[หนังโรงเรื่องที่ 197] The Hitman's Bodyguard : ตลกไม่เท่าทีหวัง แต่แอคชั่นมันทะลุเกินที่คาด ! ; (Patrick Hughes, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เมื่อ "ไมเคิล ไบรซ์" (Ryan Reynolds) อดีตสุดยอดบอดี้การ์ดมือฉมังที่ต้องตกต่ำเพียงเพราะเขาพลาดให้ลูกค้าคนสำคัญโดนไข้โป้งที่ขมับเข้าให้ ต้องมารับหน้าที่คุ้มกันสุดยอดนักฆ่ามือฉมังชื่อดังก้องโลกอย่าง "ดาเรียส คินเคด" (Samuel L. Jackson) ที่จำเป็นจะต้องเดินทางไปให้การแก่ศาลโลกในฐานะพยานเพื้อโค่นล้มทรราชเผด็จการจอมชั่วร้าย การเอาตัวรอดจากบรรดาสมุนนักฆ่าทั้งหลายที่หมายจะมาปิดปากพยานจึงเกิดขึ้น
.
.
โอเค ยอมรับว่าผิดคาดนิดหน่อยด้วยความที่หนังมันปูความเป็น 'หนังตลก' มาเยอะมาก แต่เอาเข้าจริงแล้วในหนังนี่นับได้ว่าตลกประมาณ 60% จากที่คาดไว้เองมั้ง แต่หนังกลับชดเชยจุดนั้นด้วย 'ความมันส์' ขอคิวฉากแอคชั่นที่ระห่ำถึงใจจริงๆ คือยอมรับเลยว่าหนังยาวเฉียดสองชั่วโมงนี่ไม่รู้สึกเบื่อเลย ซึ่งก็ต้องยกผลประโยชน์ให้บทที่มันไม่นวยนาดบวกกับเคมีของสองนักแสดงชายที่เข้ากันได้ดีด้วย
สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมหนักๆเลยก็คือ "คิวบู๊" ของหนังที่ถือว่ามันส์สะเด็ดถึงใจมาก หนังยิงกัดอุตตลุดไม่มีกั๊ก สบถด่าใส่กันตลอดไม่มีอั้น และที่สำคัญคือการที่หนังได้เรต R (18+) ก็ยิ่งทำให้มันสามารถถ่ายทอดความรุนแรงสมจริงของคิวแอ๊คชั่นได้มากขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นฉากฟันแทงยิงล้วนสนุกถึงใจทั้งนั้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ต้องกลัวไปว่าหนังมันจะโหดจนอี๋เลือดสาดรึเปล่า เพราะโดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าแค่นี้หนังก็พยายามทำให้มันซอฟต์สุดๆแล้วล่ะ
ส่วนที่เป็น subplot ของเรื่อง หนังเลือกใช้พล็อตดาดๆอย่าง "ความรัก" เข้ามาประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าสนใจแบบไม่รู้สึกยัดเยียด โดยการใส่มันเป็นแรงจูงใจให้กับตัวเอกทั้งสองคนที่พร้อมพลีกายถวายหัวให้กับ "คำว่ารัก" อย่างสุดตัวด้วย ซึ่งในส่วนตรงนี้แหละที่ช่วยดึงให้หนังมันดูมีมิติมากขึ้น ตัวละครที่เราสัมผัสได้มันเลยไม่มีปัญหา 'แบนราบ' ให้เห็นเลย
ส่วนดีที่น่าพูดอีกอย่างนึงก็คือ 'ความฮา' ที่ถูกนำเสนอมาในลักษณะ 'ตลกหน้าตาย' ซะเป็นส่วนใหญ่ กับการฟาดฟันฝีปากระหว่างตัวเอกทั้งสองคนที่ต่างก็มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นจอมวางแผนเนี้ยบอย่างไมเคิลก็ดี หรือจะเป็นจอมบ้าดีเดือดแบบดาเรียสก็ดี ทั้งสองคนต่างก็มีเสน่ห์ที่โดดเด่นน่าติดตามทั้งคู่ แล้วยิ่งมีเคมีที่เข้าขาลูกชงลูกฮาจัดเต็มกันสุดๆ มันก็เลยทำให้ภาพรวมของหนังออกมาดีอีก
แถมอีกนิดนึงคือ "ไรอัน เรย์โนลด์" ปังมากกกก ปังแบบกล้าพูดเลยว่าแบกหนังไว้ได้แบบไม่มีที่ติจริงๆ ทั้งคิวเท่คิวฮาเฮียแกเก็บเรียบได้หมด ถึงมันจะคงคราบความเป็นเดดพูลอยู่หน่อยๆก็เถอะ ยิ่งในบรรดาซีนที่เฮียแกกลายเป็นลูกไล่ของลุงซามูเอลนี่ยิ่งขำเข้าไปอีก คือคู่นี้มันเกิดมาเพื่อหนังแบบนี้จริงๆ (หัวเราะ)
.
.
สรุป จริงๆก็ไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงเยอะ (ก็หนังบู๊เบาสมองทั่วๆไปอะเนอะ) แต่รับประกันเลยว่าใครที่เป็นคอหนังแอคชั่นกับมุกตลกสไตล์ฝรั่งๆนี่รับรองติดใจแน่นอน กับคิวบู๊ที่ทั้งต่อเนื่องและจัดเต็มไม่มีกั๊กขนาดนี้ สำหรับในช่วงสัปดาห์นี้ที่ไม่มีตัวเลือกหนังดีๆให้ดูซักเท่าไหร่ ก็อยากจะบอกว่า The Hitman's Bodyguard น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 197] The Hitman's Bodyguard : ตลกไม่เท่าทีหวัง แต่แอคชั่นมันทะลุเกินที่คาด ! by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 197] The Hitman's Bodyguard : ตลกไม่เท่าทีหวัง แต่แอคชั่นมันทะลุเกินที่คาด ! ; (Patrick Hughes, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เมื่อ "ไมเคิล ไบรซ์" (Ryan Reynolds) อดีตสุดยอดบอดี้การ์ดมือฉมังที่ต้องตกต่ำเพียงเพราะเขาพลาดให้ลูกค้าคนสำคัญโดนไข้โป้งที่ขมับเข้าให้ ต้องมารับหน้าที่คุ้มกันสุดยอดนักฆ่ามือฉมังชื่อดังก้องโลกอย่าง "ดาเรียส คินเคด" (Samuel L. Jackson) ที่จำเป็นจะต้องเดินทางไปให้การแก่ศาลโลกในฐานะพยานเพื้อโค่นล้มทรราชเผด็จการจอมชั่วร้าย การเอาตัวรอดจากบรรดาสมุนนักฆ่าทั้งหลายที่หมายจะมาปิดปากพยานจึงเกิดขึ้น
.
โอเค ยอมรับว่าผิดคาดนิดหน่อยด้วยความที่หนังมันปูความเป็น 'หนังตลก' มาเยอะมาก แต่เอาเข้าจริงแล้วในหนังนี่นับได้ว่าตลกประมาณ 60% จากที่คาดไว้เองมั้ง แต่หนังกลับชดเชยจุดนั้นด้วย 'ความมันส์' ขอคิวฉากแอคชั่นที่ระห่ำถึงใจจริงๆ คือยอมรับเลยว่าหนังยาวเฉียดสองชั่วโมงนี่ไม่รู้สึกเบื่อเลย ซึ่งก็ต้องยกผลประโยชน์ให้บทที่มันไม่นวยนาดบวกกับเคมีของสองนักแสดงชายที่เข้ากันได้ดีด้วย
สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมหนักๆเลยก็คือ "คิวบู๊" ของหนังที่ถือว่ามันส์สะเด็ดถึงใจมาก หนังยิงกัดอุตตลุดไม่มีกั๊ก สบถด่าใส่กันตลอดไม่มีอั้น และที่สำคัญคือการที่หนังได้เรต R (18+) ก็ยิ่งทำให้มันสามารถถ่ายทอดความรุนแรงสมจริงของคิวแอ๊คชั่นได้มากขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นฉากฟันแทงยิงล้วนสนุกถึงใจทั้งนั้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ต้องกลัวไปว่าหนังมันจะโหดจนอี๋เลือดสาดรึเปล่า เพราะโดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าแค่นี้หนังก็พยายามทำให้มันซอฟต์สุดๆแล้วล่ะ
ส่วนที่เป็น subplot ของเรื่อง หนังเลือกใช้พล็อตดาดๆอย่าง "ความรัก" เข้ามาประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าสนใจแบบไม่รู้สึกยัดเยียด โดยการใส่มันเป็นแรงจูงใจให้กับตัวเอกทั้งสองคนที่พร้อมพลีกายถวายหัวให้กับ "คำว่ารัก" อย่างสุดตัวด้วย ซึ่งในส่วนตรงนี้แหละที่ช่วยดึงให้หนังมันดูมีมิติมากขึ้น ตัวละครที่เราสัมผัสได้มันเลยไม่มีปัญหา 'แบนราบ' ให้เห็นเลย
ส่วนดีที่น่าพูดอีกอย่างนึงก็คือ 'ความฮา' ที่ถูกนำเสนอมาในลักษณะ 'ตลกหน้าตาย' ซะเป็นส่วนใหญ่ กับการฟาดฟันฝีปากระหว่างตัวเอกทั้งสองคนที่ต่างก็มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นจอมวางแผนเนี้ยบอย่างไมเคิลก็ดี หรือจะเป็นจอมบ้าดีเดือดแบบดาเรียสก็ดี ทั้งสองคนต่างก็มีเสน่ห์ที่โดดเด่นน่าติดตามทั้งคู่ แล้วยิ่งมีเคมีที่เข้าขาลูกชงลูกฮาจัดเต็มกันสุดๆ มันก็เลยทำให้ภาพรวมของหนังออกมาดีอีก
แถมอีกนิดนึงคือ "ไรอัน เรย์โนลด์" ปังมากกกก ปังแบบกล้าพูดเลยว่าแบกหนังไว้ได้แบบไม่มีที่ติจริงๆ ทั้งคิวเท่คิวฮาเฮียแกเก็บเรียบได้หมด ถึงมันจะคงคราบความเป็นเดดพูลอยู่หน่อยๆก็เถอะ ยิ่งในบรรดาซีนที่เฮียแกกลายเป็นลูกไล่ของลุงซามูเอลนี่ยิ่งขำเข้าไปอีก คือคู่นี้มันเกิดมาเพื่อหนังแบบนี้จริงๆ (หัวเราะ)
.
สรุป จริงๆก็ไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงเยอะ (ก็หนังบู๊เบาสมองทั่วๆไปอะเนอะ) แต่รับประกันเลยว่าใครที่เป็นคอหนังแอคชั่นกับมุกตลกสไตล์ฝรั่งๆนี่รับรองติดใจแน่นอน กับคิวบู๊ที่ทั้งต่อเนื่องและจัดเต็มไม่มีกั๊กขนาดนี้ สำหรับในช่วงสัปดาห์นี้ที่ไม่มีตัวเลือกหนังดีๆให้ดูซักเท่าไหร่ ก็อยากจะบอกว่า The Hitman's Bodyguard น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้