่ไม่น่ามาพบเจอกันได้ก็สามารถมาเจอกันได้ มันอาจจะเป็นลิขิตของฟ้า หรือเวรกรรมอะไรสักอย่าง แต่ก็ทำให้ทุกคนมารู้จักกัน ถึงแม้ตอนแรกอาจจะไม่น่ารู้จักเลยแต่จริง ๆแล้วก็เป็นคนที่มีควรรู้จักเลยด้วยซ้ำ อาจจะดูน่ากลัวแต่จริง ๆแล้วก็เฮฮาไม่ต่างกัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่อาจจบลงได้ เรียกได้ว่า “ค่ายจบคนไม่จบ” ยังคงติดต่อกันอยู่เนือง ๆ สุดท้ายนี้ผมอยากบอกว่า “ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเราต้องเสียสละ” ถ้าคุณคิดว่าการเข้าค่ายทำให้เสียเวลาในการเรียนหรือการทำงานก็ตาม คุณอาจจะได้ในสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงอย่างที่ผมได้รับก็เป็นได้