คู่มือหุ้นสำหรับมือใหม่:ถอดรหัสภาษาเทพนักวิคราะห์ ให้เป็นภาษาเม่าเข้าใจง่าย

กระทู้สนทนา
ภาษาที่นักวิเคราะห์ใช้ มักเป็นภาษายากๆทำให้เม่าอย่างเรางงๆๆ จนเคลิ้มกลายเป็นเลื่อมใส
ภาษามันแปลยากเปิดดิกชินเนอรี่แล้วก็ยังมึนตึ๊บ
เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนการเงิน บัญชีมา หรือเศรษฐศาสตร์มา
     ที่ผมเห็นก็มีแต่ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา  ที่ท่านพยายามใช้ภาษาไทยหรือแปลให้นักลงทุนรู้ ในรายการมันนี่ทอร์ค
วันนี้เราเอาภาษาเทพที่นักวิแคะชอบใช้มาย่อยให้เข้าใจง่าย   จริงๆนักวิแคะเจอภาษาเขมร เช่น เนียงละออ ระไบ
หรือภาษาเหนือ ปิ้นจะลิ้น  บักก๋วยเต๊ด บั๊กก๋วยกา ก็คงงงเช่นกัน


ขอโฆษณาที่ท่องเที่ยวอำเภอแจ้ห่ม:วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ (วัดพระบาทปู่ผาแดง) อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง
ภาพจาก:เวปเนชั่น

มาเริ่มกันเลยครับคำเหล่านี้ถ้าดูรายการวิเคราะห์หุ้น หรืออ่านในบทวิเคราะห์จะได้ยินบ่อยมาก
นักวิเคราะห๋ไม่ชอบใช้ภาษาไทย มักพูดทับศัพท์ผมละงงพอสมควร เพราะภาษาอังกฤษผมคืน
เจ้าของภาษาไปเกือบหมดแล้ว
1.ไดเวอร์เจน Divergent แปลตรงๆ คือ แตกต่างกัน ระหว่างสัญญาญทางเทคนิคกับราคาหุ้น
ในภาษาหุ้นคือสัญญาญกราฟมีกลับตัวของราคา มี2แบบ
   >>>Bullish Divergenceคือสัญญาญซื้อช่วงกราฟขาลงกำลังจะกลับตัวเป็นสัญญาญขาขึ้น
  >>>Bearish Divergence คือสัญญาญขายเกิดในช่วงขาขึ้น แต่กำลังกลับตัวลง

2.คอนเวอร์เจนConvergentแปลตรงคือไปทางเดียวกัน
ระหว่างสัญญาญทางเทคนิคกับราคาหุ้น ไปในทางเดียวกัน

3.แอคควายๆๆๆ Acquisition การได้มา การเข้าซื้อนักวิแคะชอบใช้ทับศัพท์

4.อาร์บิทาร์จAebitrageการซื้อสินค้าในตลาดที่ราคาถูกและขณะเดียวกันก็สั่งขายสินค้านั้น (หรือสินค้าประเภทเดียวกันนั้น)
ในจำนวนเดียวกันในอีกตลาดที่ราคาสูงกว่า เพื่อรับผลกำไรจากส่วนต่างของราคาใน 2 ตลาด
ซึ่งการทำ Arbitrage จะทำได้เฉพาะกับสินค้าที่มีการซื้อขายมากกว่าหนึ่งตลาด

5แบคดอร์ Backdoorคือการเข้าซื้อกิจการของบริษัทในตลาดหุ้นโดยบริษัท
หรือกลุ่มทุนนอกตลาดแล้วครอบครองบริษัทนั้นจากการถือหุ้นใหญ่
ภาษาง่ายๆในหนังผี คือ การโดนผีเข้าสิงร่าง

6.Conflict of interest คือผลประโยชน์ทับซ้อน ง่ายๆคือผู้บริหาร
ใช้ข้อมูลวงใน ซื้อหรือเทขายก่อนเปิดเผยข้อมูล การเมืองก็จำนำข้าว

7.Greenshoe option คือ มาตรการพยุงราคาหุ้น IPO ในช่วงเวลาสั้นๆส่วนใหญ่ประมาณ 1 เดือน
หุ้นจะขึ้นเครื่องหมาย ST วิธีการคือจะให้บริษัทจำหน่ายหลักทรัพย์ขายหุ้นเกินจำนวนที่กำหนด
แล้วซื้อหุ้นในตลาดคืนภายหลังจากหุ้นจำหน่ายแล้ว

8.Manipulation ภาษาเทพเท่ห์ๆที่เรียก การปั่นหุ้น

9.Market Maker คือ ผู้สร้างสภาพคล่องให้หุ้นให้มีการซื้อขายต่อเนื่อง
อธิบายง่ายๆภาษาคนเที่ยวกลางคืน คือ คนเชียร์แขกนั่นเอง

10.Rightsสิทธิ์จองซื้อหุ้นออกใหม่เป็นสิทธิที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์มอบให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
ในการที่จะจองซื้อหุ้นสามัญ จะประกาศวันขึ้นเครื่องหมาย XRนั่นเอง

11.SHORT SELL การขายชอร์ท คือการยืมหุ้นจาก บล. มาขายโดยผู้ยืมคาดว่าหุ้นนั้นราคาจะลง
จึงยืมหุ้นมาขายก่อน แล้วซื้อหุ้นนั้นมาคืนในราคาที่ถูกกว่า ผู้ชอร์ทต้องวางเงินประกันและ
จ่ายค่าธรรมเนียมถ้าผิดทางหุ้นขึ้นผู้ชอร์ทจะเสียทั้งค่าธรรมเนียมและส่วนต่างราคาเสีย2เด้ง

12.เทนเดอร์ออฟเฟอร์ Tender offer ถ้าแปลตรงคือการประกวดราคา  แปลเข้าใจง่ายๆคือ บังคับซื้อ
มักจะใช้กับหุ้นที่จะออกจากตลาด โดยผู้ถือหุ้นใหญ่แจ้งผู้ถือหุ้นรายเล็กแกมบังคับ ว่าจะซื้อหุ้นโดยระบุราคา
จำนวนหุ้น และวันสุดท้ายที่จะซื้อ ก่อนเอาหุ้นออกจากตลาด

13.อันเดอร์ไรท์ UNDERWRITER ผู้ประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ IPO จากบริษัทที่จะเข้าตลาดหุ้น
ว่าจะขายได้หมดที่รับมา ภาษาง่ายๆว่าผู้จัดจำหน่ายหรือเรียกว่ายี่ปั๊ว รับของมาต้องขายให้หมด

14.ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คิดจากสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่นสิทธิการเช่า ลิขสิทธ์

15.ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คิดจากสินทรัพย์มีตัวตน เช่นพวกที่ดิน อาคาร อุปกรณ์

16.การทำ M&A คืออะไร นักวิแคะพูดบ่อย ผมรู้แต่ M&M ที่ละลายในปากไม่ละลายในมือ
M&A : Mergers and Acquisitions มันคือการควบรวมกิจการระหว่างกิจการ ภาษาง่ายๆก็ แต่งงานหรือเป็นดองกัน

17.มาร์เก็ตแคป Market cap คำนี้นักวิแคะพูดบ่อยมาก(มูลค่าตามราคาตลาด)
= จำนวนหุ้นทั้งหมด x  ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ยิ่งราคาหุ้นสูงขึ้นเท่าไหร่
Market cap ก็สูง หุ้นบางตัวโดนปั่นราคาไปไกล กำไรจิมิมด ต้องระวัง

18.แฟร์ไพร์ท Fair Price หมายถึง ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน     
แปลง่ายๆคือราคาที่คุณจะติดดอยได้ณ.เวลาใดเวลาหนึ่งที่นักวิแคะให้ไว้

19.อิบิด้า EBITDA = Earning Before Interest,TAX,Depreciation, Amortization
  (กำไร ก่อนหักดอกเบี้ย,ภาษี,ค่าเสื่อมราคา,ค่าตัดจำหน่าย)
บริษัทที่ EBITDA มีค่าติดลบหลายๆปีต่อเนื่องแสดงว่าบริษัทขาดทุนบักโกรก
บริษัทแบบนี้ไม่ควรซื้อแสดงว่างบเน่าเกินเยียวยาครับ

20.EV = Enterpise Value คือมูลค่ากิจการ =(หุ้นสามัญ+หนี้สิน-เงินสดและเงินลงทุน)

21.Valuationคือการประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ควรจะเป็นเพื่อเปรียบเทียบกับราคาตลาด

22.Overweightคือการลงทุนในอุตสาหกรรมที่วิเคราะห์มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีอ้างอิงของตลาด
สรุปง่ายๆว่าลงทุนแล้วดีกว่าตลาด

22.Underweightคือการลงทุนในอุตสาหกรรมที่วิเคราะห์มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าดัชนีอ้างอิงของตลาด
สรุปง่ายๆลงทุนแล้วว่าแย่กว่าตลาด

23.การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF จะพบมากในบทวิเคราะห์
คือการประเมินมูลค่าหุ้นจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดในอนาคต หาได้ในบทวิเคราะห์

24.Forward P/E คือการเอากำไรที่คาดการณ์(มโน) มาคิด PE ล่วงหน้า

25.Trailing P/E คือ เอากำไรในอดีต(4ไตรมาสล่าสุด)มาคิดPE
   มักจะนิยมในกลุ่มนักลงทุนสาย VI
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่