เคยมั๊ยที่รู้สึกกลัว?
เคยมั๊ยที่รู้สึกโดดเดี่ยว?
เคยมั๊ยที่รู้สึกเว้งว้าง?
เคยมั๊ยที่ต้องเผชิญหน้ากับ…???
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ขอรับรองว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์จริง ทุกอย่างจริง….จริง..จริง.!!ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
เรื่องมีอยู่ว่าผมกับเพื่อนได้ตกลงกันว่าในช่วงเดือนพฤษภาคม(ปี59)เราจะไปเที่ยวกาญฯกัน
เมื่อมาถึงวันนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต้นทางฉะเชิงเทรา จุดหมายปลายทางมุ่งหน้าไปที่…@สังขละบุรี
พวกเราเริ่มออกเดินทางในช่วงเช้าจากวัดแห่งหนึ่งหลังจากได้ไปปฏิบัติธรรมตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ตอนไปปฏิบัติก็ได้ออกเดินธุดงค์ได้เจอเรื่องราวต่างๆมากมายแต่ขอไว้เล่าในตอนหน้า แต่ตอนนี้เรามา
เข้าเรื่องกันต่อเลยดีกว่าครับ ในเย็นของวันนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงสังขละบุรีเป็นที่เรียบร้อย หลังจากทุกคนทำภาระกิจส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันที่ห้องเพื่อวางแผนสถานที่ที่จะไปในวันพรุ่งนี้ คืนแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอนหลับกันด้วยความเพลียจากการเดินทาง เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็ขับรถเที่ยวในสถานที่ที่ได้วางแผนกันไว้เมื่อคืนนี้ หนึ่งในนั้นคือถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล(สถานปฏิบัติธรรม) เมื่อพวกเรามาถึงที่นี่ก็จัดแจงจุดธูปเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นอันดับแรกก่อนที่พวกเราจะเข้าไปในถ้ำ ก่อนอื่นต้องขออธิบาย
ลักษณะทางเดินขึ้นถ้ำนิดนึงนะครับโดยทางเดินขึ้นนั้นจะเป็นบันไดไม้ขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็จะพบกับประตูทางเข้าลักษณะเป็นการตีไม้ให้เป็นสี่เหลี่ยมๆแล้วตั้งกั้นขวางไว้ระหว่างทางเดิน เมื่อพวกเราเดินผ่านประตูไปก้าวแรกที่สัมผัสได้เลยคือบรรยากาศมันชั่งแตกต่างกันเหลือเกิน สัมผัสที่รับรู้เลยคือมันเย็นผิดปกติ ไม่เหมือนก่อนก้าวเข้าประตูที่อากาศร้อนกว่าซึ่งมันเป็นแค่ไม้เหมือนเอาฉากที่เป็นประตูไปกั้นไว้ อ่อ…ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาเล็กๆและจะแบ่งออกเป็นอีกหลายๆถ้ำ แต่ถ้ำแรกที่เราไปคือถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล เข้าไปก็ยังไม่ทันได้สังเกตภายในถ้ำมากนัก อันดับแรกที่เข้าไปที่เห็นชัดๆเลยคือพระประธานที่ตั้งอยู่ใจกลางของถ้ำพวกเราก็เริ่มสวดสวดมนต์ และแผ่เมตตาใหญ่กันเสร็จแล้วก็นั่งทำจิตใจให้สงบแต่ด้วยอะไรก็ไม่ทราบ…พวกเราก็เห็นมีบางอย่างเลื้อยอยู่อีกฝั่งนึงของถ้ำลำตัวขนาดใหญ่ คล้ายๆงูแต่ไม่เหมือนงูทั่วๆไปตัวใหญ่กว่าหลายเท่าลักษณะโปร่งแสง เลื้อยไปพันอยู่บนเสาหินด้านข้างของพระประธาน พวกเราต่างคนต่างตกใจในสิ่งที่เห็นเพราะไม่เคยเจอมาก่อนก็เลยหันมามองหน้ากันกับเพื่อนที่ไปด้วย เอาเป็นว่ารู้กันว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไรสักพักสิ่งๆนั้นที่โปร่งแสงก็เลื้อยๆไปเรื่อยๆแล้วก็จากหายไปกับตาและนี่ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุดของเรื่องนี้…เราก็ไปยังถ้ำอื่นๆต่อและเดินทางกลับที่พัก เพื่อที่วันพรุ่งนี้จะเดินทางไปยังอีกอำเภอนึง
………เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางไปยังอีกอำเภอของกาญฯนั้น พวกเราได้ทำบุญใส่บาตรในฝั่งมอญ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตามได้รู้จักกัลญาณมิตรเพิ่มอีก2คน พอดีวันนั้นพวกพี่ๆเขาจะกลับกรุงเทพฯพอดีเลยอาสาพาพวกเราไปส่งที่อำเภอนั้น(ทอง-ผาภูมิ)แต่กว่าจะไปถึงก็เย็นแล้วฝนก็กำลังจะตกท้ายที่สุดพี่2คนส่งพวกเราที่ด่านตรวจ…ผมกับเพื่อนแอบคิดในใจเหมือนกันนะว่าจะพาตูไปส่งตำรวจทำไมวะ555 เหตุผลก็คือจอดรถถามทางเจ้าหน้าที่ และฝนก็ใกล้จะตกบรรยากาศครึ้มมากๆ พี่ตำรวจก็อาสาไปส่งพวกเราในย่านที่พัก พวกเราก็ล่ำลาพี่2คนนั้นและก็จากกัน พอจากกันยังไม่ทันถึง5นาทีทันใดนั้นเองฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักเราเลยต้องอาศัยที่พักมุงจากของเจ้าหน้าที่หลบฝนไปก่อน จนเวลาล่วงเลยมาถึง 2ทุ่มก็ว่าได้ฝนพึ่งเริ่มเบาลงพี่เจ้าหน้าเลยเดินมาเรียกพวกเราให้ขึ้นรถเดี๋ยวเขาจะไปส่ง พวกเราก็ขึ้นรถเรียบร้อยพอถึงปลายทางพวกเราก็เดินหาที่พักกันซึ่งที่แรกที่เข้าไปดูราคาแพงมาก(งบจำกัด..แอบงกนิดๆ55)ไปเจอที่นึงมีแบ่งเป็น2โซน โซนบ้านพัก และห้องพัก พวกเราเลือกที่จะพักห้องพักพอไปถึงก็มองหาพนักงานที่ดูแลที่นี่ ก็มีพี่ผู้หญิง(รึเปล่า)คนนึงเดินออกมาพร้อมมีกลิ่นกำยานแปลกคล้ายๆพวกเล่นของแต่เนื่องจากกลัวจะดึกกว่านี้ และอาการเพลียกับการเดินทางด้วยเราเลยตกลงที่จะพักกันที่นี่ พอถึงห้องพักก็จัดแจงอาบน้ำอาบท่ากันให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาอะไรกิน พอเดินลงบันไดไปเท่านั้นป้าที่คุมที่พักก็ลุกพรวดมาจากตรงไหนไม่รู้ทำหน้าตาแบบตกใจ แล้วเขาก็ถามว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ก็เลยตอบกลับไปว่าอ่อ….จะออกไปทานข้าวกันครับ ป้าก็บอกว่าที่นี่มีๆๆ พวกผมเลือกที่จะปฏิเสธ และเดินออกไปหาอะไรทานในเซเว่นที่สำคัญพวกผมซื้อน้ำเปล่ามาไว้ดื่มกันเองต่างหาก เนื่องจากไม่กล้าดื่มน้ำภายในห้องเพราะมีความรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นักเลยไม่กล้าเสี่ยงที่สำคัญเคยมีผู้ใหญ่หลายท่านเล่าให้ฟังว่าแถวนี้คนเล่นของเยอะ หลังจากนั้นพวกเราก็กลับที่พักทานอาหารกันแล้วสักพักก็แยกย้ายกันนอนตอนนั้นน่าจะประมาณห้าทุ่มกว่าๆ เคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้แต่ลืมตามาอีกทีก็เจอ………………………………………………..
ขออธิบายก่อนว่าภายในห้องมีตู้เสื้อผ้าลักษณะบิ้วอินติดผนังห้องไม่มีประตูสำหรับปิด และเปิดมีเพียงตู้โล่งๆพร้อมไม้แขวนแค่นั้น ซึ่งเพื่อนผมอีกคนนอนอยู่ข้างตู้นั้นพอดีส่วนตัวผมเองนอนอยู่อีกฝั่งนึงของห้องซึ่งสามารถมองเห็นตู้นั้นได้ชัดเจน
เอาหละเรามาเข้าเรื่องกันต่อ ตอนนั้นเวลาประมาณตี2พอดีผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นบางสิ่งบางอย่างภายในห้องที่ผิดปกติไปจากเดิม คือ…อ……..อ……มันมีผู้หญิงตัวดำๆนั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้านั่งก้มหน้าแล้วเอามากอดเข้า ผมยาวรกรุงรังปกปิดใบหน้า เสื้อผ้ามอมแมมขาดๆ ผมก็ตั้งสติเอาไว้สักพักเธอคนนั้นก็หันมามองผมแต่ไม่ได้ทำอะไรที่น่ากลัวกว่านี้ด้วยความที่ชินหรือยังไงก็ตามแต่ผมเลยเผลอนอนหลับไปอีกครั้งก็สะดุ้งตื่นมาอีกทีประมาณเกือบๆตี3 เธอคนนั้นก็ยังนั่งชมวิวอยู่ในตู้เสื้อผ้า พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติไปจากเดิมอีกนั่นก็คือ……อ…..อ…เพื่อนผมที่มันนอนอีกเตียงนอนคลุมโปงพร้อมตัวสั่น ผมเป็นคนคิดในแง่บวกสงสัยแอร์มันคงเย็นไปเลยปรับแอร์ให้อุณภูมิอุ่นขึ้นแล้วนอนต่อ
และแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเกือบๆตี5 ไอเพื่อนผมมันก็ยังคงนอนคลุมโปงและยังคงสั่นอยู่ทีนี้จากที่ผมคิดบวกเลือกคิดทันทีเพราะเธอคนนั้นก็ยังคงอยู่พร้อมสายตาที่จ้องเพื่อนผมอย่างน่าใจหาย ผมเริ่มรู้แล้วว่าไอ้เพื่อนผมมันไม่ได้หนาวเพราะแอร์แน่ๆแต่มันหนาวเพราะ…..< เธอคนนั้น > ด้วยสายตาที่แสนน่ากลัว ผมเลยตัดสินใจเรียกชื่อเพื่อนคนนั้นมันกระโดดพุ่งพรวดมาที่เตียงผมทันทีพร้อมกับร้องไห้ มันคงตกใจกับผู้หญิงที่อยู่ในตู้ และทำตาถลนใส่มัน ผมเลยยอมเสียสละแลกเตียงกับมันเพราะว่าใกล้เช้าแล้ว ผมกับเพื่อนเลยแผ่เมตตาให้เธอคนนั้นหลังจากนั้นเลยตั้งจิตถามเธอว่าเป็นใครมาจากไหน ได้คำตอบว่าเธอคนนั้นถูกสามีฆ่าตาย เป็นคนในละแวกนั้นถูกคนส่งมาให้ทำแบบนี้ แต่เนื่องด้วยผมกับเพื่อนเวลาออกนอกสถานที่จะติดบางอย่างไว้ป้องกันตัวเสมอนั่นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราเคารพนับถือ เธอเลยไม่กล้าเข้าใกล้มากกว่านี้(ถ้าเข้าใกล้กว่านี้มีหวังมีคนช็อคตาย555)สรุปคืนนั้นแถบไม่ได้นอนกันเลยพอฟ้าเริ่มสว่างเธอคนนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับเส้นผมยาวๆที่ค่อยๆปรากฏขึ้นตามผ้าห่มของพวกเรา พวกเราเลยตัดสินใจออกจากที่พักในเช้าวันนั้นเพื่อเดินทางต่อไปยังอีกอำเภอนึง ตลอดการเดินทางก็คุยกันเรื่องนี้ตลอดไปสะดุดที่ชื่อที่พัก(สม-ใจ-นึก) เลยถามเพื่อนว่าเฮ้ยยย!!! ตอนเข้าไปนึกถึงไรวะ มันบอกผีหวะ5555 ผมเลยบอกเออเหมือนกันเลย สมใจนึกจริงๆนะครับ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นในทางโลกมนุษย์ หรือในภพอื่นๆก็ตามล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น ทุกภพภูมิล้วนต้องการที่จะสร้างบุญบารมี การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้วแต่การพ้นทุกข์นั้นประเสริฐกว่า เดินทางตามหลักธรรมคำสอนของพระศาสดาครับ
ปล.ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ <ยิ้มไว้ ไม่ทุกข์ สนุกดี> สวัสดีครับ!!!
เคยมั๊ยที่ต้องเจอ...???
เคยมั๊ยที่รู้สึกโดดเดี่ยว?
เคยมั๊ยที่รู้สึกเว้งว้าง?
เคยมั๊ยที่ต้องเผชิญหน้ากับ…???
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ขอรับรองว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์จริง ทุกอย่างจริง….จริง..จริง.!!ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
เรื่องมีอยู่ว่าผมกับเพื่อนได้ตกลงกันว่าในช่วงเดือนพฤษภาคม(ปี59)เราจะไปเที่ยวกาญฯกัน
เมื่อมาถึงวันนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต้นทางฉะเชิงเทรา จุดหมายปลายทางมุ่งหน้าไปที่…@สังขละบุรี
พวกเราเริ่มออกเดินทางในช่วงเช้าจากวัดแห่งหนึ่งหลังจากได้ไปปฏิบัติธรรมตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
ตอนไปปฏิบัติก็ได้ออกเดินธุดงค์ได้เจอเรื่องราวต่างๆมากมายแต่ขอไว้เล่าในตอนหน้า แต่ตอนนี้เรามา
เข้าเรื่องกันต่อเลยดีกว่าครับ ในเย็นของวันนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงสังขละบุรีเป็นที่เรียบร้อย หลังจากทุกคนทำภาระกิจส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันที่ห้องเพื่อวางแผนสถานที่ที่จะไปในวันพรุ่งนี้ คืนแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอนหลับกันด้วยความเพลียจากการเดินทาง เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็ขับรถเที่ยวในสถานที่ที่ได้วางแผนกันไว้เมื่อคืนนี้ หนึ่งในนั้นคือถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล(สถานปฏิบัติธรรม) เมื่อพวกเรามาถึงที่นี่ก็จัดแจงจุดธูปเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นอันดับแรกก่อนที่พวกเราจะเข้าไปในถ้ำ ก่อนอื่นต้องขออธิบาย
ลักษณะทางเดินขึ้นถ้ำนิดนึงนะครับโดยทางเดินขึ้นนั้นจะเป็นบันไดไม้ขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็จะพบกับประตูทางเข้าลักษณะเป็นการตีไม้ให้เป็นสี่เหลี่ยมๆแล้วตั้งกั้นขวางไว้ระหว่างทางเดิน เมื่อพวกเราเดินผ่านประตูไปก้าวแรกที่สัมผัสได้เลยคือบรรยากาศมันชั่งแตกต่างกันเหลือเกิน สัมผัสที่รับรู้เลยคือมันเย็นผิดปกติ ไม่เหมือนก่อนก้าวเข้าประตูที่อากาศร้อนกว่าซึ่งมันเป็นแค่ไม้เหมือนเอาฉากที่เป็นประตูไปกั้นไว้ อ่อ…ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาเล็กๆและจะแบ่งออกเป็นอีกหลายๆถ้ำ แต่ถ้ำแรกที่เราไปคือถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล เข้าไปก็ยังไม่ทันได้สังเกตภายในถ้ำมากนัก อันดับแรกที่เข้าไปที่เห็นชัดๆเลยคือพระประธานที่ตั้งอยู่ใจกลางของถ้ำพวกเราก็เริ่มสวดสวดมนต์ และแผ่เมตตาใหญ่กันเสร็จแล้วก็นั่งทำจิตใจให้สงบแต่ด้วยอะไรก็ไม่ทราบ…พวกเราก็เห็นมีบางอย่างเลื้อยอยู่อีกฝั่งนึงของถ้ำลำตัวขนาดใหญ่ คล้ายๆงูแต่ไม่เหมือนงูทั่วๆไปตัวใหญ่กว่าหลายเท่าลักษณะโปร่งแสง เลื้อยไปพันอยู่บนเสาหินด้านข้างของพระประธาน พวกเราต่างคนต่างตกใจในสิ่งที่เห็นเพราะไม่เคยเจอมาก่อนก็เลยหันมามองหน้ากันกับเพื่อนที่ไปด้วย เอาเป็นว่ารู้กันว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไรสักพักสิ่งๆนั้นที่โปร่งแสงก็เลื้อยๆไปเรื่อยๆแล้วก็จากหายไปกับตาและนี่ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุดของเรื่องนี้…เราก็ไปยังถ้ำอื่นๆต่อและเดินทางกลับที่พัก เพื่อที่วันพรุ่งนี้จะเดินทางไปยังอีกอำเภอนึง
………เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางไปยังอีกอำเภอของกาญฯนั้น พวกเราได้ทำบุญใส่บาตรในฝั่งมอญ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตามได้รู้จักกัลญาณมิตรเพิ่มอีก2คน พอดีวันนั้นพวกพี่ๆเขาจะกลับกรุงเทพฯพอดีเลยอาสาพาพวกเราไปส่งที่อำเภอนั้น(ทอง-ผาภูมิ)แต่กว่าจะไปถึงก็เย็นแล้วฝนก็กำลังจะตกท้ายที่สุดพี่2คนส่งพวกเราที่ด่านตรวจ…ผมกับเพื่อนแอบคิดในใจเหมือนกันนะว่าจะพาตูไปส่งตำรวจทำไมวะ555 เหตุผลก็คือจอดรถถามทางเจ้าหน้าที่ และฝนก็ใกล้จะตกบรรยากาศครึ้มมากๆ พี่ตำรวจก็อาสาไปส่งพวกเราในย่านที่พัก พวกเราก็ล่ำลาพี่2คนนั้นและก็จากกัน พอจากกันยังไม่ทันถึง5นาทีทันใดนั้นเองฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักเราเลยต้องอาศัยที่พักมุงจากของเจ้าหน้าที่หลบฝนไปก่อน จนเวลาล่วงเลยมาถึง 2ทุ่มก็ว่าได้ฝนพึ่งเริ่มเบาลงพี่เจ้าหน้าเลยเดินมาเรียกพวกเราให้ขึ้นรถเดี๋ยวเขาจะไปส่ง พวกเราก็ขึ้นรถเรียบร้อยพอถึงปลายทางพวกเราก็เดินหาที่พักกันซึ่งที่แรกที่เข้าไปดูราคาแพงมาก(งบจำกัด..แอบงกนิดๆ55)ไปเจอที่นึงมีแบ่งเป็น2โซน โซนบ้านพัก และห้องพัก พวกเราเลือกที่จะพักห้องพักพอไปถึงก็มองหาพนักงานที่ดูแลที่นี่ ก็มีพี่ผู้หญิง(รึเปล่า)คนนึงเดินออกมาพร้อมมีกลิ่นกำยานแปลกคล้ายๆพวกเล่นของแต่เนื่องจากกลัวจะดึกกว่านี้ และอาการเพลียกับการเดินทางด้วยเราเลยตกลงที่จะพักกันที่นี่ พอถึงห้องพักก็จัดแจงอาบน้ำอาบท่ากันให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาอะไรกิน พอเดินลงบันไดไปเท่านั้นป้าที่คุมที่พักก็ลุกพรวดมาจากตรงไหนไม่รู้ทำหน้าตาแบบตกใจ แล้วเขาก็ถามว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ก็เลยตอบกลับไปว่าอ่อ….จะออกไปทานข้าวกันครับ ป้าก็บอกว่าที่นี่มีๆๆ พวกผมเลือกที่จะปฏิเสธ และเดินออกไปหาอะไรทานในเซเว่นที่สำคัญพวกผมซื้อน้ำเปล่ามาไว้ดื่มกันเองต่างหาก เนื่องจากไม่กล้าดื่มน้ำภายในห้องเพราะมีความรู้สึกไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นักเลยไม่กล้าเสี่ยงที่สำคัญเคยมีผู้ใหญ่หลายท่านเล่าให้ฟังว่าแถวนี้คนเล่นของเยอะ หลังจากนั้นพวกเราก็กลับที่พักทานอาหารกันแล้วสักพักก็แยกย้ายกันนอนตอนนั้นน่าจะประมาณห้าทุ่มกว่าๆ เคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้แต่ลืมตามาอีกทีก็เจอ………………………………………………..
ขออธิบายก่อนว่าภายในห้องมีตู้เสื้อผ้าลักษณะบิ้วอินติดผนังห้องไม่มีประตูสำหรับปิด และเปิดมีเพียงตู้โล่งๆพร้อมไม้แขวนแค่นั้น ซึ่งเพื่อนผมอีกคนนอนอยู่ข้างตู้นั้นพอดีส่วนตัวผมเองนอนอยู่อีกฝั่งนึงของห้องซึ่งสามารถมองเห็นตู้นั้นได้ชัดเจน
เอาหละเรามาเข้าเรื่องกันต่อ ตอนนั้นเวลาประมาณตี2พอดีผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นบางสิ่งบางอย่างภายในห้องที่ผิดปกติไปจากเดิม คือ…อ……..อ……มันมีผู้หญิงตัวดำๆนั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้านั่งก้มหน้าแล้วเอามากอดเข้า ผมยาวรกรุงรังปกปิดใบหน้า เสื้อผ้ามอมแมมขาดๆ ผมก็ตั้งสติเอาไว้สักพักเธอคนนั้นก็หันมามองผมแต่ไม่ได้ทำอะไรที่น่ากลัวกว่านี้ด้วยความที่ชินหรือยังไงก็ตามแต่ผมเลยเผลอนอนหลับไปอีกครั้งก็สะดุ้งตื่นมาอีกทีประมาณเกือบๆตี3 เธอคนนั้นก็ยังนั่งชมวิวอยู่ในตู้เสื้อผ้า พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติไปจากเดิมอีกนั่นก็คือ……อ…..อ…เพื่อนผมที่มันนอนอีกเตียงนอนคลุมโปงพร้อมตัวสั่น ผมเป็นคนคิดในแง่บวกสงสัยแอร์มันคงเย็นไปเลยปรับแอร์ให้อุณภูมิอุ่นขึ้นแล้วนอนต่อ
และแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเกือบๆตี5 ไอเพื่อนผมมันก็ยังคงนอนคลุมโปงและยังคงสั่นอยู่ทีนี้จากที่ผมคิดบวกเลือกคิดทันทีเพราะเธอคนนั้นก็ยังคงอยู่พร้อมสายตาที่จ้องเพื่อนผมอย่างน่าใจหาย ผมเริ่มรู้แล้วว่าไอ้เพื่อนผมมันไม่ได้หนาวเพราะแอร์แน่ๆแต่มันหนาวเพราะ…..< เธอคนนั้น > ด้วยสายตาที่แสนน่ากลัว ผมเลยตัดสินใจเรียกชื่อเพื่อนคนนั้นมันกระโดดพุ่งพรวดมาที่เตียงผมทันทีพร้อมกับร้องไห้ มันคงตกใจกับผู้หญิงที่อยู่ในตู้ และทำตาถลนใส่มัน ผมเลยยอมเสียสละแลกเตียงกับมันเพราะว่าใกล้เช้าแล้ว ผมกับเพื่อนเลยแผ่เมตตาให้เธอคนนั้นหลังจากนั้นเลยตั้งจิตถามเธอว่าเป็นใครมาจากไหน ได้คำตอบว่าเธอคนนั้นถูกสามีฆ่าตาย เป็นคนในละแวกนั้นถูกคนส่งมาให้ทำแบบนี้ แต่เนื่องด้วยผมกับเพื่อนเวลาออกนอกสถานที่จะติดบางอย่างไว้ป้องกันตัวเสมอนั่นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราเคารพนับถือ เธอเลยไม่กล้าเข้าใกล้มากกว่านี้(ถ้าเข้าใกล้กว่านี้มีหวังมีคนช็อคตาย555)สรุปคืนนั้นแถบไม่ได้นอนกันเลยพอฟ้าเริ่มสว่างเธอคนนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับเส้นผมยาวๆที่ค่อยๆปรากฏขึ้นตามผ้าห่มของพวกเรา พวกเราเลยตัดสินใจออกจากที่พักในเช้าวันนั้นเพื่อเดินทางต่อไปยังอีกอำเภอนึง ตลอดการเดินทางก็คุยกันเรื่องนี้ตลอดไปสะดุดที่ชื่อที่พัก(สม-ใจ-นึก) เลยถามเพื่อนว่าเฮ้ยยย!!! ตอนเข้าไปนึกถึงไรวะ มันบอกผีหวะ5555 ผมเลยบอกเออเหมือนกันเลย สมใจนึกจริงๆนะครับ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นในทางโลกมนุษย์ หรือในภพอื่นๆก็ตามล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น ทุกภพภูมิล้วนต้องการที่จะสร้างบุญบารมี การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้วแต่การพ้นทุกข์นั้นประเสริฐกว่า เดินทางตามหลักธรรมคำสอนของพระศาสดาครับ
ปล.ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ <ยิ้มไว้ ไม่ทุกข์ สนุกดี> สวัสดีครับ!!!